ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กร &หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน และแนวโน้ม “บ. โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์” ที่ “A+/Stable”

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday October 6, 2015 09:08 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--6 ต.ค.--ทริสเรทติ้ง ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของ บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ "A+" ด้วยแนวโน้ม "Stable" หรือ "คงที่" โดยอันดับเครดิตสะท้อนถึงสถานะผู้นำของบริษัทในธุรกิจค้าปลีกสินค้าเกี่ยวกับบ้านในประเทศไทย ตลอดจนความสามารถในการบริหารสินค้าคงคลัง และมีผลงานเป็นที่ยอมรับในการบริหารศูนย์รวมวัสดุและอุปกรณ์ตกแต่งบ้าน ทั้งนี้ การพิจารณาอันดับเครดิตยังคำนึงถึงการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นในกลุ่มผู้ค้าปลีกสมัยใหม่ที่จำหน่ายสินค้าเกี่ยวกับบ้านและภาวะเศรษฐกิจในประเทศที่ชะลอตัวด้วย แนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่" สะท้อนถึงการคาดการณ์ว่าบริษัทจะสามารถรักษาสถานะความเป็นผู้นำในธุรกิจค้าปลีกสินค้าเกี่ยวกับบ้านต่อไปได้ และบริษัทจะยังคงอัตราการก่อหนี้ให้อยู่ในระดับที่ยอมรับได้ในขณะที่มีการขยายสาขา ทั้งนี้ อันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัทอาจได้รับการปรับเพิ่มขึ้นหากบริษัทประสบความสำเร็จในการลงทุนในร้านค้ารูปแบบใหม่หรือขยายตลาดใหม่ ในทางตรงข้าม อันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตอาจถูกปรับลดลงหากการแข่งขันในธุรกิจนี้รุนแรงเพิ่มขึ้นหรือภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซาส่งผลลบต่อรายได้และความสามารถในการทำกำไรของบริษัทเป็นระยะเวลานาน บริษัทโฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ เป็นผู้นำในธุรกิจค้าปลีกที่จำหน่ายสินค้าและบริการเพื่อปรับปรุงที่อยู่อาศัยแบบครบวงจร ณ สิ้นเดือนกันยายน 2558 ผู้ถือหุ้นหลักของบริษัทประกอบด้วย บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) (30.2%) และ บริษัท ควอลิตี้เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) (19.9%) ปัจจุบันบริษัทบริษัทมีร้านค้า 2 รูปแบบคือ "โฮมโปร" ซึ่งเป็นร้านค้ารูปแบบเดิมของบริษัทที่จำหน่ายสินค้าและให้บริการเกี่ยวกับบ้านแบบครบวงจร โดยมีพื้นที่ขายประมาณ 3,000-10,000 ตารางเมตร (ตร.ม.) ต่อสาขา และ "เมกาโฮม" ซึ่งเป็นร้านค้าในรูปแบบคลังสินค้าขนาดใหญ่ที่เน้นตอบสนองความต้องการของกลุ่มผู้รับเหมาก่อสร้าง ตลอดจนเจ้าของโครงการ ร้านค้ารายย่อย และผู้บริโภค โดยแต่ละสาขาของเมกาโฮมจำหน่ายสินค้าเกี่ยวกับบ้านและสินค้าที่ใช้ในบ้านซึ่งมีพื้นที่ขายประมาณ 12,000-20,000 ตร.ม. ต่อสาขา ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา บริษัทขยายสาขาเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก โดยเปิดสาขาใหม่ 9-12 สาขาต่อปีในปี 2555-2557 เทียบกับ 4 สาขาต่อปีโดยเฉลี่ยในช่วงก่อนหน้า ทั้งนี้ พฤติกรรมของผู้บริโภคที่หันมานิยมซื้อสินค้าในศูนย์ค้าปลีกสมัยใหม่เป็นปัจจัยสนับสนุนการขยายสาขาของบริษัท ณ สิ้นเดือนกันยายน 2558 บริษัทมีสาขารวมทั้งสิ้น 83 สาขา ประกอบด้วยร้านค้าโฮมโปร21 สาขาในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล 55 สาขาในต่างจังหวัด 1 สาขาในประเทศมาเลเซีย และร้านค้าภายใต้รูปแบบเมกาโฮม 6 สาขา ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2558 บริษัทเปิดสาขาใหม่ทั้งหมด 7 แห่ง ประกอบด้วยร้านค้าโฮมโปร 5 สาขาและร้านค้าเมกาโฮม 2 สาขา การขยายสาขาอย่างต่อเนื่องทำให้บริษัทสามารถสร้างฐานธุรกิจค้าปลีกสินค้าเกี่ยวกับบ้านที่แข็งแกร่งทั่วประเทศ ยอดขายของบริษัทในปี 2557 เท่ากับ 47,965 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20% เมื่อเทียบกับปีก่อนโดยเป็นผลมาจากการเปิดสาขาใหม่หลายแห่งและยอดขายจากสาขาเดิมที่เพิ่มขึ้น 5% อย่างไรก็ตาม ยอดขายของบริษัทเติบโตในอัตราที่ชะลอตัวในช่วงครึ่งแรกของปี 2558 บริษัทมียอดขายเท่ากับ 25,535 