ยอดส่งออกรถยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์ของฮอนด้า เพิ่มขึ้น 27% ในครึ่งปีแรก

ข่าวยานยนต์ Thursday August 13, 2015 13:57 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--13 ส.ค.--เวิรฟ พับลิค รีเลชั่นส์ คอนซัลแตนท์ซี่ บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด ประกาศยอดการส่งออกรถยนต์ฮอนด้า และชิ้นส่วนยานยนต์จากประเทศไทยในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2558 มีมูลค่าทั้งสิ้น 40,895 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว เนื่องจากความนิยมของรถยนต์ฮอนด้า ซิตี้ ภายในภูมิภาคเอเชียและโอเชียเนียที่เพิ่มสูงขึ้น ประกอบกับการเปิดตัวฮอนด้า เอชอาร์-วี ยนตรกรรมสปอร์ต ครอสโอเวอร์ ใหม่ ยอดการส่งออกรถยนต์สำเร็จรูปของฮอนด้าตั้งแต่เดือนมกราคม-มิถุนายน 2558 ที่ผ่านมา เติบโตขึ้น 78%ด้วยมูลค่า 19,119 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ปัจจัยหลักของการเติบโตในครั้งนี้ คือ ความต้องการในตลาดประเทศออสเตรเลียและกลุ่มประเทศแถบตะวันออกกลางที่เพิ่มสูงขึ้น โดยรถยนต์รุ่นที่มีการส่งออกสูงสุด ได้แก่ รถยนต์ฮอนด้ารุ่น ซิตี้ เอชอาร์-วี และแจ๊ซ รวมคิดเป็น 70% ของจำนวนรถยนต์ส่งออกทั้งหมด สำหรับการส่งออกชิ้นส่วนเพื่อการประกอบรถยนต์นั้น ฮอนด้ามียอดเพิ่มขึ้น 3% คิดเป็นมูลค่า 19,665 ล้านบาท เนื่องจากโรงงานฮอนด้าในประเทศอินโดนีเซีย มาเลเซีย และประเทศในทวีปอเมริกาใต้มีความต้องการชิ้นส่วนเพื่อการประกอบรถยนต์สำหรับการผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศ นายพิทักษ์ พฤทธิสาริกร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารปฏิบัติการ บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า "ฮอนด้ามีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่การส่งออกจากประเทศไทยในช่วงครึ่งปีแรกนี้ดำเนินไปได้ด้วยดี แม้ว่าภาพรวมของตลาดนั้นยังซบเซาอยู่ โดยในตลาดส่งออกหลักของฮอนด้า ในช่วงหกเดือนที่ผ่านมานั้น ได้ส่งออกไปยังประเทศออสเตรเลีย ด้วยรุ่นเอชอาร์-วี แจ๊ซ และซีอาร์-วี ส่วนประเทศฟิลิปปินส์ ส่งออกรุ่นแจ๊ซ และโมบิลิโอ และกลุ่มประเทศในแถบตะวันออกกลาง ส่งออกรุ่น ซิตี้ เป็นหลัก" "ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากกระบวนการผลิตที่มีคุณภาพและได้มาตรฐาน ทำให้รถยนต์ที่ส่งออกไปจากประเทศไทยได้รับความเชื่อถือและไว้วางใจ ฮอนด้าจึงสามารถดำเนินธุรกิจส่งออกรถยนต์ในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมาได้เป็นอย่างดี ท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจทั่วโลกที่ยังคงซบเซา" นอกจากนี้ ฮอนด้ายังส่งออกชิ้นส่วนอะไหล่ อุปกรณ์ตกแต่ง และแม่พิมพ์ สำหรับสายการผลิตรถยนต์อีกด้วย โดยมียอดการส่งออกเติบโตขึ้น 25% คิดเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 1,550 ล้านบาท เนื่องจากความต้องการที่เพิ่มสูงขึ้นในประเทศอินโดนีเซีย อินเดีย เวียดนาม และกัมพูชา

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