ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กร &หุ้นกู้ไม่มีประกัน “บ. บัตรกรุงไทย” ที่ระดับ “BBB+” จัดอันดับหุ้นกู้ไม่มีประกันวงเงินไม่เกิน 12,000 ล้านบาทที่ระดับ “BBB+” แนวโน้ม “Stable”

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday April 11, 2014 17:33 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--11 เม.ย.--ทริสเรทติ้ง ทริสเรทติ้งยืนยันอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่มีประกันชุดปัจจุบันของ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) คงเดิมที่ระดับ “BBB+” ในขณะเดียวกันยังจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่มีประกันชุดใหม่ในวงเงินไม่เกิน 12,000 ล้านบาทของบริษัทที่ระดับ “BBB+” เช่นกัน โดยแนวโน้มยังคง “Stable” หรือ “คงที่” อันดับเครดิตสะท้อนสถานภาพที่เข้มแข็งในธุรกิจบัตรเครดิต และคุณภาพสินทรัพย์ที่ดีขึ้น ตลอดจนการได้รับการสนับสนุนจาก ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ที่ถือหุ้น 49.45% ในบริษัท อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตมีข้อจำกัดในด้านต้นทุนทางการเงินในระดับที่แข่งขันได้ของบริษัท และภาวะการแข่งขันที่ทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น รวมถึงความเสี่ยงด้านกฎระเบียบซึ่งอาจมีผลกระทบต่อการขยายตัวของสินเชื่อและความสามารถในการทำกำไรในอนาคตของทั้งอุตสาหกรรม ในขณะที่แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนถึงความคาดหมายว่าบริษัทจะสามารถรักษาประสิทธิภาพในการจัดเก็บและติดตามหนี้ ตลอดจนคงไว้ซึ่งมาตรฐานการปล่อยสินเชื่อที่เข้มงวดไปพร้อม ๆ กับการขยายธุรกิจ นอกจากนี้ ทริสเรทติ้งยังคาดว่าธนาคารกรุงไทยจะยังคงให้การสนับสนุนบริษัทอย่างต่อเนื่องทั้งในด้านการเงินและการดำเนินธุรกิจต่อไปด้วย บริษัทบัตรกรุงไทยก่อตั้งในปี 2539 ในฐานะบริษัทลูกที่ถือหุ้น 100% โดยธนาคารกรุงไทย ในช่วงแรกบริษัททำหน้าที่บริหารจัดการสินเชื่อบัตรเครดิตของธนาคารกรุงไทย ต่อมาในปี 2545 ธนาคารกรุงไทยได้โอนสินเชื่อบัตรเครดิตของธนาคารมาให้บริษัทและนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความคล่องตัวในการแข่งขัน ในฐานะที่เป็นบริษัทในกลุ่มธนาคารกรุงไทย บริษัทมีโอกาสได้ใช้ประโยชน์จากเครือข่ายสาขาของธนาคารกรุงไทยที่มีอยู่ทั่วประเทศในการขยายฐานลูกค้า โดยในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา จำนวนลูกค้าบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคลของบริษัทที่เพิ่มขึ้นกว่า 25% นั้นมาจากช่องทางดังกล่าว นอกจากนี้ บริษัทยังได้รับการสนับสนุนทางด้านเงินทุนจากธนาคารอีกด้วย กล่าวคือ บริษัทได้รับวงเงินสินเชื่อ 18,030 ล้านบาทจากธนาคาร โดยวงเงินดังกล่าวยังไม่มีการเบิกใช้ ณ สิ้นปี 2556 จากการที่บริษัทสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนที่หลากหลาย