สพฉ. เตือนระวัง “สัตว์มีพิษ-งู-แมงป่อง-ตะขาบ” กัดช่วงหน้าฝน

ข่าวทั่วไป Wednesday August 27, 2014 14:40 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--27 ส.ค.--สถาบันการแพทย์ฉุกเฉิน นพ.อนุชา เศรษฐเสถียร เลขาธิการสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) กล่าวว่า ช่วงนี้เป็นช่วงหน้าฝน ซึ่งนอกจากประชาชนจะเจ็บป่วยฉุกเฉินจากอาการไข้หวัด ปอดบวม หรือโรคฉุกเฉินต่างๆ ที่มากับหน้าฝนแล้ว ยังมีเรื่องที่น่าห่วงอีกเรื่องที่จะทำให้ประชาชนบาดเจ็บฉุกเฉินได้ นั่นคือ การถูกสัตว์มีพิษกัดต่อย ทั้งนี้สัตว์มีพิษที่ประชาชนควรต้องระมัดระวังเป็นพิเศษในช่วงหน้าฝน คือ งูพิษ แมงป่อง ตะขาบ โดยงูพิษเป็นสัตว์ที่น่ากลัวที่สุด จะแฝงตัวอยู่ในพื้นที่รกและชื้นแฉะ ซึ่งข้อมูลจากสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติพบว่า ปีที่ผ่านมามีผู้ถูกสัตว์มีพิษกัดทั้งสิ้น 13,009 ราย และข้อมูลจากสถานเสาวภา สภากาชาดไทย ระบุว่า งูพิษที่พบมากที่สุดในประเทศไทย คือ 1.งูพิษที่มีผลต่อระบบประสาท ได้แก่ งูเห่าไทย งูเห่าพ่นพิษสยาม งูจงอาง และงูสามเหลี่ยม โดยพิษของงูจะทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรง และเป็นอัมพาต จะเริ่มจากกล้ามเนื้อมัดเล็ก ไปจนถึง กล้ามเนื้อมัดใหญ่และสุดท้ายจะเป็นทั้งตัว อาการแรกเริ่ม คือ หนังตาตก ผู้ป่วยลืมตาไม่ขึ้น ซึ่งมักถูกเข้าใจผิดๆ ว่าผู้ป่วยง่วงนอน ต่อมาจะเริ่มกลืนน้ำลายลำบาก พูดอ้อแอ้ และหยุดหายใจ เสียชีวิต 2.งูพิษที่มีผลต่อระบบเลือด ได้แก่ งูแมวเซา ซึ่งหากถูกกัด จะมีอาการปวดบวมบริเวณรอบแผลเล็กน้อย และงูกะปะ หากถูกกัดจะพบตุ่มน้ำเลือด และมีเลือดออกจากแผลที่ถูกกัด ส่วนกรณีของงูเขียวหางไหม้ จะมีอาการบวมบริเวณที่ถูกกัด และลามขึ้นค่อนข้างมาก เช่น ถูกกัดบริเวณนิ้วมือ แต่บวมทั้งแขน นอกจากนี้จะมีอาการช้ำเลือด และ พิษของงูจะไปทำให้เลือดในร่างกายไม่แข็งตัว เลือดออกไม่หยุด หรือมีเลือดออกในทางเดินอาหาร เลือดออกในสมอง ปัสสาวะมีเลือดปน เลือดออกตามไรฟัน หรือพบภาวะไตวายเฉียบพลันร่วมด้วยได้ และ 3.งูพิษที่มีผลทำลายกล้ามเนื้อ ได้แก่ งูทะเล โดยจะทำให้ปวดกล้ามเนื้อทั่วตัว ปัสสาวะมีสีเข้มจนถึงสีดำ ปัสสาวะออกน้อยเนื่องจากมีภาวะไตวายเฉียบพลัน อาจมีหัวใจหยุดเต้นจากภาวะโพแทสเซียมคั่งในเลือด นพ.อนุชา กล่าวต่อว่า หากท่านพบเห็นผู้ที่ถูกงูพิษเหล่านี้กัด เมื่อตรวจสอบแล้วว่าเป็นงูพิษ ให้รีบโทรแจ้งสายด่วน 1669 เพื่อขอความช่วยเหลือทางการแพทย์ จากนั้นให้ทำการปฐมพยาบาลตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่ โดยต้องรีบล้างแผลให้สะอาด ห้ามกรีดบาดแผล หรือดูดเลือดออกจากบาดแผลเด็ดขาด เนื่องจากเป็นความเข้าใจผิดและอาจจะทำให้ผู้ที่เข้าช่วยเหลือจะได้รับพิษไปด้วยหากมีบาดแผลในช่องปาก นอกจากนี้ห้ามกินยาที่มีส่วนผสมของแอสไพริน เพราะจะไปเสริมฤทธิ์ให้พิษงูทำงานเร็วยิ่งขึ้น และควรจัดให้ผู้ที่ถูกงูพิษกัดนอนนิ่งๆ จัดส่วนที่มีงูกัดให้ต่ำกว่าระดับหัวใจ อย่าเคลื่อนไหวโดยไม่จำเป็น ที่สำคัญไม่ควรปฐมพยาบาลด้วยการขันชะเนาะ เพราะหากทำผิดวิธีจะยิ่งทำให้ผู้ป่วยฉุกเฉินมีอันตรายมากยิ่งขึ้น และหากผู้ป่วยฉุกเฉินหยุดหายใจจะต้องรีบทำการฟื้นคืนชีพ หรือ CPR ส่วนผู้ที่ถูกสัตว์มีพิษอื่นๆ กัด เช่น แมงป่อง ควรให้ผู้ป่วยนอนนิ่งๆ อย่าเคลื่อนไหว เพื่อไม่ให้พิษกระจายไปเร็ว จากนั้นให้ล้างแผลให้สะอาดและใช้ผ้าห่อน้ำแข็งประคบบริเวณที่ถูกต่อย ซึ่งในกรณีผู้ที่แพ้พิษแมงป่อง คือมีอาการใจสั่น ปัสสาวะเข้ม ไข้ขึ้น หรือชัก และมีความผิดปกติทางระบบประสาท ควรรีบโทรแจ้งสายด่วน 1669 เพื่อขอความช่วยเหลือ ส่วนผู้ป่วยที่ถูกตะขาบกัด ก็ควรล้างแผลให้สะอาดเช่นกัน ประคบเย็นเพื่อลดอาการปวดบวม ซึ่งหากมีอาการบวมมากควรรีบไปพบแพทย์ อย่างไรก็ตามในช่วงหน้าฝน ประชาชนควรระมัดระวังตนเองในเบื้องตนก่อน โดยต้องหมั่นสังเกตพื้นที่บริเวณรอบบ้าน ว่ามีส่วนไหนที่รกและอับชื้นหรือไม่ และหากจำเป็นต้องเดินในพื้นที่รกชื้นควรใส่รองเท้าหุ้มส้น เตรียมไฟฉาย ไว้ส่องสว่าง และเตรียมไม้ไว้ตีไล่สัตว์มีพิษออกไป.

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