สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดงาน สัปดาห์หนังสือแห่งชาติ ครั้งที่ 43 และงานสัปดาห์หนังสือนานาชาติ ครั้งที่ 13 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์

ข่าวบันเทิง Monday March 30, 2015 12:09 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--30 มี.ค.--PUBAT สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินเป็นองค์ประธานในพิธีเปิดงาน“สัปดาห์หนังสือแห่งชาติ ครั้งที่ 43 และงานสัปดาห์หนังสือนานาชาติ ครั้งที่ 13” (43rd National Book Fair and 13thBangkok International Book Fair 2015) พร้อมกันนี้ได้พระราชทานวโรกาสให้ พลเรือเอกณรงค์ พิพัฒนาศัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ นายกมล รอดคล้าย เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และนายจรัญ หอมเทียนทอง นายกสมาคมผู้จัดพิมพ์และ ผู้จำหน่ายหนังสือแห่งประเทศไทย เฝ้ารับเสด็จฯ ในการนี้สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พระราชทานรางวัลให้แก่ผู้ชนะการ ประกวดหนังสือดีเด่นประจำปี พ.ศ. 2558 จากนั้นเสด็จพระราชดำเนินทอดพระเนตรนิทรรศการร้าน จำหน่ายหนังสือ และสื่อการศึกษาภายในงาน ก่อนเสด็จพระราชดำเนินกลับ “สัปดาห์หนังสือแห่งชาติครั้งที่ 43 และสัปดาห์หนังสือนานาชาติครั้งที่ 13” (43rd National Book Fair and 13th Bangkok International Book Fair 2015) จัดขึ้นระหว่างวันพฤหัสบดีที่ 26 มีนาคม – วันจันทร์ที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2558 (12 วัน) โดยวันพฤหัสบดีที่ 26 มีนาคม เปิดเข้าชมงานตั้งแต่เวลา 19.00 -21.00 น. และวันศุกร์ที่ 27 มีนาคม -วันจันทร์ที่ 6 เมษายน เปิดเข้าชมงานตั้งแต่เวลา 10.00 – 21.00 น. ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ภายใต้แนวคิด “เด็กดี ?” โดยในปีนี้จัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ เพราะนอกจากจะมีสำนักพิมพ์ไทยตอบรับเข้าร่วมงานกว่า 428 สำนักพิมพ์ รวมทั้งสิ้น 928 บูธแล้วนั้น ยังได้รับเกียรติจากสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) เข้าร่วมงานในฐานะ Guest of Honor ซึ่งจะนำหนังสือมาร่วมจัดแสดง ถือเป็นการเปิดโลกการอ่านให้คนไทยได้เห็นถึงวัฒนธรรมที่หลากหลายของหนังสือและการอ่านในอีกซีกโลกด้วย นายจรัญ หอมเทียนทอง นายกสมาคมผู้จัดพิมพ์และผู้จำหน่ายหนังสือแห่งประเทศไทย (PUBAT) เปิดเผยว่า“งานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ ครั้งที่ 43 และสัปดาห์หนังสือนานาชาติ ครั้งที่ 13” (43rd National Book Fair and 13thBangkok International Book Fair 2015) ถือเป็นงานแสดงหนังสือที่ได้รับความสนใจและรอคอยจากบรรดาคนรักการอ่านมาตลอด