“หม่อมเหยิน” ตลกสู้ชีวิตเร่ขายไอติม ปลดหนี้กว่า 7 ล้าน

ข่าวบันเทิง Tuesday September 16, 2014 10:35 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--16 ก.ย.--ช่อง2 เคยได้ชื่อว่าเป็น “ตลกชื่อดัง” เมื่อพูดถึง “หม่อมเหยิน” หรือ “ประสิทธิ์ เทศทะวงศ์” แต่ด้วยหนีสินที่ทำธุรกิจร้านอาหารกว่า 7 ล้านบาททำให้ต้องโบกมือลาวงการบันเทิงและต้องหนีวิซ่าทำงานประเทศญี่ปุ่นถึง 8 ปี เพื่อหาเงินปลดหนี้ วันนี้ “อ.ยิ่งศักดิ์ จงเลิศเจษฎาวงศ์” ขอร่อนการ์ดเชิญให้เจ้าตัวมาใจแบบหมดเปลือกในรายการ “คนดังนั่งเคลียร์” ทาง “ช่อง 2” บันเทิง ถึงรส ถึงคุณ หม่อมเหยิน ตอนนี้สุขภาพยังดีอยู่มั้ย ? “แข็งแรงดีครับ ถ้าไม่ยังงั้นจะตระเวนขายไอศกรีมได้เหรอ ตอนนี้อายุ 66 ปีแล้วครับ ถามว่าดูแลสุขภาพยังไง ก็คงต้องบอกว่าขออย่างเดียว คิดเราอย่าหยุดทำงาน อย่าหยุดคิด ต้องออกกำลังกายตลอดเวลา ทุกส่วนของร่างกาย” ตอนนั้นรายได้ดีมาก แล้วทำไมถึงเป็นแบบนี้ ? “ด้วยความที่เราอยากรวยมาก เห็นคนอื่นเขาทำธุรกิจรวย เราก็อยากจะทำกับเขาบ้าง ทำร้านอาหาร เมื่อร้านอาหารมันไม่ประสบความสำเร็จเราก็ทำอย่างอื่นต่อ เงินจะเก็บไว้ทำไม ข่าวบอกหมดกับผู้หญิง ไม่มีเลย ตอนนั้นทำร้านอาหาร เด็กผู้หญิงในร้านก็เยอะ แขกไม่เข้าร้านเราก็ต้องเอาเงินเราให้เด็ก ต้องเลี้ยงเพวกเขาทั้งผู้หญิง ผู้ชาย” ได้ข่าวว่าหม่อมเหยินเมีย 3 ลูก 9 ? “ก็ยอมรับว่าเมีย 3 คน แต่ไม่ใช่ช่วงเวลาเดียวกัน ทุกอย่างเป็นอดีต เมียสุดท้ายก็แม่น้องเอ็ม เรามี 3 ครอบครัวลูกครอบครัวละ 3 คน ทั้งหมดมีลูก 9 คน” ดูเหมือนทุกอย่างก็สมบูรณ์แบบดีแล้วทำไมอยู่ๆ ออกจากวงการ ? “เราไม่ได้อยากออกจากวงการหรอก แต่เราทำร้านอาหารแล้วเงินหมด ประจวบกับเป็นช่วงเศรษฐกิจตลกก็ไม่ค่อยมีงาน คือธุรกิจที่พัง อาจจะเป็นเพราะว่าเราไม่ใช่คนที่ทำธุรกิจ เพราะเราไม่รู้เรื่องในครัว ไม่รู้เรื่องอาหาร สุดท้ายเราหมดกับธุรกิจร้านอาหารไปร่วมๆ 7 ล้านบาท ไม่รวมรถเบนซ์อีก 2 คัน” หนีไปอยู่ญี่ปุ่น ? “เรามีเพื่อนคนไทยที่ญี่ปุ่นเยอะ แรกๆ ก็ไปเล่นตลกอยู่ที่นั้น ใช้วีซ่าท่องเที่ยวครั้งละ 3 เดือน พอหมด 3 เดือนเราก็หนีวีซ่า พอหมดวีซ่าก็ส่งลูกกลับ แล้วเมียก็ตามมา เราก็ใช้ชีวิตอยู่ที่นั้น ตอนนั้นกะจะไปทำร้านอาหารแล้วมีงานอะไรที่ทำได้ก็จะทำ สุดท้ายก็ได้ทำงานในโรงงาน เพราะมีคนไทยเขาไปเปิดโรงงานอยู่ ทำไปทำมาเราใช้ชีวิติยู่ที่นั้นประมาณ 8 ปี เราไปต้องการไปทำงาน ไม่ได้หนีหนี้ไป ตอนที่ไปก็ปรึกษาเมีย เหมือนเราอยากจะไปพักด้วย เรื่องภาษก็เรียนรู้เอาที่นั้น รายได้ตอนแรกๆ ก็ไม่ดีเท่าไหร่ แต่เขารู้ว่าเราขยันก็เลยให้ทำงานเยอะ เดือนหนึ่งได้ประมาณ 8 หมื่นบาท กับลูกๆ ตอนนั้นก็โทรศัพท์คุยกันตลอด ตอนที่ตัดสินในจกลับมาก็เพราะกลับมาหาลูก เราไม่รู้จะถูกจับเอาตอนไหน ถ้าจับได้ไม่รู้ยังไง มันเป็นช่วงที่กวาดล้างด้วย ผมเข้าไปมอบตัวกับเมีย เข้าไปคุยกับตำรวจ มีคนไทยพาไป เรามอบตัวทำให้ถูกต้องไม่ต้องเสียค่าปรับ ตำรวจเขาถามทำไมรีบกลับ เราก็บอกอยากไปอยู่กับลูก ตอนนั้นทำงานเก็บเงินพอกลับมาใช้หนี” ทุกวันนี้หนีสินใช้หมดแล้ว ? “หมดแล้ว ชีวิตมันก็เริ่มมีความสุข กลับมาเป็นพ่อค้าขายไอศครีมพอเรากลับมาชีวิตจังหวะก็ไปเยี่ยมคนนั้นไปเยี่ยมคนนี้เงินที่มีอยู่ก็เริ่มหมด นึกได้ว่ามีคนไทยเคยปั่นไอศครีมขายอยู่ที่ญี่ปุ่น เราก็เคยเห็นเขาทำ ได้สูตรมาก็ลองทำดู ใช้เวลาทำอยู่นานพอสมควรนะ กว่าจะลงตัว ตอนเริ่มขายใหม่ๆ ขายดีมาก ตอนนี้ตระเวนขายไปหลายจังหวัด ยอดขายพอจะยังดีอยู่ แต่ลูกน้อง 4-5 คน ต้นทุนก็สูงหักลบแล้วก็เหลือไม่เท่าไหร่ ตอนนี้ลูกๆ ก็ส่งเสียนะ เพียงแต่ว่าเรายังมีแรงก็ทำกันไปก่อน” ท้อไหม ? “ไม่ท้อหรอก บั้นปลายชีวิตก็ต้องทีคนมาเสริมสานงานขายไอศกรีมต่อ ลูกหลานมีเยอะ ถ้าใครไม่เอาก็ตามใจ ผมผ่านอะไรมาเยอะ ไม่เครียด และไม่คิดที่จะฆ่าตัวตาย เราเกิดมาไม่มีอะไรเลย เมื่อเราตายไปเราก็ไม่มีอะไร ชีวิตคิดแค่นี้ก็มีความสุขละ”

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