MovieCrimson Peak (ปราสาทสีเลือด)

ข่าวบันเทิง Monday October 12, 2015 17:20 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--12 ต.ค.--United International Pictures ชื่อไทย ปราสาทสีเลือด วันที่เข้าฉาย 15 ตุลาคม 2558 จัดจำหน่าย บริษัท ยูไนเต็ด อินเตอร์เนชั่นแนล พิคเจอร์ส (ฟาร์อีสต์) จำกัด เมื่อหัวใจถูกขโมยไปโดยชายแปลกหน้าเจ้าเสน่ห์ หญิงสาวคนหนึ่งถูกพาตัวไปยังบ้านซึ่งตั้งอยู่บนยอดเขาดินสีเลือด สถานที่ที่เต็มไปด้วยความลับ ซึ่งจะตามหลอกหลอนเธอไปตลอดกาล ระหว่างความปรารถนาและความมืดมิด ระหว่างความลึกลับและความบ้าคลั่ง กลับซุ่มซ่อนความจริงที่อยู่เบื้องหลัง Crimson Peak จากจินตนาการของผู้กำกับ กิลเลอร์โม่ เดอ โทโร่ กลั่นออกมาเป็นเรื่องราวความรักแนวโกธิคที่นำแสดงโดย มีอา วาซิโควสก้า (Alice in Wonderland, Jane Eyre), นักแสดงหญิงผู้ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์มาแล้วถึงสองครั้งอย่าง เจสสิก้า แชสเทน (Zero Dark Thirty, Mama), ทอม ฮิดเดิลสตัน (The Avengers, ภาพยนตร์ชุด Thor) และชาร์ลี ฮันนั่ม (Pacific Rim, ผลงานของเอฟเอ็กซ์เรื่อง Sons of Anarchy) ใน Crimson Peak พวกเขาจะได้ค้นพบพลังความรักที่ทำให้เราทุกคนกลายเป็นสัตว์ร้าย ในฐานะมือเขียนบทและผู้กำกับภาพยนตร์ยุคใหม่ที่กลายเป็นภาพยนตร์คลาสสิกไปแล้วอย่าง The Devil's Backbone และ Pan's Labyrinth และผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์ทริลเลอร์สยองขวัญอย่าง The Orphanage และ Mama เดล โทโร่ได้สร้างสรรค์ผลงานที่เป็นการผสมผสานความสยดสยองทางจิตและความงดงามของภาพยนตร์ที่ขับเคลื่อนความสยองขวัญเข้าสู่โลกของเทพนิยายแนวสยอง ด้วยผลงานภาพยนตร์ใหม่เรื่องนี้ พลังจินตนาการอันทรงพลังคือการหวนกลับคืนอันยิ่งใหญ่สู่แนวภาพยนตร์ที่เขาเป็นผู้ช่วยสร้างนิยามเอาไว้ กับภาพยนตร์เรื่องนี้ เดล โทโร่ได้สร้างเรื่องราวความรักที่ถูกยกระดับด้วยความงดงามของภาพยนตร์ที่ย้อนกลับไปสู่ชัยชนะอันยิ่งใหญ่ของภาพยนตร์แนวนี้ ขณะแสดงให้เห็นถึงภาพอันน่าตื่นตา ตัวละครที่เต็มไปด้วยสีสัน การแสดงที่เปี่ยมไปด้วยอารมณ์ และเรื่องราวที่จะดึงดูดคุณไปจนถึงตอนจบที่แสนเจ็บปวด Crimson Peak ที่วางเหตุการณ์เอาไว้ในปี 1901 ให้ความรู้สึกแบบโกธิคร่วมสมัยที่มีสไตล์ ผ่านสไตล์ภาพที่ชวนหลงใหลของเดล โทโร่ คนดูจะถูกนำไปยังจุดหมายอันน่าหวั่นเกรงที่ไม่เหมือนที่อื่นใด ที่ซึ่งหิมะหลั่งโลหิต และทุกมุมมืดซุ่มซ่อนผีร้ายที่จะยังคงค้าคางอยู่ในความคิดไปอีกนานแม้ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้จบลงแล้ว สำหรับผลงานภาพยนตร์ที่ถือว่าทรงพลังที่สุดและเร้าใจที่สุดของเขา เดล โทโร่ได้รวบรวมทีมศิลปินและผู้ร่วมงานที่ล้วนแล้วแต่มีชื่อเสียง อาทิเช่น ผู้กำกับภาพชาวเดนมาร์ก แดน ลาสต์เซ่น (Silent Hill, The League of Extraordinary Gentlemen), ผู้ลำดับภาพ เบอร์แน็ท วิลาพลาน่า (Hellboy II: The Golden Army, Pan's Labyrinth), โปรดักชัน ดีไซเนอร์ โธมัส แซนเดอร์ส (Saving Private Ryan, Braveheart), ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย เคท ฮอว์ลี่ย์ (Pacific Rim, ภาพยนตร์ใหม่เรื่อง Suicide