โดยในปีนี้จัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่สวนกระแสเศรษฐกิจ เพราะนอกจากจะมีสำนักพิมพ์ไทยตอบรับเข้าร่วมงานกว่า 428 สำนักพิมพ์ รวมทั้งสิ้น 928 บูธ บนพื้นที่ประมาณ 21,000 ตารางเมตรแล้วนั้น ยังได้รับเกียรติจากสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) เข้าร่วมงานในฐานะ Guest of Honor ซึ่งจะนำหนังสือมาร่วมจัดแสดง ถือเป็นการเปิดโลกการอ่านให้คนไทยได้เห็นถึงวัฒนธรรมที่หลากหลายของหนังสือและการอ่านในอีกซีกโลก โดยจะนำเสนอทั้งในส่วนของนิทรรศการและการบรรยายในหัวข้อที่ไม่ควรพลาด อาทิ นิทรรศการ “ Photos from UAE Gallery” กิจกรรมในเชิงวัฒนธรรม เช่น ซุ้มสาธิตการเพ้นท์เฮนน่าแบบโบราณ, วงดนตรีพื้นบ้านของชาวสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์, การสาธิตงานศิลปะโดยช่างฝีมือชาวสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์, การอ่านบทกวีอาหรับ, การฉายภาพยนตร์ และการเขียนตัวอักษรอาหรับ นอกจากนี้ยังได้รับเกียรติจากสำนักพิมพ์ต่างประเทศอีก 21 บริษัท จาก 10 ประเทศเข้าร่วมแสดงหนังสือด้วย อาทิ อิหร่าน แคนาดา อังกฤษ ฝรั่งเศส อินเดีย อเมริกา “ในฐานะองค์กรที่มีภารกิจสำคัญในการส่งเสริมการอ่านนั้น เล็งเห็นว่าหนังสือและการอ่านถือเป็นส่วนหนึ่งในการร่วมสร้างประเทศอย่างมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน เพราะคนถือเป็นทรัพยากรที่สำคัญที่สุดของการที่จะพัฒนาประเทศในทิศทางต่างๆ ถ้าคนในชาติอ่านมากขึ้น ก็จะมีความรู้ ความคิด และวิจารณญาณในการพิจารณาประเด็นต่างๆเพิ่มขึ้นเพื่อพัฒนาตัวเอง เราจำเป็นต้องอ่านหนังสือให้มากขึ้นกว่านี้ เพื่อเป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยให้ประเทศก้าวเดินได้อย่างมั่นคง” นายจรัญกล่าว โดยนายจรัญเปิดเผยว่า ปีนี้ได้จัดงานภายใต้แนวคิด “เด็กดี?” ซึ่งเชื่อมโยงกับนิทรรศการไฮไลท์ของงานคือ“เพราะเป็นเด็กจึงเจ็บปวด” และได้รับเกียรติจาก “สุชาติ สวัสดิ์ศรี” ศิลปินแห่งชาติสาขาวรรณศิลป์ ร่วมดูแลเนื้อหาของนิทรรศการ ส่วนตัวแล้วตนหวังว่าทุกถ้อยคำในงานวรรณศิลป์ทั้งระดับประเทศและระดับโลก ที่ทางผู้จัดคัดเลือกมาแสดงในนิทรรศการแบบสามมิติครั้งนี้ จะเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยสะกิดสังคมให้หันกลับมาสำรวจทัศนคติของตนเองและวิธีการต่างๆที่ร่วมสร้างหรือหล่อหลอมลูกหลานซึ่งจะกลายเป็นกำลังสำคัญของประเทศทั้งในปัจจุบันและอนาคต นอกจากนิทรรศการดังกล่าวแล้ว ยังมีกิจกรรมที่น่าสนใจอีกมากมาย อาทิ นิทรรศการเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี “เทพรัตนจีนปริวรรตปรีชา”, นิทรรศการรางวัลพานแว่นฟ้าเฉลิมพระเกียรติ เนื่องในโอกาสครบ 120 ปี แห่งวันพระบรมราชสมภพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาประชาธิปกฯ พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว, นิทรรศการจุดประกายฝัน “10 ปี ทีเคพาร์ค 1 ทศวรรษการอ่านของสังคมไทย”, นิทรรศการวรรณกรรมแห่งชาติ, MUSE PASS เทรนด์สนุกบุกพิพิธภัณฑ์, นิทรรศการหนังสือดีเด่น, โซนอ่านสนุกอย่าง “Book Wonderland” ดินแดนที่จะทำให้คุณตื่นเต้นไปกับจินตนาการแห่งโลกหนังสือ พร้อมของรางวัลมากมายที่แจกไม่อั้นในทุกวัน และพบกับนวัตกรรมล่าสุดเพื่อร่วมรักษาสิ่งแวด ล้อม “QR Code สแกนแผนผังบูธ” หวังลดการใช้ปริมาณกระดาษ “เป็นครั้งแรกที่มีการนำเทคโนโลยีอย่าง QR Code มาใช้ในการสแกนแผนผังบูธ แทนการใช้กระดาษอย่างที่ผ่านมา เพราะในแต่ละปีเราผลิตแผนผังบูธในรูปแบบของกระดาษนับล้านแผ่น ซึ่งหลังจากงานจบลง เรากลายเป็นส่วนหนึ่งที่ร่วมสร้างขยะปริมาณมหาศาลให้กับโลก ดังนั้นเพื่อแก้ปัญหาดังกล่าวเราจึงหันมาพิจารณาถึงเทคโนโลยีที่จะสามารถนำมาใช้ทดแทนกันได้ ก็คือ QR Code นั่นเอง โดยวิธีใช้ง่ายมาก เพราะผู้เข้าชมงานสามารถใช้แอพพลิเคชั่นสำหรับสแกน QR Code (ซึ่งสามารถโหลดฟรีได้จาก Apps Store ของ iOS และ Google Play Store ของ Android)มาสแกนภาพ QR Code ตามสื่อต่างๆภายในงานคือโปสเตอร์ ป้ายโฆษณา โปสการ์ดที่ระลึกซึ่งติดตั้งอยู่ภายในงาน จากนั้นเว็บไซต์ผังบูธจะปรากฏขึ้นมา ผู้เข้าชมงานจะสามารถค้นหาบูธที่ต้องการ เปิดดูแผนที่ภายในงาน ตรวจสอบวัน เวลา และสถานที่จัดกิจกรรมต่างๆ และรับข้อมูลข่าวสารอื่นๆที่ทางสมาคมผู้จัดพิมพ์ฯจะเผยแพร่ต่อไปได้ ที่สำคัญเรายังคงทำ “โครงการ ๑ อ่าน ล้านตื่น” อย่างต่อเนื่อง โดยปีนี้คึกคักเป็นพิเศษเพราะมีของที่ระลึกซึ่งออกแบบโดย “มุนิน” นักวาดภาพประกอบชื่อดังเป็นคอลเลคชั่นพิเศษทั้งเสื้อ สมุดโน้ต มาร่วมสมนาคุณผู้ใจบุญ เพราะเพียงบริจาคเงินเริ่มต้นที่ 40 บาท ก็จะได้รับของที่ระลึกน่ารักนอกเหนือไป จากการมีส่วนเป็นผู้สร้างทุนทางปัญญาแก่เด็กด้อยโอกาส หรือบริจาคเพียง 5 บาทก็จะได้รับโปสการ์ดที่มี QR Codeเพื่อสแกนแผนผังบูธในงาน ซึ่งผู้บริจาคสามารถจัดส่งโปสการ์ดในตู้ไปรษณีย์ภายในงานได้อย่างไม่เสียค่าใช้จ่าย โดยได้รับการสนับสนุนจากไปรษณีย์ไทย ซึ่งเป็นหนึ่งในภาคีเครือข่ายส่งเสริมการอ่านด้วยหนังสือคุณภาพ โดย “โครงการ ๑ อ่าน ล้านตื่น” ถือเป็นโครงการแรกที่ให้สิทธิ์ผู้รับบริจาคในการเลือกหนังสือได้ด้วยตนเอง สมาคมผู้จัดพิมพ์ฯ จะจัดซื้อหนังสือตามการเลือกสรรจากผู้ดูแลศูนย์เด็กเล็กและตัวแทนชุมชนคนรักอ่าน ทั้งนี้รายการหนังสือดังกล่าว จะได้รับการพิจารณาจากผู้แทนของสมาคมห้องสมุดแห่งประเทศไทย เพื่อให้แน่ใจได้ว่าเป็นหนังสือคุณภาพ นอกจากนี้ยังต่อยอดโครงการด้วยกิจกรรมพิเศษคือ “วัน ๑อ่าน ล้านตื่น” ซึ่งจะชวนเด็ก ๆ ด้อยโอกาสกว่า400 คน