แลมโบกีนี แอสเทอเรียน แอลพีไอ 910-4 เปิดตัว ณ งาน Paris Mondial de L'Automobile บุกเบิกทัศนวิสัยใหม่แห่งการเคลื่อนที่ แลมโบกินีคันแรก ผู้นำเทคโนโลยี Plug-in Hybrid

ข่าวยานยนต์ Monday October 20, 2014 12:56 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--20 ต.ค.--Conjunction Public Relations - ผู้นำเทคโนโลยี Plug-in hybrid เตรียมสัมผัสกับประสบการณ์ใหม่ของแลมโบร์กีนี ด้วยพลังที่เหนือกว่า สามารถขับได้ทุกวันและขับสบาย - ระบบพลังงานไฮบริด ประกอบด้วย เครื่องยนต์ วี10 5.2 ผสานกำลังกับมอเตอร์ไฟฟ้ามากถึง 3 ตัว ให้กำลัง 300 แรงม้า ซึ่งเมื่อทำงานร่วมกันทั้งหมดแล้ว จะให้กำลังรวมกันมากถึง 910 แรงม้า โดยทำความเร็วจาก 0-100 กม./ชม. ภายใน 3 วินาที ความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 320 กม./ชม. - อัตราการปล่อยไอเสียคาร์บอนไดออกไซด์ มีปริมาณอยู่ที่ 98 กรัม/กม. และมอเตอร์ไฟฟ้าสามารถทำระยะทางสูงสุด 50 กิโลเมตร - การพัฒนาเทคโนโลยีด้านสถาปัตยกรรมในการคิดค้นคาร์บอนไฟเบอร์ตัวถังแบบไร้โครงในการออกแบบรถยนต์แบบใหม่ที่เกินคาดและน่าหลงไหล คงความเป็นที่สืบทอดของแลมโบกินี ออโตโมบิลลี แลมโบร์กีนี เปิดตัว รถแลมโบร์กีนีคันแรกที่เป็นต้นแบบในการใช้เทคโนโลยี Plug-in hybrid แลมโบร์กีนี แอสเทอเรียน แอลพีไอ 910-4 เปิดตัวครั้งแรกของโลก ณ งาน Paris Mondial de L'Automobile แลมโบร์กีนี แอสเทอเรียน เป็นรถที่จำลองขึ้นมาให้ประกอบด้วย plug-in hybrid ที่ออกแบบมาเพื่อจุดประสงค์ดังนี้ แอสเทอเรียนตอบโจทย์ในการช่วยลดอัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ผ่านเทคโนโลยีที่มีในปัจจุบัน สามารถรับประกันความรู้สึกที่แตกต่างเมื่อได้ขับแลมโบร์กีนีที่มีความเรียบลื่นและมีการตอบสนองเวลาขับขี่ด้วยพลังที่เหนือกว่าพร้อมความสามารถที่ยอดเยี่ยมของมอเตอร์ไฟฟ้าที่สามารถทำระยะทางสูงสุด 50 กิโลเมตร แอสเทอเรียน แอลพีไอ 910-4 ได้ถูกคิดค้นและพัฒนาทั้งหมดจากภายใต้บริษัท แลมโบร์กีนี โดยนำเอาการออกแบบและความเชี่ยวชาญด้านวิศวกรรมที่ล้ำสมัยที่พบในรถยนต์แลมโบร์กีนีรุ่นใหม่ เสริมด้วยการคิดค้นเทคโนโลยีไฮบริดเพื่อสร้างแลมโบร์กีนีที่มีความแตกต่างโดยสิ้นเชิงขึ้นมา พร้อมกับการออกแบบรถยนต์แบบใหม่ที่เกินคาดและน่าหลงไหลให้เข้ากับลักษณะด้านเทคนิคของรถยนต์แต่ยังคงความเป็นแลมโบร์กีนีอย่างไม่มีผิดเพี้ยน การคิดค้นและการพัฒนาทั้งหมดโดยแลมโบร์กีนี, แอสเทอเรียน แอลพีไอ 910-4 ออกแบบและตัดแต่งโดยผู้เชี่ยวชาญด้านวิศวกรรมได้ค้นพบแลมโบร์กีนี และเพิ่มนวัตกรรมอย่างเทคโนโลยีไฮบริด