ปลดล็อคศักยภาพผ่านการออกแบบองค์กร

ข่าวทั่วไป Monday October 20, 2014 11:22 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--20 ต.ค.--Hay Group การแข่งขันทางธุรกิจที่มีความรุนแรงมากขึ้นในปัจจุบัน ส่งผลให้องค์กรต่างๆ เผชิญกับปัญหาและความท้าทายที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ปัญหาส่วนหนึ่งเกิดจากปัจจัยภายนอกองค์กรซึ่งยากต่อการควบคุม แต่หลายปัญหาก็เกิดจากปัจจัยภายในองค์กรซึ่งเราสามารถควบคุมได้ บริษัท เฮย์กรุ๊ป ซึ่งเป็นบริษัทที่ปรึกษาด้านการบริหารองค์กรระดับโลก เปิดเผยว่าสาเหตุหลักของผลการปฏิบัติงานที่ไม่เป็นไปตามเป้าหมายมักเป็นผลจาก 3 ปัจจัยพื้นฐาน อันได้แก่ ความเป็นผู้นำ ระบบการจัดการผลการปฏิบัติงาน และโครงสร้างของงานและองค์กร โดยผลการปฏิบัติงานที่มีประสิทธิภาพจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อทั้งสามปัจจัยนี้มีการทำงานร่วมกันอย่างสอดคล้อง จากผลการศึกษาและประสบการณ์ของเฮย์กรุ๊ป ได้เผยถึงหลักการพื้นฐาน 6 ประการ ซึ่งจะช่วยประสานการทำงานระหว่าง ตำแหน่งงาน กระบวนการ และบุคลากร รวมไปถึงช่วยพัฒนาประสิทธิภาพในการทำงานขององค์กร ดังนี้ หลักการที่ 1: ให้ความสำคัญกับคุณค่าของงาน แม้คำกล่าวที่ว่า ‘โครงสร้างองค์กรควรถูกออกแบบโดยพิจารณาจากกลยุทธ์ทางธุรกิจขององค์กรเป็นสำคัญ’ จะเคยถูกพูดถึงมาแล้วหลายครั้ง แต่สิ่งนี้ก็ควรค่าแก่การย้ำเตือน โดยในขั้นแรกนั้นองค์กรจะต้องเข้าใจก่อนว่างานใดและความรู้ความสามารถด้านไหนที่จำเป็นต่อการทำให้กลยุทธ์ขององค์กรบรรลุผล รวมถึงสร้างความได้เปรียบทางธุรกิจให้กับองค์กร ข้อมูลนี้จะช่วยให้องค์กรตัดสินใจได้ว่าธุรกิจหรืองานใดที่ควรถูกพัฒนาขึ้นภายในองค์กร และธุรกิจหรืองานใดที่ควรจ้างคนภายนอกทำ เมื่อหาคำตอบตรงส่วนนี้ได้แล้ว ความท้าทายต่อไปคือจะจัดโครงสร้างองค์กรอย่างไรให้เกิดความสอดคล้องกันระหว่างงาน หน้าที่ความรับผิดชอบ และธุรกิจเพื่อให้กลยุทธ์ขององค์กรนั้นสำเร็จตามเป้าหมายอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงสุด งานทุกงานต้องมีความหมายและมีคุณค่ากับองค์กร กล่าวอีกนัยหนึ่งคือทุกๆงานที่องค์กรสร้างขึ้นควรมีวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน เฉพาะเจาะจง และเป็นประโยชน์กับองค์กร นอกจากนี้ผู้บริหารในแต่ละระดับควรให้การสนับสนุนเพื่อส่งเสริมคุณค่าของแต่ละงานในการนำกลยุทธ์ขององค์กรไปปฏิบัติในองค์รวม หลักการที่ 2: เข้าใจบทบาทในการทำงานร่วมกันอย่างชัดเจน บ่อยครั้งที่การทำงานในองค์กรต้องอาศัยการติดต่อและความร่วมมือข้ามสายงาน