ได้มาเลือกหนังสือที่ตัวเองอยากอ่านภายในงานอีกด้วย” ด้านนายปราบดา หยุ่น อุปนายกสมาคมผู้จัดพิมพ์ฯ ในฐานะประธานจัดนิทรรศการ “เพราะเป็นเด็กจึงเจ็บปวด” กล่าวว่า “เพราะเป็นเด็กจึงเจ็บปวด” ได้รับการสนับสนุนการจัดจากกรมส่งเสริมวัฒนธรรม และกรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม โดยเป็นนิทรรศการที่นำเสนอตัวอย่างบางส่วนของหนังสือและถ้อยคำที่สะท้อนความจริงของวัยเด็ก ช่วยเปิดโลก กระตุ้นจินตนาการ ทลายกรงขัง และเป็นแรงขับให้เด็กจำนวนมากได้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ด้วยหนทางแห่งปัญญามาแล้วหลายยุคสมัย โดยหวังว่าจะเป็นการเปิดหน้าต่างสู่โลกกว้างให้กับเด็กๆที่ได้เข้าชม และในขณะเดียวกันก็เป็นกระจกสะท้อนผู้ใหญ่บางท่านที่อาจยังไม่รู้ตัวว่าตนเป็นส่วนหนึ่งที่สร้างความเจ็บปวดให้กับเด็ก “การเรียนรู้ที่สำคัญในวัยเด็ก ถ้อยคำที่นำพาเด็กไปสู่การมีสติปัญญาอย่างเข้มแข็ง และสิ่งที่จะช่วยให้พวกเขาหลุดพ้นจากความเจ็บปวดได้ อาจอยู่ในตัวหนังสือที่พวกเขาค้นพบเองในการอ่าน จากประสบการณ์ตรงที่ถูกถ่ายทอดด้วยชั้นเชิงทางวรรณศิลป์โดยนักเขียนบางท่าน เช่นที่มีผู้ใหญ่จำนวนไม่น้อยเคยสารภาพอย่างภาคภูมิว่าการอ่านหนังสือได้ช่วยชีวิตพวกเขาเอาไว้” นายปราบดากล่าว ด้านสุชาติ สวัสดิ์ศรี ศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ ในฐานะดูแลเนื้อหานิทรรศการเปิดเผยว่า การคิดเนื้อหานิทรรศการนั้นนั้นเชื่อมโยงจากแนวคิดของงานคือ “เด็กดี?” “คำคุณศัพท์ที่ขยายคำว่าเด็ก เป็นเรื่องที่คิดว่าควรมีเครื่องหมายคำถาม อาจเป็นเพราะว่าผู้ใหญ่คาดหวัง สร้างว่าเด็กดีต้องเป็นนั้นนี้ เด็กถูกคาดหวังจากผู้ใหญ่ คงเพราะพล็อตตรงนี้กระมังที่ทำให้เกิดสิ่งที่ตามมาคือความเจ็บปวด เด็กทุกสมัยถูกคาดหวังจากพ่อแม่ เด็กไม่เข้าใจหรอก สิ่งที่เขาเข้าใจนั้นขึ้นอยู่กับสิ่งแวดล้อม และสิ่งที่เขาสัมพันธ์ด้วย ซึ่งหล่อหลอมให้เขาเติบโตขึ้น ในนิทรรศการนี้ผมก็จะมองเรื่อง 3 เรื่องกว้างๆ คือครอบครัว สังคม ตัวเด็ก อยากให้มาชมกันด้วยตัวเอง” นายสุชาติกล่าว เตรียมตัวให้พร้อม หอบความสุข พกความรู้กลับบ้านใน “งานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ ครั้งที่ 43 และสัปดาห์หนังสือนานาชาติ ครั้งที่ 13” (43rd National Book Fair and 13th Bangkok International Book Fair 2015) ซึ่งจะเริ่มขึ้นระหว่างวันพฤหัสบดีที่ 26 มีนาคม – วันจันทร์ที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2558 (12 วัน) โดยวันพฤหัสบดีที่ 26 มีนาคม เปิดเข้าชมงานตั้งแต่เวลา 19.00 -21.00 น. และวันศุกร์ที่ 27 มีนาคม -วันจันทร์ที่ 6 เมษายน เปิดเข้าชมงานตั้งแต่เวลา 10.00 – 21.00 น. ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