กรุงศรีรายงานผลกำไรสุทธิ 4.4 พันล้านบาท ในไตรมาส 1/2558 เป็นผลจากความแข็งแกร่งในการดำเนินธุรกิจที่เพิ่มขึ้นและสัดส่วนสินเชื่อที่สมดุล

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday April 21, 2015 13:24 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--21 เม.ย.--ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ภายใต้ภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวช้ากว่าที่คาดการณ์ในไตรมาสแรกของปีนี้ กรุงศรี (ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน)) ในเครือมิตซูบิชิ ยูเอฟเจ ไฟแนนเชียล กรุ๊ป (MUFG) วันนี้ได้รายงานผลกำไรสุทธิของไตรมาส 1/2558 จำนวน 4.4 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 32.6% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปี 2557 โดยมีปัจจัยขับเคลื่อนมาจากการเพิ่มขึ้นของรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ อันเป็นผลมาจากการเติบโตของเงินให้สินเชื่อในธุรกิจขนาดใหญ่และการเติบโตของรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิ เป็นผลมาจากการรับโอนธุรกิจจากธนาคารแห่งโตเกียว-มิตซูบิชิ ยูเอฟเจ จำกัด (BTMU) สาขากรุงเทพฯ สรุปผลประกอบการ (ตามงบการเงินรวม) และฐานะการเงินที่สำคัญ สำหรับไตรมาส 1/2558 - การเติบโตของเงินให้สินเชื่อ: เพิ่มขึ้น 21.9% คิดเป็นสินเชื่อที่เพิ่มขึ้นจำนวน 222 พันล้านบาทเมื่อเทียบกับ ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2557 - การเติบโตของเงินรับฝาก: เพิ่มขึ้น 20.6% หรือเพิ่มขึ้นจำนวน 173 พันล้านบาท เมื่อเทียบกับ ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2557 - กำไรสุทธิ: อยู่ที่ 4.4 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.4% จากไตรมาส 4/2557 หรือเพิ่มขึ้น 32.6% จากไตรมาส 1/2557 - ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิ (NIM): ปรับตัวลงจากไตรมาสก่อนหน้ามาอยู่ที่ 4.21% ยังเป็นส่วนต่างที่น่าพอใจ และเป็นไปตามคาดหมาย เป็นผลมาจากสัดส่วนเงินให้สินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่ที่เพิ่มขึ้น - รายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิ: เพิ่มขึ้น 8.2% จากไตรมาส 4/2557 และ 24.5% จากไตรมาส 1/2557 ปัจจัยหลักเกิดจากการเพิ่มขึ้นของรายได้ค่าธรรมเนียมจากการให้กู้ยืม รายได้ค่าธรรมเนียมธุรกรรมบริหารความมั่งคั่ง กองทุน และธุรกิจหลักทรัพย์ - อัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้: ปรับตัวดีขึ้นมากอยู่ที่ 46.3% เมื่อเทียบกับ 47.4% ในไตรมาส 4/2557 - อัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพ (NPLs): อยู่ที่ 2.36% ต่อเงินให้สินเชื่อรวม เมื่อเทียบกับ 2.79% ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2557 - อัตราส่วนเงินสำรองต่อสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้: อยู่ในระดับแข็งแกร่งที่ 139.2% - อัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง: ปรับเพิ่มขึ้นเป็น 15.1% เมื่อเทียบกับ 14.7%ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2557 สำหรับไตรมาสแรกของปี 2558 เงินให้สินเชื่อเพิ่มขึ้น 21.9% จากสิ้นเดือนธันวาคม 2557 ทั้งนี้ การเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญของเงินให้สินเชื่อ เป็นผลมาจากการรับโอนสินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่จากธนาคารแห่งโตเกียว-มิตซูบิชิ ยูเอฟเจ จำกัด (BTMU) สาขากรุงเทพฯ มายังธนาคาร ทั้งนี้ ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2558 สินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่และสินเชื่อธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมมีสัดส่วนอยู่ที่ 60% ขณะที่สินเชื่อเพื่อรายย่อยมีสัดส่วนอยู่ที่ 40% ของสินเชื่อทั้งหมด เงินรับฝากเพิ่มขึ้น 20.6% จากสิ้นเดือนธันวาคม 2557 การเพิ่มขึ้นของเงินรับฝากส่วนใหญ่เป็นผลจากการรับโอนเงินรับฝากจาก BTMU สาขากรุงเทพฯ ขณะที่สัดส่วนของเงินรับฝากประเภทออมทรัพย์และจ่ายคืนเมื่อทวงถาม (CASA) ต่อสัดส่วนเงินรับฝากทั้งหมดอยู่ที่ระดับ 52.5% ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2558 ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิ ปรับตัวลงจากไตรมาสก่อนหน้ามาอยู่ที่ 4.21% ยังเป็นส่วนต่างที่น่าพอใจ และเป็นไปตามคาดหมาย เป็นผลมาจากสัดส่วนเงินให้สินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่ที่เพิ่มขึ้น นายโนริอากิ โกโตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “กรุงศรีมีผลการดำเนินงานที่น่าพอใจในไตรมาสแรกของปีนี้ในภาวะที่เศรษฐกิจของประเทศยังฟื้นตัวช้า ทั้งนี้ ความสำเร็จในการรับโอนกิจการทั้งหมดของ BTMU สาขากรุงเทพฯ มายังธนาคารได้ช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งในการดำเนินธุรกิจของกรุงศรี อีกทั้งยังมีสัดส่วนสินเชื่อที่สมดุลมากขึ้น นับได้ว่ากรุงศรีมีรากฐานที่แข็งแกร่งซึ่งจะเอื้อให้สามารถขับเคลื่อนธุรกิจให้เติบโตได้อย่างมั่นคงและยั่งยืนในระยะยาว” นายโกโตะ ให้ความเห็นเกี่ยวกับแนวโน้มธุรกิจโดยรวมของธนาคารว่า “แม้ว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยในไตรมาสแรกของปีนี้จะช้ากว่าที่คาดการณ์ไว้ อันเป็นผลมาจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกและอุปสงค์ในประเทศ เราคาดว่าเศรษฐกิจจะปรับฟื้นตัวดีขึ้นในช่วงที่เหลือของปี โดยคาดว่าเศรษฐกิจทั้งปีจะขยายตัว 3.8% โดยได้รับการสนับสนุนจากการฟื้นตัวของการบริโภคที่ได้รับอานิสงค์จากราคาพลังงานที่ปรับลดลง การเร่งการเบิกจ่ายงบประมาณของรัฐบาล และโครงการลงทุนของภาคเอกชนที่ได้รับการอนุมัติจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนที่เริ่มเดินหน้า ภายใต้สมมติฐานการเติบโตของเศรษฐกิจดังกล่าว ธนาคารได้ตั้งเป้าการเติบโตของสินเชื่อไว้ที่ 7-9% สำหรับปี 2558” ณ วันที่ 31 มีนาคม 2558 กรุงศรีซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจการเงินที่ใหญ่เป็นอันดับห้าในไทยมีสินเชื่อรวม 1.2 ล้านล้านบาท เงินรับฝาก 1.0 ล้านล้านบาท และสินทรัพย์รวม 1.6 ล้านล้านบาท ขณะที่เงินกองทุนของธนาคารยังคงแข็งแกร่งอยู่ที่ 175.6 พันล้านบาท หรือเทียบเท่า 15.1% ของสินทรัพย์เสี่ยง โดยเป็นเงินกองทุนชั้นที่ 1 คิดเป็น 12.5%

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