ซึ่งการจะทำให้การทำงานร่วมกันเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพได้นั้น งานและกระบวนการทำงานจะต้องถูกออกแบบเพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ของแต่ละบทบาทหน้าที่ที่เกี่ยวข้องอย่างเหมาะสม โดยความสัมพันธ์ดังกล่าวควรจะมีความชัดเจนและเชื่อมโยงกันทั้งองค์กร ปัจจัยหลักที่ต้องคำนึงถึงคือการไม่มีช่องว่างและความซ้ำซ้อนระหว่างงาน เมื่อใดที่เกิดช่องว่างระหว่างงาน การทำงานอาจเป็นไปอย่างล่าช้า ให้ผลที่ไม่น่าพอใจหรืออาจไม่สำเร็จตามเป้าที่ตั้งไว้ ในขณะที่ความซ้ำซ้อนของงานจะก่อให้เกิดความสับสนและอาจนำไปสู่การปะทะกันระหว่างกลุ่ม อีกสิ่งหนึ่งที่มักถูกมองข้ามในการออกแบบองค์กรคือบทบาทหน้าที่ของแต่ละหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตลอดกระบวนการทำงาน หากบทบาทหน้าที่และความสัมพันธ์ในการทำงานของแต่ละหน่วยงานไม่ชัดเจนและไม่สอดคล้องกัน อาจก่อให้เกิดความสับสนและความไม่ร่วมมือขึ้นได้ สิ่งนี้ถือเป็นประเด็นในเรื่องของการออกแบบงานและเป็นความท้าทายของผู้บริหารที่ต้องทำให้ทุกคนเข้าใจว่างานของตนมีจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดตรงที่ใด หลักการที่ 3: งานต้องปฏิบัติได้จริง สิ่งที่สำคัญในการออกแบบงานคือต้องมั่นใจว่าบทบาทหน้าที่และความรับผิดชอบของแต่ละงานนั้นมีความเหมาะสมและสามารถปฏิบัติได้ งานควรถูกออกแบบโดยคำนึงถึงความต้องการขององค์กรเป็นหลัก ไม่ใช่คำนึงถึงความสามารถของพนักงานในตำแหน่งนั้นเป็นสำคัญ แม้ในบางสถานการณ์การออกแบบงานตามความสามารถของพนักงานอาจจะใช้ได้ดี แต่ความเสี่ยงคือหากมองถึงภาพรวมขององค์กรแล้วงานที่ถูกออกแบบโดยพิจารณาจากความสามารถของพนักงานเหล่านี้อาจขาดความสอดคล้องเชื่อมโยงกัน และอะไรจะเกิดขึ้นเมื่อพนักงานคนนั้นลาออกจากองค์กรไป นอกจากนี้การออกแบบงานจะต้องพิจารณาขอบเขตและลักษณะของงานอันหมายถึง ทักษะประสบการณ์ และความสามารถในการแก้ไขปัญหา ตัวอย่างเช่น หากพนักงานที่อยู่ในตำแหน่งงานระดับไม่สูงนัก มีทักษะและประสบการณ์น้อยถูกมอบหมายงานที่มีความรับผิดชอบสูงเกินไป พวกเขาก็จะเครียดและไม่สามารถทำงานนั้นได้ ในทางกลับกัน หากพนักงานตำแหน่งสูงที่มีทักษะและประสบการณ์มากถูกมอบหมายงานที่มีความรับผิดชอบน้อยเกินไป พวกเขาก็อาจจะเบื่อและองค์กรเองก็จะได้รับผลตอบแทนที่ไม่คุ้มค่ากับสิ่งที่ลงทุนไป ปริมาณความรับผิดชอบของงานที่เหมาะสมก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญหลักที่ควรคำนึงถึง