เป็นการสร้างแลมโบร์กีนีที่มีความแตกต่างอย่างชัดเจน ด้วยดีไซน์ที่ดึงดูด และสมรรถนะของรถ หลักการ แอสเทอเรียน คือต้นแบบของเทคโนโลยี เป็นตัวแทนของรถโมเดลแลมโบร์กีนีที่สามารถผลิตขึ้นได้จริงแล้ววันนี้ โดยใช้เทคโนโลยีที่มีอยู่ในปัจจุบันและใช้ความเชี่ยวชาญของบริษัทแลมโบร์กีนีเอง “แลมโบร์กีนี นั้นคอยมองไปข้างหน้าอยู่เสมอ การลงทุนให้กับเทคโนโลยีใหม่ และตั้งเกณฑ์มาตรฐานใหม่ๆ เพื่อนำไปสู่สิ่งที่ไม่คาดคิด” สเตฟาน วินเคลมานน์ ประธานและซีอีโอ บริษัท ออโตโมบิลี่ แลมโบร์กินี กล่าว แลมโบร์กีนีมุ่งมั่นอย่างต่อเนื่องในการลดน้ำหนักตัวรถ เพื่อที่จะลดปริมาณก๊าซคาร์บอนฯ ตัวอย่างเช่น การลงทุนในวิศวกรรมคาร์บอนไฟเบอร์ ซึ่งเป็นส่วนช่วยในการค้นหาสมรรถภาพและการประคองรถยนต์ที่ดีที่สุดสำหรับรถรถแข่งระดับสุดยอด อย่างไรก็ตามในขณะนี้ การพัฒนาไฟฟ้าแบบ plug-in เพื่อลดอัตราการปล่อยไอเสียนั้นเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดของเราเพราะว่าสำหรับรถแบบแลมโบร์กีนียังคงต้องให้ประสบการณ์การขับขี่ที่น่าตื่นเต้น ซึ่งสามารถรับประกันได้ใน แอสเทอเรียน ผ่านเครื่องยนต์สูบอย่างธรรมชาติผสมผสานกับเทคโนโลยี PHEV ที่ไม่ได้มีความสามารถแค่การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในระดับที่ต่ำมากถึง 98 กรัม / 1 กิโลเมตร แต่ศักยภาพของมอเตอร์ไฟฟ้าล้วนๆที่สามารถทำระยะทางสูงสุด 50 กิโลเมตร แอสเทอเรียน แอลพีไอ 910-4 คือแลมโบร์กีนีตัวจริง ดีไซน์ล้ำเลิศ ขุมพลังเหนือกว่า และยังคิดค้นให้การขับสบายแบบหรูหราและเหมาะสำหรับใช้งานได้ทุกวันมากกว่าสมรรถนะการแข่งในสนามขั้นสูงสุด” Plug-in Hybrid solution และสมรรถนะภาพ เทคโนโลยี PHEV เป็นทางเลือกที่ตอบโจทย์สำหรับแลมโบร์กีนี แอสเทอเรียน แอลพีไอ 910-4 แอสเทอเรียน วิ่งได้ระยะทาง 50 กม. เมื่อใช้พลังงานจากแบตเตอรี่อย่างเดียวผ่านเครื่องยนต์สูบอย่างธรรมชาติ การใช้พลังงานเชื้อเพลิง 4.12 ลิตร/100 กม. ผสานกับ NEDC น้ำหนักของเทคโนโลยีไฮบริดอยู่ที่ 250 กิโลกรัม แอสเทอเรียน มีวัตถุประสงค์ที่จะลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนฯ ขณะที่ยังคงการขับเคลื่อนของแลมโบร์กีนี 98 กรัม/กม. เนื่องจากตัวถังทำจากคาร์บอนไฟเบอร์ทั้งหมด เครื่องยนต์ FSI V10 ขนาด 5.2 ลิตร ติดตั้งอยู่กลางลำตัวรถเช่นเดียวกับในรถแข่งแลมโบร์กินี การทำงานของระบบคลัตช์คู่ทีเคลื่อนย้ายความรวดเร็ว 7 ระดับด้วยความเร็วสูงนั้นตั้งอยู่หลังเครื่องยนต์ที่ด้านหลังของชุดเพลาส่งกำลัง