เอ็นจีโอและภาควิชาการ ผนึกกำลัง จัดเวทีเสวนา “ทบทวน 10 ปี นโยบายการจัดการศึกษาสำหรับเด็กที่ไม่มีสัญชาติไทยและก้าวต่อไปสู่การศึกษาเพื่อปวงชน”

ข่าวทั่วไป Tuesday July 7, 2015 15:32 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--7 ก.ค.--migrant working group เปิดสถิติ เด็กไร้สัญชาติกว่าล้านคนในไทย ยังเข้าไม่ถึงระบบการศึกษา ระบุนโยบายชัดแต่ปฏิบัติยังขัดข้อง ชี้หากทำได้ตามนโยบายจะป้องกันปัญหาการใช้แรงงานเด็กและค้ามนุษย์ได้ วันนี้ ( 7 ก.ค. 2557) ที่โรงแรมแมนดาริน กรุงเทพมหานคร มีการประชุมเสวนา "ทบทวน 10 ปี นโยบายการจัดการศึกษาสำหรับเด็กที่ไม่มีสัญชาติไทยและก้าวต่อไปสู่การศึกษาเพื่อปวงชน" ซึ่งจัดขึ้นโดยเครือข่ายองค์กรที่ทำงานด้านประชากรข้ามชาติ (MWG) องค์การ Save the children international องค์การ World education องค์การ world vision และสำนักงานกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ (สพฐ) นายอิชิโระ มิยาซาว่า ตัวแทนองค์กร UNESCO กล่าวว่า จากการสำรวจเด็กไร้สัญชาติในภาพรวมของประเทศไทยพบว่ามีมากสุดในภูมิภาคอาเซียนที่ยังไม่เข้าสู่ระบบการศึกษา โดยสถิติเด็กข้ามชาติที่อยู่ในประเทศไทยมีมากถึง 3 ล้าน โดยเด็กที่น่าเป็นห่วงมากที่สุดคือเด็กพม่าที่เกิดในประเทศไทย และเด็กที่ย้ายตามครอบครัวมาเพื่อประกอบอาชีพโดยพบตัวเลขมากว่า 1 ล้านคนที่ไม่ได้เข้าสู่ระบบการศึกษา ซึ่งสถิติดังกล่าวจะนำมาสู่ปัญหาระยะยาว โดยเฉพาะผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจ GDP มวลรวมของประเทศและปัญหาทางด้านสังคมในอีก 20 ปีข้างหน้า และต่อไปจะมีการเปิดเสรีเศรษฐกิจอาเซียนก็จะมีการเคลื่อนย้ายแรงงานเสรีเพิ่มมากขึ้นยิ่งจะทำให้เกิดปัญหาเรื่องการศึกษาของเด็กตามมามากขึ้นอีกด้วย ต่อไปนี้เราจึงมีความจำเป็นที่จะต้องร่วมกันปรึกษาหารือเพื่อทาทางออกร่วมกันในการแก้ไขปัญหาโดยเฉพาะการจัดการเรื่องการศึกษาให้เป็นระบบที่เด็กทุกคนสามารถเข้าถึงระบบการศึกษาร่วมกันได้ ด้านนายพะโยม ชิณวงศ์ ผู้อำนวยการสำนักนโยบายและแผนการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) กล่าวว่า ในส่วนของประเทศไทยนั้น ปัจจุบันได้มีมติคณะรัฐมนตรีและร่างระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยหลักฐานวันเดือนปีเกิดในการรับนักเรียนนักศึกษาเข้าเรียนในสถานศึกษา โดยระบุให้บุคคลที่ไม่มีหลักฐานทะเบียนราษฏร์หรือไม่มีสัญชาติสามารถเข้ามาเรียนได้โดยผ่านโรงเรียนเครือข่าย และผ่านการศึกษาตามอัธยาศัยหรือการศึกษานอกระบบ โดยเฉพาะตามแนวชายแดน