การให้งานในปริมาณที่มากเกินไปหรือให้ทำในสิ่งที่ไม่เกี่ยวข้องกับงาน อาจก่อให้เกิดความสับสน การขาดสมาธิ และการทำงานที่ไม่เต็มประสิทธิภาพ สัญญาณหนึ่งที่บ่งชี้ว่าพนักงานได้รับปริมาณงานที่ไม่เหมาะสมคือ พนักงานทำงานที่ควรทำระหว่างวันในช่วงเวลากลางคืนเพราะต้องเข้าประชุมทั้งวันในตอนกลางวัน นอกจากนี้การออกแบบงานควรพิจารณาถึงความสอดคล้องระหว่างหน้าที่ความรับผิดชอบของงานและแรงจูงใจในการทำงานของผู้ดำรงตำแหน่ง หากเราให้พนักงานขายไปทำงานธุรการแทนที่จะให้ไปพบปะพูดคุยกับลูกค้า ก็อาจทำให้พนักงานรู้สึกอึดอัด ไม่พอใจในการทำงาน และอาจพิจารณาเปลี่ยนงานในที่สุด หลักการที่ 4: อำนาจการตัดสินใจต้องเหมาะสม งานที่ถูกออกแบบมาอย่างดีจะต้องมีการกำหนดอำนาจตัดสินใจที่ชัดเจนและมีความเหมาะสมกับความรับผิดชอบนั้นๆ หากขาดอำนาจการตัดสินใจที่เหมาะสม พนักงานจะไม่สามารถปฏิบัติงานตามที่ได้รับมอบหมายได้ เมื่อขอบเขตของการตัดสินใจไม่ชัดเจน หรือผู้จัดการและพนักงานได้รับข้อมูลที่สับสน พวกเขาก็จะไม่กล้าเสี่ยงที่จะตัดสินใจ และเช่นเดียวกันกับหน้าที่ความรับผิดชอบของงาน อำนาจการตัดสินใจควรมีความสอดคล้องกันทั้งภายในหน่วยงานเดียวกันและข้ามหน่วยงาน เพื่อให้มั่นใจว่าจะไม่มีช่องว่างและความซ้ำซ้อนในอำนาจการตัดสินใจเกิดขึ้นในองค์กร หลักการที่ 5: มีความชัดเจนในความรับผิดชอบร่วมกัน แต่ละงานมีความเกี่ยวข้องกับการตัดสินใจได้ในหลายรูปแบบ เช่น การให้ข้อมูลเพื่อสนับสนุนการตัดสินใจ การตัดสินใจเพียงผู้เดียวหรือการตัดสินใจร่วมกัน ความรับผิดชอบร่วมกันจะมีประสิทธิภาพก็ต่อเมื่อมีการกำหนดความรับผิดชอบของแต่ละฝ่ายไว้อย่างชัดเจนและจำกัดอยู่ในวงเพียงไม่กี่คนเท่านั้น เมื่อต้องตัดสินใจร่วมกันสองฝ่าย ทั้งสองฝ่ายนั้นจะต้องร่วมกันรับผิดชอบต่อผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น หากร่วมกันตัดสินใจมากกว่าสองฝ่าย นอกจากจะต้องมีการกำหนดความรับผิดชอบที่ชัดเจนแล้ว ยังต้องมีการกำหนดผู้ที่มีอำนาจในการตัดสินใจเด็ดขาดซึ่งเป็นผู้ที่อยู่ในระดับที่สูงกว่าที่จะสามารถระงับข้อพิพาทได้อย่างรวดเร็วและเด็ดขาด หากไม่มีผู้มีอำนาจการตัดสินใจที่อยู่ในระดับสูงกว่าแล้ว การตัดสินใจที่ไม่ลงรอยกันหรือความขัดแย้งทางธุรกิจอาจนำไปสู่การมีปัญหาต่อเนื่องในทางส่วนตัวได้ หลักการที่ 6: ทีมงานต้องมีความรับผิดชอบเช่นกัน จากผลการศึกษาของเฮย์กรุ๊ปร่วมกับมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ศาสตราจารย์ริชาร์ด แฮคแมน