แบตเตอรี่ลิเธียมอันทรงพลังนั้นตั้งอยู่กลางท่อทำให้รถมีความสมดุลที่ดีกว่าและปกป้องบริเวณที่แบเตอรี่วางอยู่ในกรณีที่ได้รับแรงกระทบกระเทือนจากการชนด้านข้าง สถาปัตยกรรมของแอสเทอเรียน ไฮบริด เข้าใจถึงเครื่องยนต์ไฟฟ้าที่มีสตาร์ทเตอร์และเจนเนอเรเตอร์แบบบูรณาการ หรือ ISG ซึ่งวางอยู่ระหว่างเครื่องยนต์ V10 และกระปุกเกียร์คลัตช์คู่ เครื่องยนต์ไฟฟ้าสองเครื่องที่เพลาหน้าที่ได้รับพลังงานจาก ISG (Integrated starter and generator) ควบคู่กับระบบกระจายแรงบิด ระบบนี้ทำให้แอสเทอเรียนสามารถขับได้ 2 รูปแบบ ในรูปแบบไฮบริดระบบนี้จะผสมผสานเครื่องยนต์ V10 กับเครื่องยนต์ไฟฟ้า 3 ตัว รับประกันการขับเคลื่อนสี่ล้อตลอดระยะทางโดยที่ไม่ต้องพึ่งแบตเตอรี่ที่กำลังชาจอยู่ ในรูปแบบวิ่งด้วยไฟฟ้าอย่างเดียวจะใช้เครื่องยนต์ไฟฟ้า 2 ตัวด้านหน้าเท่านั้น ด้านหลังอันทรงพลังที่โดดเด่น และไฟท้ายที่โดดเด่น ตะแกรงครอบหม้อน้ำ 2 ตัวและแบ่งแยกอย่างชัดเจนระหว่างสีตัวรถและส่วนอื่นที่เป็นสีดำ ที่คลุมเครื่องยนต์ด้านหลังรถแบบโปร่งใสเป็นรายละเอียดความงามที่เชื่อมโยงเทคโนโลยีไฮบริด ประกอบด้วยแก้วหกเหลี่ยม 3 ชิ้นที่จะเปลี่ยนไปตามรูปแบบการขับเคลื่อนของเครื่องยนต์: รูปแบบวิ่งด้วยไฟฟ้าอย่างเดียว, รูปแบบไฮบริด หรือ รูปแบบที่ใช้พลังงานความร้อนอย่างเดียว ยางพิเรลลี่ ขนาด 20 ถึง 21 นิ้ว เข้ากับขอบคาร์บอน และล้อมรอบไปด้วยบังโคลน ประตูของแอสเทอเรียนมีขนาดใหญ่ ที่เปิดออกไปด้านนอกและทำให้เข้าไปภายในรถง่ายขึ้น ห้องโดยสารกว้างขวางถูกสรีระสำหรับผู้ขับ ตำแหน่งที่นั่งสะดวกสบาย กระจกหน้ารถในแนวตั้งมากขึ้น ทำให้มีเนื้อที่เหนือศีรษะสูงขึ้น ในขณะที่ด้านหน้าของรถยืดออกไปซึ่งมีสัดส่วนสำหรับเก็บกระเป๋าเดินทางรวมอยู่ด้วย ธง 3 สีที่ประตูรถทำให้นึกถึงความเป็นอิตาเลียนของแอสเทอเรียนและมีโล่รูปกระทิงดุฝังอยู่ด้านข้างตัวรถ เครื่องยนต์ V10 ขนาด 5.2 ลิตร วางแนวยาว เครื่องยนต์สูบอย่างธรรมชาติติดตั้งอยู่กลางลำตัวรถทำให้ปล่อยพลังงานได้มากถึง 449 กิโลวัตต์ (610 แรงม้า) และ 560Nm ของแรงบิดที่มีอยู่ เมื่อรวมกับเครื่องยนต์ไฟฟ้า 3 ตัว จะให้พลังเพิ่มอีก 220 กิโลวัตต์ (300 แรงม้า) พลังงานไฮบริดรวมแล้วได้มากที่สุดที่ 669 กิโลวัตต์ (910 แรงม้า) การรวมกันของระบบแรงขับเคลื่อน2ระบบ รับประกันแรงกระตุ้นที่มีพลัง อัตราการเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ใช้เวลา 3 วินาที ความเร็วสูงสุดของไฮบริดอยู่ที่ 320 กิโลเมตร/ชั่วโมง และเมื่อใช้พลังงานไฟฟ้าอย่างเดียวอยู่ที่ 125 กิโลมตร/ชั่วโมง ที่สำคัญที่สุดสำหรับรถที่วิ่งในเมือง แอสเทอเรียนวิ่งได้ระยะทาง 50 กม. เมื่อใช้พลังงานจากแบตเตอรี่อย่างเดียว