ประกอบกับการสนับสนุนทางการเงินที่ได้รับจากธนาคารกรุงไทย ทำให้ความเสี่ยงด้านสภาพคล่องระยะสั้นมิได้เป็นประเด็นที่น่าห่วงมากนัก กล่าวคือ บริษัทมีเงินทุนที่ใช้สนับสนุนสภาพคล่องจากเงินกู้ที่ได้จากสถาบันการเงินหลายแห่งและจากหุ้นกู้ที่มีวันครบกำหนดชำระหนี้ในช่วงเวลาที่แตกต่างกัน โดยไม่มียอดเงินกู้จากสถาบันการเงินใดที่มีสัดส่วนสูงมากเป็นพิเศษเมื่อเทียบกับยอดเงินกู้โดยรวม อย่างไรก็ตาม การที่บริษัทใช้การกู้ยืมและการออกตราสารหนี้เป็นแหล่งเงินทุนหลักในขณะที่คู่แข่งในกลุ่มธนาคารพาณิชย์มีต้นทุนทางการเงินที่ถูกกว่าจากการมีฐานเงินฝากเป็นแหล่งเงินทุน ทำให้บริษัทมีความเสียเปรียบด้านต้นทุนทางการเงินซึ่งมีส่วนในการลดทอนความแข็งแกร่งทางธุรกิจไม่มากก็น้อยและทำให้ยากต่อการแข่งขันเพื่อขยายส่วนแบ่งทางการตลาด หลังจากวิกฤติอุทกภัยเมื่อปลายปี 2554 บริษัทได้ตัดสินใจโอนงานจัดเก็บและติดตามหนี้กลับเข้ามาบริหารเองทั้งหมด นอกจากนี้ บริษัทยังเน้นให้ความสำคัญกับการจัดเก็บและติดตามหนี้ตั้งแต่ก่อนที่หนี้ปกติจะกลายเป็นหนี้เสียด้วย ประสิทธิภาพในการจัดเก็บและติดตามหนี้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องดังเห็นได้จากสินเชื่อค้างชำระที่ลดลง ทั้งนี้ อัตราสินเชื่อค้างชำระของบัตรเครดิตลดลงจาก 5.3% ในไตรมาสแรกของปี 2555 เหลือ 2.2% ณ สิ้นปี 2556 สินเชื่อส่วนบุคคลก็มีอัตราสินเชื่อค้างชำระที่ลดลงเช่นกัน โดยลดจาก 4.7% ในไตรมาสแรกของปี 2555 เหลือ 1.5% ณ สิ้นปี 2556 แม้ว่าอัตราสินเชื่อค้างชำระจะมีแนวโน้มที่ลดลง แต่อัตราหนี้สูญตัดบัญชีสุทธิของบริษัทกลับเพิ่มขึ้นจาก 4.9% ในปี 2555 มาเป็น 7.3% ในปี 2556 ทั้งนี้ สาเหตุส่วนหนึ่งมาจากนโยบายการตั้งสำรองที่เข้มงวดมากขึ้น ดังจะเห็นได้จากสัดส่วนค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญต่อสินเชื่อค้างชำระที่เพิ่มขึ้นจาก 195% ณ สิ้นปี 2555 มาเป็น 293% ณ สิ้นปี 2556 บริษัทได้เพิ่มค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญให้สูงขึ้นเพื่อเตรียมความพร้อมให้บริษัทสามารถรับมือกับความไม่แน่นอนจากสภาพแวดล้อมในการดำเนินธุรกิจที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตได้ดียิ่งขึ้น ในปี 2555 บริษัทให้ความสำคัญในเรื่องการปรับปรุงระบบงานภายในและการควบคุมค่าใช้จ่าย โดยบริษัทเริ่มกลับมามุ่งเน้นด้านการตลาดในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2555 ซึ่งทำให้รายได้ในปี 2556 กลับมาเติบโตหลังจากที่ค่อนข้างนิ่งมาตั้งแต่ปี 2551 บริษัทมีกำไรสูงเป็นประวัติการณ์ในปี 2556 โดยมีกำไรสุทธิ (หลังหักรายการพิเศษจากการขายเงินลงทุน) อยู่ที่ 1,037 ล้านบาท เทียบกับ 255 ล้านบาทในปี 2555 ค่าใช้จ่ายดำเนินงานในปี 2556 ลดลงอย่างมากเหลือ 5,274 ล้านบาท เทียบกับ 6,565 ล้านบาทในปี 2555 อันเป็นผลจากความพยายามลดต้นทุนและการลงทุนด้านเทคโนโลยีสารสนเทศในปี 2555 ซึ่งน่าจะส่งผลต่อไปในอนาคตด้วย นอกจากนี้ การลดลงของค่าใช้จ่ายดำเนินงานยังเป็นผลจากการที่บริษัทได้เพิ่มการตั้งประมาณการหนี้สินสำหรับคะแนนสะสมแลกของรางวัลอย่างเพียงพอแล้วในช่วงปี 2554 และ 2555 ทำให้ภาระดังกล่าวลดต่ำลงมากในช่วงปี 2556 เป็นต้นไป ทั้งนี้ ประสิทธิภาพในการดำเนินงานที่ดีขึ้นตลอดจนนโยบายการตั้งสำรองอย่างระมัดระวังของบริษัทน่าจะช่วยให้บริษัทสามารถรักษาระดับกำไรนี้ได้ในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า บริษัทมีความเสี่ยงด้านกฎระเบียบอยู่บ้างโดยอาจมีกฏระเบียบใหม่ในเรื่องวิธีการคำนวณดอกเบี้ยซึ่งจะส่งผลกระทบต่อกำไรของบริษัทได้ ผลกระทบจากความไม่แน่นอนดังกล่าวสะท้อนอยู่ในการพิจารณาอันดับเครดิตของบริษัทในครั้งนี้แล้ว การขาดทุนที่สูงในปี 2554 ทำให้ส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัทลดต่ำลงอย่างมาก อัตราส่วนหนี้สินต่อทุนเพิ่มขึ้นเป็น 8.8 เท่า ณ สิ้นปี 2554 เทียบกับเกณฑ์ที่บริษัทต้องดำรงไว้ที่ระดับไม่เกิน 10 เท่า ผลกำไรในปี 2555 และ 2556 ช่วยลดอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนลงเหลือ 7.5 เท่า ณ สิ้นปี 2556 จากแนวโน้มธุรกิจของบริษัท หากบริษัทคงนโยบายการจ่ายเงินปันผลที่ระมัดระวัง ส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัทน่าจะกลับขึ้นมาอยู่ในระดับก่อนปี 2554 ได้ในเวลาอันสั้น อย่างไรก็ตาม แนวโน้มการเติบโตของสินเชื่ออาจทำให้บริษัทมีการกู้เงินเพิ่มขึ้นและส่งผลต่ออัตราส่วนหนี้สินต่อทุนของบริษัทอยู่บ้าง บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) (KTC) อันดับเครดิตองค์กร: BBB+ อันดับเครดิตตราสารหนี้: KTC148A: หุ้นกู้ไม่มีประกัน 1,800 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2557 BBB+ KTC14OA: หุ้นกู้ไม่มีประกัน 6,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2557 BBB+ KTC158A: หุ้นกู้ไม่มีประกัน 3,200 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2558 BBB+ KTC15OA: หุ้นกู้ไม่มีประกัน 1,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2558 BBB+ KTC165A: หุ้นกู้ไม่มีประกัน 2,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2559 BBB+ KTC168A: หุ้นกู้ไม่มีประกัน 1,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2559 BBB+ KTC168B: หุ้นกู้ไม่มีประกัน 2,200 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2559 BBB+ KTC174A: หุ้นกู้ไม่มีประกัน 500 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2560 BBB+ KTC17NA: หุ้นกู้ไม่มีประกัน 5,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2560 BBB+ KTC188A: หุ้นกู้ไม่มีประกัน 800 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2561 BBB+ หุ้นกู้ไม่มีประกันในวงเงินไม่เกิน 12,000 ล้านบาท ไถ่ถอนภายในปี 2563 BBB+ แนวโน้มอันดับเครดิต: Stable

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