ชี้ให้เห็นว่าทีมงานที่มีประสิทธิภาพสูงสุดคือทีมงานที่มีความชัดเจนในวัตถุประสงค์และบทบาทของทีม ตลอดจนผลที่คาดว่าจะได้รับตามหน้าที่และความรับผิดชอบของสมาชิกในทีมแต่ละคน จุดมุ่งหมายหลักของทีมคือการสร้างคุณค่าที่มากกว่าแค่ผลรวมของความรับผิดชอบของสมาชิกในทีม ซึ่งการที่จะทำจุดมุ่งหมายนี้ให้สำเร็จ ต้องมีการออกแบบขอบเขตงานของทีมที่มีความเหมาะสมและปฏิบัติได้ นอกจากนี้การทำงานเป็นทีมจำเป็นต้องเอาชนะปัญหาที่เกิดขึ้นเพื่อบรรลุเป้าหมายโดยรวม ทั้งนี้ทีมงานขององค์กรที่ประกอบด้วยสมาชิกจากหลายสายงานควรมีเป้าหมายและตัวชี้วัดที่มุ่งเน้นถึงผลลัพธ์ของทีมเป็นหลัก หลักการพื้นฐานทั้ง 6 ประการนี้สามารถนำไปประยุกต์ใช้กับการปรับโครงสร้างองค์กรได้ทุกขนาดและทุกรูปแบบ หลักการเหล่านี้จะช่วยให้เข้าใจว่าการเปลี่ยนแปลงนั้นๆ จะมีผลกระทบอย่างไรต่องานและกระบวนการต่างๆ ในองค์กร เพื่อให้มั่นใจว่าการแก้ไขปัญหาอย่างหนึ่งจะไม่ก่อให้เกิดปัญหาอีกอย่างหนึ่งตามมา พสุภา โกศัลลกูฏ ที่ปรึกษาอาวุโส บริษัทเฮย์กรุ๊ป ให้ความเห็นว่า “การเปลี่ยนแปลงวิธีการทำงานในองค์กรนั้นถือเป็นสิ่งที่ท้าทายและยากที่สุดสิ่งหนึ่ง ซึ่งหากจัดการไม่ดีพออาจก่อให้เกิดปัญหาขัดแย้งขึ้นได้ อย่างไรก็ตามถ้าเราสามารถสร้างระบบที่เป็นมาตรฐานที่เหมาะสมกับองค์กรได้ จะทำให้องค์กรเกิดการพัฒนาในรูปแบบที่ช่วยผลักดันกลยุทธ์ขององค์กรอย่างมีประสิทธิภาพ เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงและซับซ้อนมากขึ้น และยังเป็นการทำให้พนักงานเกิดความผูกพันกับองค์กรอย่างยั่งยืนด้วยการสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานในเชิงบวกด้วย” เกี่ยวกับบริษัท เฮย์กรุ๊ป บริษัท เฮย์กรุ๊ป เป็นบริษัทด้านการให้คำปรึกษาด้านการบริหารจัดการองค์กรระดับโลก ที่ดำเนินงานร่วมกับผู้บริหารระดับสูงของแต่ละองค์กรในการร่วมกันทำให้กลยุทธ์เป็นความจริง บริษัทมุ่งพัฒนาความสามารถในการบริหารจัดการองค์กร โดยใช้ทรัพยากรมนุษย์ ที่แต่ละองค์กรมีอยู่ เพื่อสร้างประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจ รวมทั้งกระตุ้นบุคลากรขององค์กรแสดงศักยภาพที่มีอยู่เพื่อการปฏิบัติงานให้แก่องค์กร ปัจจุบันบริษัทมีที่ปรึกษาและทีมงานที่มีความสามารถทั้งสิ้น 7,000 คน โดยปฏิบัติงานอยู่ใน 87 ออฟฟิศ จากทั้ง 49 ประเทศทั่วโลก บริษัทมีประสบการณ์ในการให้คำปรึกษาแก่ทั้งภาครัฐและเอกชน ในทุกๆ กลุ่มธุรกิจ ภายใต้จุดมุ่งหมายที่ว่าสร้างการเปลี่ยนแปลงและช่วยให้องค์กรต่างๆ ตระหนักถึงศักยภาพของตน

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