ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กร &หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน และแนวโน้ม “บ. โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์” ที่ “A+/Stable”

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday October 16, 2014 10:01 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--16 ต.ค.--ทริสเรทติ้ง ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของ บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ “A+” ด้วยแนวโน้ม “Stable” หรือ “คงที่” โดยอันดับเครดิตสะท้อนถึงสถานะผู้นำของบริษัทในธุรกิจค้าปลีกสินค้าเกี่ยวกับบ้านในประเทศไทย ตลอดจนความสามารถในการบริหารสินค้าคงคลัง และผลงานในการบริหารศูนย์รวมวัสดุและอุปกรณ์ตกแต่งบ้านที่ครบวงจร ทั้งนี้ การพิจารณาอันดับเครดิตยังคำนึงถึงการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นในหมู่ผู้ค้าปลีกสมัยใหม่ที่จำหน่ายสินค้าเกี่ยวกับบ้านและภาวะเศรษฐกิจในประเทศที่ชะลอตัว ในขณะที่แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนถึงการคาดการณ์ว่าบริษัทจะสามารถรักษาผลประกอบการและกระแสเงินสดจากการดำเนินงานที่แข็งแกร่งเอาไว้ได้โดยที่ยังคงอัตราการก่อหนี้ให้อยู่ในระดับที่ยอมรับได้ในขณะที่มีการขยายสาขา ทั้งนี้ ร้านค้ารูปแบบใหม่ของบริษัทคาดว่าจะช่วยขยายฐานลูกค้าและสร้างกำไรให้แก่บริษัทเพิ่มขึ้นในอนาคต บริษัทโฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ เป็นผู้นำในธุรกิจค้าปลีกที่จำหน่ายสินค้าและบริการเพื่อปรับปรุงที่อยู่อาศัยแบบครบวงจร ณ สิ้นเดือนกันยายน 2557 ผู้ถือหุ้นหลักของบริษัทประกอบด้วย บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) (30.23%) และ บริษัท ควอลิตี้เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) (19.77%) ปัจจุบันบริษัทบริษัทมีร้านค้า 2 รูปแบบคือ “โฮมโปร” ซึ่งเป็นร้านค้ารูปแบบเดิมของบริษัทที่จำหน่ายสินค้าและให้บริการเกี่ยวกับบ้านแบบครบวงจร โดยมีพื้นที่ขายประมาณ 3,000-10,000 ตารางเมตร (ตร.ม.) ต่อสาขา และ “เมกาโฮม” ซึ่งเป็นร้านค้าในรูปแบบคลังสินค้าขนาดใหญ่ที่เน้นตอบสนองความต้องการของกลุ่มผู้รับเหมา ตลอดจนเจ้าของโครงการ ร้านค้ารายย่อย และผู้บริโภค โดยแต่ละสาขาของเมกาโฮมจำหน่ายสินค้าเกี่ยวกับบ้านและสินค้าที่ใช้ในบ้านซึ่งมีพื้นที่ขายประมาณ 12,000-20,000 ตร.ม. ต่อสาขา ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา บริษัทขยายสาขาเพิ่มขึ้นจำนวนมาก โดยเปิดสาขาใหม่ 8 สาขาในปี 2555 และ 13 สาขาในปี 2556 เทียบกับ 4 สาขาต่อปีในช่วงก่อนหน้า ทั้งนี้ พฤติกรรมของผู้บริโภคที่หันมานิยมซื้อสินค้าในศูนย์ค้าปลีกสมัยใหม่เป็นปัจจัยสนับสนุนการขยายสาขาของบริษัท ณ สิ้นเดือนกันยายน 2557 บริษัทมีสาขารวมทั้งสิ้น 71 สาขา ประกอบด้วยร้านค้าโฮมโปร21 สาขาในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล และ 46 สาขาในต่างจังหวัด นอกจากนี้ บริษัทมีร้านค้าภายใต้รูปแบบเมกาโฮม 4 สาขา ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2557 บริษัทเปิดสาขาใหม่ทั้งหมด 6 แห่งในต่างจังหวัด ประกอบด้วยร้านค้าโฮมโปร 4 สาขา และร้านค้าเมกาโฮม 2 สาขา การขยายสาขาอย่างต่อเนื่องทำให้บริษัทสามารถสร้างฐานธุรกิจค้าปลีกสินค้าเกี่ยวกับบ้านที่แข็งแกร่งทั่วประเทศ นอกจากนี้ บริษัทยังคงมุ่งเน้นการขยายสาขาในต่างจังหวัดเพิ่มเติมในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า ยอดขายของบริษัทเพิ่มขึ้น 16% จาก 34,542 ล้านบาทในปี 2555 เป็น 40,112 ล้านบาทในปี 2556 และในช่วงครึ่งแรกของปี 2557 บริษัทมียอดขายเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็น 23,102 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 21% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนใหญ่เป็นการเพิ่มขึ้นจากสาขาใหม่ ในขณะที่ยอดขายของสาขาเดิมเติบโตในอัตราที่ชะลอตัว โดยในช่วงไตรมาสแรกของปี 2557 อัตราการเติบโตของยอดขายจากสาขาเดิมเท่ากับ 3.8% เปรียบเทียบกับระดับ 6.3%-6.8% ในช่วงปี 2554-2555 เนื่องจากเหตุการณ์ความไม่สงบทางการเมือง ตลอดจนภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซา รายได้ภาคการเกษตรที่ลดลงตามราคาพืชผลการเกษตร และระดับหนี้สินในครัวเรือนที่เพิ่มขึ้นได้ส่งผลลบต่อการบริโภคของประชาชนในประเทศ อย่างไรก็ตาม อัตราการเติบโตของยอดขายจากสาขาเดิมของบริษัทฟื้นตัวในไตรมาสที่ 2 ของปี 2557 เท่ากับ 6.5% อัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทเพิ่มขึ้นจาก 26% ในปี 2555 เป็น 26.8% ในปี 2556 แต่ลดลงเล็กน้อยเป็น 26.2% ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2557 การลดลงของอัตรากำไรขั้นต้นเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงในสัดส่วนของรายได้ของบริษัทและการเพิ่มขึ้นของยอดขายที่มาจากร้านค้าเมกาโฮมซึ่งมีอัตรากำไรขั้นต้นน้อยกว่าร้านค้ารูปแบบเดิมของโฮมโปร บริษัทมีเงินทุนจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจาก 3,993 ล้านบาทในปี 2555 เป็น 4,884 ล้านบาทในปี 2556 และเป็น 2,656 ล้านบาทในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2557 สภาพคล่องของบริษัทอยู่ในเกณฑ์ดีจากการบริหารเงินทุนหมุนเวียนที่มีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตาม ภาระหนี้ของบริษัทเพิ่มขึ้นจากการขยายสาขาจำนวนมาก บริษัทมีการลงทุนประมาณ 6,000 ล้านบาทในปี 2555 และ 10,000 ล้านบาทในปี 2556 เปรียบเทียบกับเงินลงทุนประมาณ 3,000 ล้านบาทต่อปีในช่วงก่อนหน้า ส่งผลให้เงินกู้รวมของบริษัทเพิ่มขึ้นจาก 5,523 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2555 เป็น 11,030 ล้านบาท ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2557 และอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนเพิ่มขึ้นเป็น 46.7% ในช่วงครึ่งแรกของปี 2557 เมื่อเทียบกับระดับ 34%-40% ในช่วงระหว่างปี 2552-2555 แม้ภาระหนี้ของบริษัทจะเพิ่มขึ้นมาก แต่อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมของบริษัทยังคงแข่งแกร่งที่ระดับ 44% ในปี 2556 และ 54.1% (ปรับอัตราส่วนให้เป็นตัวเลขเต็มปีด้วยตัวเลข 12 เดือนย้อนหลัง) ในช่วงครึ่งแรกของปี 2557 บริษัทมีแผนการขยายสาขา 10 สาขาภายในประเทศและเปิดสาขาแรกในประเทศมาเลเซีย ซึ่งบริษัทจะต้องใช้เงินลงทุนประมาณ 8,000 ล้านบาทในปี 2557 โดยบริษัทจะจัดหาเงินลงทุนดังกล่าวจากกระแสเงินสดจากการดำเนินงานและการกู้ยืม ทั้งนี้แผนการขยายสาขาจำนวนมากอาจส่งผลให้ภาระหนี้ของบริษัทเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทยังสามารถรักษาโครงสร้างเงินทุนให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม โดยที่บริษัทจะมีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้น ทั้งจากผลการดำเนินงานที่จะดีขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศ และจากจำนวนสาขาที่เพิ่มขึ้น รวมถึงประสิทธิภาพการบริหารสินค้าคงคลังที่ดีของบริษัท นอกจากนี้ บริษัทยังสามารถจัดหาแหล่งเงินทุนเพิ่มเติมได้จากการขายพื้นที่เช่าใน “หัวหิน มาร์เก็ต วิลเลจ” และ “โฮมโปร วิลเลจ สุวรรณภูมิ” ให้แก่กองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REITs) บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) (HMPRO) อันดับเครดิตองค์กร: A+ อันดับเครดิตตราสารหนี้: HMPRO169A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 4,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2559 A+ HMPRO179A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 2,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2560 A+ แนวโน้มอันดับเครดิต: Stable

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