ถือเป็นรถแข่งไฮบริดที่ดีที่สุด แรงบัลดาลใจใหม่สำหรับการออกแบบ การออกแบบภายนอก สีน้ำเงินออกมันวาวของแอสเทอเรียนและการออกแบบใหม่สะท้อนให้เห็นถึงแนวความคิดของเทคโนโลยีที่อยู่เบื้องหลังรถคันนี้ ออกแบบโดย Lamborghini Centro Stile แอสเทอเรียนประกอบไปด้วยดีเอ็นเอของแลมโบร์กินีและเป็นมรดกแต่ยังคงความแตกต่างจากรถแข่งแลมโบร์กินี่รุ่นอื่นๆ แอสเทอเรียนได้ก้าวสัมผัสขอบเขตใหม่ๆด้วยนวัตกรรมการออกแบบที่คาดไม่ถึงซึ่งให้ความสนใจไปที่ส่วนโค้งและความนุ่มนวลการเปลี่ยนแผงที่เรียบเนียนและขอบคมอยู่น้อย ผลที่ได้คือการออกแบบที่บริสุทธิ์และเป็นธรรมชาติ เช่นเดียวกับรถแลมโบร์กินีรุ่นอื่น แอสเทอเรียนมีแนวเส้นที่ชัดเจนแยกแผ่นเรียบด้านข้างรถให้เห็นความแตกต่างระหว่างแผงรถ แสงและเงาทำให้รถดูเด่นเน้นที่ความบึกบึนของแอสเทอเรียนแต่ยังคงดูสง่าและโฉบเฉี่ยวมากขึ้น ด้านหน้าของรถนั้นผลิตขึ้นเป็นชิ้นส่วนเดียวทำให้แอสเทอเรียนดูมีพลังเน้นผ่านไปที่การวาง “ตาและคิ้ว” ไฟหน้าทำด้วยคาร์บอนและไทเทเนียม ปริมาณอากาศด้านหน้าที่เข้าไปนั้นควบคุมโดยระบบการทำให้เย็นซึ่งใช้แบบตารางสองชั้นซึ่งถือเป็นครั้งแรกในรถแลมโบร์กินี ส่วนที่เป็นเหล็กและส่วนที่เป็นไทเทเนียมฝังตัวเข้าด้วยกัน การออกแบบภายใน ภายในที่เน้นความเรียบง่ายและทันสมัยของแอสเทอเรียนสะท้อนถึงการออกแบบภายนอกรถแต่ยังคงให้ความรู้สึกและแลดูคลาสสิค ที่นั่งทั้ง 2 ที่นั่งภายในรถยนต์ถูกวางให้อยู่สูงกว่าในรถแข่งแลมโบร์กินีทั่วไปเหมาะสำหรับการขับขี่ที่สบายใช้ได้ทุกวัน เบาะหนังสี Extensive Bianco Celaeno (สีงาช้าง) และ Marrone Attis (สีน้ำตาล) ให้ความรู้สึกการขับขี่ที่หรูหราเพิ่มความสง่างามจากการรวมวัตถุอลูมิเนียม คาร์บอนไฟเบอร์และไทเทเนียมที่มองเห็นได้จากพวงมาลัย 3 ด้าน ที่ออกแบบมาจากรถแลมโบร์กินีรุ่น Miura อย่างไรก็ตามพวงมาลัยของแอสเทอเรียนมี 3 ปุ่ม สำหรับให้ผู้ขับได้เลือกรูปแบบการขับขี่เครื่องยนต์ ปุ่ม Zero –สำหรับระบบปล่อยไอเสียเป็นศูนย์ หรือ ใช้พลังไฟฟ้าทั้งหมด ปุ่ม I – สำหรับระบบไฮบริด ปุม T (Termico) – ใช้พลังงานความร้อน สุดท้ายนี้อุปกรณ์แท็บเล็ตแบบเคลื่อนย้ายได้สำหรับผู้ขับขี่ใช้จัดการควบคุมอากาศรวมถึง GPS และสาระบันเทิงภายในรถ ที่มาของชื่อ แอสเทอเรียน LPI 910 - 4 LP มาจาก ‘longitudinale posteriore’ หมายถึงตำแน่งของเครื่องยนต์ I มาจาก ‘ibrido’ หรือ ไฮบริด 910 คือพลังงานของระบบ เลข 4 คือระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ แนวคิดรถในฝันแบบใหม่ที่ถูกออกแบบโดยแลมโบร์กินีเริ่มต้นจากสัญชาติญาณแต่จุดสำคัญในการคาดหวังกับอนาคตนั้นขึ้นอยู่กับการแปลงโฉมและการทำให้เป็นรถไฮบริดจากดีเอ็นเอของรถแลมบ์กินีเอง แอสเทอเรียนเปรียบเสมือนเรือสำราญที่เดินทางอย่างบ้าคลั่งได้เกิดขึ้นมาแล้ว ความสง่างามผสมผสานกับเสน่ห์ดึงดูดใจในการขับขี่แลมโบร์กินี รถที่เครื่องยนต์อันทรงพลังพบกับเทคโนโลยีไฮบริดแห่งความยั่งยืน ต้องขอบคุณโครงรถยนต์น้ำหนักเบาที่ทำมาจากคาร์บอนไฟเบอร์นั่นเอง แลมโบกินี แอสเทอเรียน ได้แรงบัลดาลใจจากความเป็นตำนาน แอสเทอเรียนเป็นชื่อที่แท้จริงของสัตว์ในเทพนิยายของกรีก มิโนทอร์ (Minotaur) เป็นภาพลักษณ์ของการเป็นลูกผสมและสัญลักษณ์การเป็นลูกผสมบอกเล่าเรื่องราวการหลอมรวมอันทรงพลังระหว่างปัญญาและสัญชาติญาณ ครึ่งคนครึ่งกระทิง เป็นต้นแบบอันทรงพลัง แลมโบร์กินียังคงยืนหยัดอยู่กับประเพณีการตั้งชื่อแต่ละรุ่นมาจากโลกของกระทิงแต่ในขณะเดียวกันเพิ่มองค์ประกอบใหม่คือ ดีเอ็นเอไฮบริด ความแข็งแกร่งของกระทิงถูกส่งมาจากเครื่องยนต์สูบอย่างธรรมชาติร่วมกับพื้นฐานความเป็นมนุษย์จากเทคโนโลยีไฮบริด และทั้งหมดนี้คือวิธีที่แลมโบร์กินีเตรียมพร้อมสำหรับอนาคตด้วย แอสเทอเรียน เกี่ยวกับ ออโตโมบิลี แลมโบร์กีนี ออโตโมบิลี แลมโบร์กีนีก่อตั้งในปี ค.ศ. 1963 มีสำนักงานใหญ่ในเมืองเซ็นต์ อกาต้า โบโลญเนสภาคตะวันออกเฉียงเหนือของอิตาลี รถยนต์รุ่นแลมโบร์กีนี ฮูราแคน แอลพี 610-4 ซึ่งเปิดตัวไปทั่วโลกในงาน เจนีรวา มอเตอร์โชว์ 2014คือการต่อยอดความสำเร็จจากรุ่น แลมโบร์กีนีกัลญาร์โด้ ซึ่งเป็นการนำเสนอประสบการณ์ใหม่แห่งการขับขี่ซูเปอร์สปอร์ตคาร์ระดับหรูที่ถึงพร้อมด้วยเทคโนโลยีอันล้ำสมัยและสมรรถนะที่เหนือชั้น ส่วนรุ่นแลมโบร์กีนี อะเวนตาโดร์ แอลพี 700-4 ซึ่งนำเสนอทั้งแบบคูเป้และโร้ดสเตอร์ถือเป็นแบบฉบับของซูเปอร์สปอร์ตคาร์ระดับหรูที่ใช้เครื่อง V12 จนเป็นที่จับตามองไปทั่วโลก ในช่วงเวลาราวครึ่งศตวรรษ แลมโบร์กีนี ได้สร้างสรรค์ยานยนต์ชั้นเลิศระดับเอ็กซคลูซีฟหลายซีรี่ส์ อาทิ ลัมโบร์กีนี 350 จีที, มิวร่า, เอสปาด้า, คูนทัช, ดิอาโบล, มูร์เซียลาโก ตลอดจนรุ่มลิมิเต็ดซีรี่ส์ทั้งรุ่นเรเบนตัน, เซสโต เอเลเมนโต และ อะเวนตาโดร์ เจ โดยรุ่น อะเวนตาโดร์ คูเป้, อีโกอิสต้า และ เวเนโน โร้ดสเตอร์ผลิตขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองครบรอบ 50 ปี แลมโบร์กีนี ในปี ค.ศ. 2556 ที่ผ่านมา หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ ออโตโมบิลี แลมโบร์กีนี กรุณาเยี่ยมชมเว็บไซต์www.lamborghini.com
แท็ก มอเตอร์   mobile  

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