ซึ่งต่อไปนี้หลักสูตรในการดำเนินการเรื่องการเรียนการสอนต้องมีการปรับเปลี่ยนโดยเน้นไปที่กลุ่มเป้าหมายมากขึ้นทั้งในส่วนของเด็กที่ด้อยโอกาสเด็กที่พิการโดยทำหลักสูตรให้มีความหลากหลายเพราะที่ผ่านมาเรามีการประเมินความสามารถของเด็กผ่านระบบโอเน็ตเอเน็ตเป็นตัววัดประสิทธิภาพ ซึ่งระบบการวัดประสิทธิภาพแบบนี้ถือว่าไม่ถูกทาง ซึ่งทุกวันนี้การศึกษาของเรายังไม่ตอบสนองและสอดคล้องกับสถานประกอบการ ขณะที่ผู้ใช้ทรัพยากรบุคคลควรจัดกลุ่มเป้าหมายในการใช้ทรัพยากรบุคคลให้ชัดเจน ผ่านการวางแผนที่ดี ที่เด็กทุกคนต้องได้รับโอกาสอย่างเท่าเทียมกันโดยไม่เลือกเชื้อชาติและสัญชาติ นายแพทริค เครินส์ ผู้อำนวยการองค์กร World educationกล่าวว่า จากการลงพื้นที่เพื่อหาข้อมูลเกี่ยวกับ เด็กไร้สัญชาติที่เข้าไม่ถึงระบบการศึกษาในประเทศไทย พบว่า มีกว่า 4 แสนคนอายุระหว่าง 5-15 ปีที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย และกว่า 90เปอร์เซ็นต์เป็นเด็กที่มาจากประเทศพม่า โดยส่วนใหญ่จะเป็นเด็กที่เกิดในประเทศไทยและติดตามพ่อแม่มาทำงาน ซึ่งที่ผ่านมาแม้เด็กเหล่านี้จะเข้าถึงระบบการศึกษาในประเทศไทยตามมติคณะรัฐมนตรี 5 ก.ค. 2548 เรื่องการจัดการศึกษาแก่บุคคลที่ไม่มีหลักฐานทางทะเบียนราษฏร์หรือไม่มีสัญชาติไทย ที่ทำการรองรับให้คนที่ไม่มีสัญชาติสามารถเข้าสู่ระบบการศึกษา แต่ก็เกิดปัญหาต่อการเข้าถึง เนื่องจากมีเด็กจำนวนมากที่ต้องหยุดเรียนกลางคันโดยเฉพาะเด็กอายุระหว่าง 11-14 ปีที่หยุดเรียนกลางคันเพื่อไปทำงานและดูแลครอบครัว ซึ่งแม้จะมีการเปิดโอกาสให้เด็กกลับมาเรียนหนังสือใหม่แต่ก็เป็นเรื่องยากเพราะเด็กส่วนใหญ่ที่ออกไปแล้วจะไม่ได้กลับเข้ามาสู่ระบบการศึกษาอีกเลย จึงเป็นปัญหาที่ต้องคิดว่าต่อไปนี้เราจะทำอย่างไรให้เด็กเหล่านี้อยู่ในระบบของโรงเรียนจนจบกระบวนการศึกษาจนได้วุฒิบัตรเพื่อนำไปประกอบอาชีพหาเลี้ยงตัวเองได้ ผู้อำนวยการองค์กร World educationกล่าวต่ออีกว่า ปัญหาที่สำคัญแม้ประเทศไทยจะมีกฎหมายรองรับที่ชัดเจนเพื่อเปิดโอกาสให้เด็กไร้สัญชาติไดเข้าถึงการศึกษาซึ่งถือเป็นการเปิดกว้างแต่ก็ยังคงมีปัญหาในเรื่องของการไม่มีระบบติดตามการดำเนินงาน จนทำให้หลายคนต้องพลาดโอกาสทางการศึกษาไป นอกจากนี้การให้เด็กได้มีโอกาสได้เรียนภาษาแม่ก็จะเป็นประโยชน์กับเด็กเมื่อต้องกลับไปประเทศต้นทาง "การที่รัฐบาลไทยจะต้องเข้ามาช่วยดูแลเด็กๆ เหล่านี้นั้นเป็นเพราะกฎหมายที่ประเทศไทยได้ประกาศไว้อย่างชัดเจนในเรื่องการศึกษาเพื่อคนทั้งมวลหรือ Education for all นอกจากนี้ไทยยังเป็นผู้นำในประเทศอาเซียนที่มีศักยภาพในการที่จะช่วยเหลือประเทศเหล่านี้ทั้งในเรื่องนวัตกรรม และในเรื่องทรัพยากร และที่สำคัญไทยถือได้ว่าเป็นประเทศศูนย์กลางของภูมิภาคอาเซียนที่มีตลาดแรงงานขนาดใหญ่ จึงทำให้เกิดการเคลื่อนย้ายแรงงานเข้ามาประเทศไทยเป็นจำนวนมาก ดังนั้นหากเราจัดการศึกษาที่เหมาะสมให้กับเด็กไร้สัญชาติจะทำให้เด็กๆ เหล่านี้สามารถพึ่งพิงตนเองและไม่ต้องเข้าสู่กระบวนการค้ามนุษย์ หรือต้องตกเป็นเหยื่อของการใช้แรงานเด็ก นอกจากนี้ถึงแม้ว่าเด็กๆ จำนวนมากจะติดตามพ่อแม่ที่เข้ามาทำงานอย่างผิดกฏหมายแต่ก็ไม่ได้ความว่าเด็กๆจะใช้เหตุผลนี้ในการการกีดกันเด็กไม่ให้เข้าถึงระบบการศึกษาที่จะเป็นประโยชน์กับเด็กในอนาคตเด็กได้" นายแพทริคกล่าว ด้านน.ส.โรยทราย วงศ์สุบรรณ ตัวแทนเครือข่ายองค์กรที่ทำงานด้านประชากรข้ามชาติ (MWG) กล่าวว่า ที่ผ่านมาเราเห็นปัญหาเรื่องการศึกษาของเด็กย้ายถิ่นว่าไม่สามรรถเชื่อมต่อกับประเทศต้นทางได้ ดังนั้นระบบการศึกษาไทยต้องส่งเสริมให้เด็กไปศึกษายังประเทศต้นทางได้ด้วย โดยมีข้อเสนอดังนี้ 1.เรื่องการวัดระดับความรู้ ที่ต้องมีแนวทางร่วมกันว่า ในแต่ละระดับชั้นที่เด็กเรียนจบ จะมีระบบการวัดความรู้อย่างไร ที่เด็กไม่ต้องไปเริ่มเรียนใหม่ 2.อยากให้มีข้อตกลงร่วมกันว่าเราจะรองรับกรอบการศึกษาร่วมกันได้อย่างไร โดยกระทรวงศึกษาธิการ ต้องดำเนินการเชิงลึก ว่าจะประสานประเทศต้นทางเกี่ยวกับการศึกษาเด็กอย่างไร โดยต้องประชุมกันในหลายระกับ ไม่ว่าจะเป็น ระดับรัฐมนตรี อธิบดี หรือเลขาธิการ ที่จะเข้าใจนโยบาย แล้วนำไปปฏิบัติได้ โดยการพูดคุย จะต้องเป็นกลไกล ปฏิบัติที่ชัดเจน ทั้งนี้กระทรวงศึกษาธิการต้องมีข้อมูลพื้นฐานที่ชัดเจนเกี่ยวกับจำนวนของเด็กแต่ละประเทศ อยู่ในประเทศจำนวนเท่าไหร่ และประเทศไทยต้องเตรียมข้อมูลที่ชัดเจนและเข้าใจง่าย เพื่อให้ประเทศต้นทางสามารถรับไปดำเนินการต่อได้ทันที ด้านนายฮุ้ค เดเลนี่ย์ ตัวแทนจาก UNICEF ประจำประเทศไทยกล่าวว่า จากการที่ตนได้ไปลงพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ ทำให้พบว่ามีเด็กไร้สัญชาติใช้แรงงานที่ประเทศไทยอยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งนั้นแสดงให้เห็นว่าแรงงานเด็กเหล่านี้มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจของประเทศไทยมาก และในอนาคตเราจะมีการเคลื่อนย้ายแรงงานแบบเสรี การศึกษาของเด็กเหล่านี้จึงมีความจำเป็นอย่างมาก ซึ่งหน่วยงานเอกชน และบริษัทต่างๆ ที่ตนไปเยี่ยมดูงานก็ให้ความช่วยเหลือกับเด็กทั้งในเรื่องของการเงิน และการปฏิบัติการ จึงเป็นเรื่องที่ดีมาก ซึ่งหากเราสามารถเชื่อมโยงการทำงานรัฐและเอกชนได้ จะเป็นการดีกับเด็กและแรงงานในอนาคต ทั้งนี้เรื่องการศึกษาของเด็กจะพูดถึงกระทรวงศึกษาธิการอย่างเดี่ยวไม่ได้ แต่ทุกหน่วยงานต้องมาช่วยกัน เพื่อนำไปสู่การเท่าเทียมกันเกี่ยวกับการศึกษา

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