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเพียง 11% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมาจากยอดขายสาขาใหม่ที่เพิ่มขึ้นเป็นหลัก ทั้งนี้ยอดขายของเมกาโฮมและสาขาที่ประเทศมาเลเซียมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นคิดเป็นประมาณ 8% ของยอดขายรวมของบริษัทในช่วงครึ่งแรกของปี 2558 ในขณะที่อัตราการเติบโตของยอดขายจากสาขาเดิมลดลง 2.7% ในไตรมาสแรกของปี 2558 และ 0.3% ในไตรมาสที่ 2 ของปี 2558 ยอดขายของสาขาเดิมที่ลดลงมีสาเหตุเนื่องมาจากรายได้ภาคการเกษตรที่ลดลงในต่างจังหวัด และได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซา นอกจากนี้รายได้ของสาขาเดิมที่ลดลงยังมีสาเหตุมาจากการเปิดสาขาใหม่ในพื้นที่ใกล้เคียงกันอีกด้วย อัตรากำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายของบริษัทลดลงจาก 14.9% ในปี 2556 เป็น 14.8% ในปี 2557 และ 14.2% ในช่วงครึ่งแรกของปี 2558 การลดลงของอัตรากำไรเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงในสัดส่วนของรายได้ของบริษัทและการเพิ่มขึ้นของยอดขายที่มาจากร้านค้าเมกาโฮมซึ่งมีอัตรากำไรขั้นต้นน้อยกว่าร้านค้ารูปแบบเดิมของโฮมโปร นอกจากนี้ การมีสัดส่วนสินค้าภายใต้ตราสินค้าของตนเองที่น้อยลงและการมีค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นจากการเปิดสาขาใหม่ที่ประเทศมาเลเซียยังมีส่วนทำให้อัตรากำไรของบริษัทลดลงด้วย ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา บริษัทขยายสาขาจำนวนมากในทุกภูมิภาคทั่วประเทศ บริษัทลงทุนประมาณ 10,000 ล้านบาทในปี 2556 และ 7,000 ล้านบาทในปี 2557 เทียบกับเงินลงทุนประมาณ 3,000-5,000 ล้านบาทต่อปีในช่วงก่อนหน้า การลงทุนจำนวนมากส่งผลให้เงินกู้รวมของบริษัทเพิ่มขึ้นจาก 9,787 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2556 เป็น 14,527 ล้านบาท ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2558 และอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนเพิ่มขึ้นเป็น 49.2% ในช่วงครึ่งแรกของปี 2558 จากระดับ 34%-40% ในช่วงระหว่างปี 2552-2555 แม้ภาระหนี้ของบริษัทจะเพิ่มขึ้น แต่สภาพคล่องของบริษัทยังอยู่ในเกณฑ์ดีเนื่องจากการบริหารสินค้าคงคลังที่มีประสิทธิภาพ ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2558 บริษัทมีอัตราการหมุนเวียนของกระแสเงินสด (cash conversion) ติดลบ 18 วัน บริษัทมีเงินทุนจากการดำเนินงาน (FFO) ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจาก 4,884 ล้านบาทในปี 2556 เป็น 5,623 ล้านบาทในปี 2557 และเป็น 2,941 ล้านบาทในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2558 อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมของบริษัทอยู่ในเกณฑ์ดีที่ระดับ 37.2% ในปี 2557 และ 37.6% (ปรับอัตราส่วนให้เป็นตัวเลขเต็มปีด้วยตัวเลข 12 เดือนย้อนหลัง) ในช่วงครึ่งแรกของปี 2558 อัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจ่ายของบริษัทยังคงแข็งแกร่งที่ระดับมากกว่า 10 เท่าในปี 2557 และครึ่งแรกของปี 2558 บริษัทมีแผนการขยายสาขา 8 แห่งภายในปี 2558 ด้วยงบลงทุนประมาณ 6,000-7,000 ล้านบาท ซึ่งบริษัทจะจัดหาเงินลงทุนจากกระแสเงินสดจากการดำเนินงานและการกู้ยืม แม้บริษัทจะลงทุนจำนวนมากเพื่อขยายสาขาตามแผน แต่ทริสเรทติ้งก็คาดว่าบริษัทจะสามารถรักษาโครงสร้างเงินทุนให้เหมาะสมที่ระดับต่ำกว่า 50% และอัตราเงินทุนจากการดำเนินงานของบริษัทจะอยู่ที่ระดับ 6,000-7,000 ล้านบาทต่อปีในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า ? บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) (HMPRO) อันดับเครดิตองค์กร: A+ อันดับเครดิตตราสารหนี้: HMPRO169A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 4,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2559 A+ HMPRO179A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 2,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2560 A+ แนวโน้มอันดับเครดิต: Stable

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