Squad) และผู้แต่งดนตรีประกอบ เฟอร์นันโด เวลาซเกซ (Mama, The Orphanage) เดล โทโร่ ที่ได้ทำงานจากบทภาพยนตร์ที่เขาเขียนร่วมกับเพื่อนร่วมงานที่ทำงานด้วยกันมานานอย่าง แมทธิว ร็อบบิ้นส์ (Mimic, Don't Be Afraid of the Dark) ยังผนึกกำลังกับผู้ที่เคยร่วมงานกับเขาในภาพยนตร์เรื่อง Pacific Rim อย่างผู้อำนวยการสร้าง คัลลั่ม กรีน (The Hobbit: The Desolation of Smaug, Everybody's Fine), โธมัส ทัลล์ จากลีเจนดารี่ พิคเจอร์ส (The Dark Night Rises, Inception) และจอน แจชนี่ (Godzilla, ภาพยนตร์ใหม่เรื่อง Warcraft) รวมถึงผู้อำนวยการสร้างบริหารอย่าง จิลเลี่ยน แชร์ (Seventh Son, Warcraft) ผีจากอดีต: เรื่องราวของ Crimson Peak สาวน้อย อีดิธ คุสชิ่ง (วาซิโคว์สกา) คือนักเขียนที่ทะเยอทะยานผู้อาศัยอยู่กับพ่อของเธอ เซอร์คาร์เตอร์ คุสชิ่ง (จิม บีเวอร์ จากผลงานทางทีวีเรื่อง Supernatural, Deadwood) ในบัฟฟาโล่, นิวยอร์ก ในช่วงเริ่มต้นศตวรรษที่ 20 เธอเติบโตมาพร้อมความรู้สึกที่ต้องสูญเสียแม่ ซึ่งคอยตามหลอกหลอนเธอ อีดิธที่มีพลังสื่อสารกับวิญญาณของคนตายได้ ได้รับคำเตือนลึกลับจากหลุมศพว่า "จงระวังคริมสันพีค" ในฐานะแกะดำของวงสังคมชั้นสูง ต้องขอบคุณจินตนาการอันดื้อรั้นของเธอ อีดิธพบว่าตัวเองตกอยู่ตรงกลางระหว่างผู้ชายสองคนที่แข่งขันกันจีบเธอ นั่นก็คือ ดร.อลัน แม็คไมเคิล (ฮันนั่ม) เพื่อนตั้งแต่วัยเด็ก ชายผู้เฉลียวฉลาดที่คอยกระตุ้นความคิดของเธอ และโธมัส ชาร์ป หลุ่มเจ้าเสน่ห์ที่เกินจะต้านทาน (ฮิดเดิลสตัน) แกะดำอีกคนที่ยอมรับอีดิธในแบบที่เธอเป็นจริงๆ และเขายังขโมยหัวใจของเธอไปด้วย เมื่อพ่อของเธอตายอย่างลึกลับ โธมัสได้พาอีดิธไปอยู่ที่คฤหาสน์ประจำตระกูลที่แสนหรูหราของเขาที่ชื่อ อัลเลอร์เดล ฮอลล์ มันคือคฤหาสน์สไตล์โกธิคที่มีขนาดใหญ่และตั้งอยู่บนเนินเขาอันห่างไกลของอังกฤษ ที่ซึ่งเต็มไปด้วยความลึกลับและอันตราย ด้วยที่ตั้งที่อยู่เหนือเหมืองใต้ดิน ดินสีเลือดที่ซึมผ่านหิมะ และคราบของภูเขา มันจึงได้ฉายาว่า "ปราสาทสีเลือด" แต่โธมัสและอีดิธไม่ได้อยู่กันเพียงลำพัง บ้านสไตล์โกธิคที่ตั้งตระหง่านแห่งนี้ยังเป็นบ้านของ ลูซิลล์ (แชสเทน) พี่สาวของโธมัส ผู้หญิงที่ดูลึกลับและดูยั่วยวนใจ ผู้ซึ่งสำหรับอีดิธแล้ว เธอเหมือนมีวาระแอบแฝงบางอย่าง เมื่ออีดิธเริ่มต้นชีวิตใหม่ คริมสันพีคดูจะมีชีวิตของมันเองเช่นกัน เมื่อเธอเริ่มเห็นภาพดั่งฝันร้ายและวิญญาณเลือด แต่ปีศาจที่แท้จริงของคริมสันพีคกลับเป็นคนที่มีเลือดเนื้อ... อีดิธจะสามารถไขความลึกลับของภาพที่เธอมองเห็นก่อนที่มันจะสายเกินไปได้หรือไม่ แล้วโธมัสจะเลือกช่วยภรรยาของเขาหรือจะปกป้องครอบครัว ดร.แม็คไมเคิลยินดีจะเสียสละได้แค่ไหนในการต่อสู้เพื่อรักแท้ และจะเกิดอะไรขึ้นเมื่ออดีตที่ลึกลับของลูซิลล์ไล่มาจนทันเธอ เมื่อความรักเปลี่ยนเป็นความบ้าคลั่ง และฝันร้ายกลายเป็นความจริง ทุกคนที่ก้าวเท้าเหยียบคริมสันพีคล้วนแต่ตกอยู่ในอันตรายอย่างมหันต์ แต่ที่ที่มีอันตรายแห่งนี้จะเผยความจริง หรือจะปกปิดชะตากรรมของมันเอาไว้ ตัวละครหลัก อีดิธ คุสชิ่ง นักเขียนสาวผู้ทะเยอทะยาน อีดิธ คุสชิ่งถูกตามหลอกหลอนโดยวิญญาณจากอดีตของเธอและถูกสาปให้มองเห็นนิมิตแห่งอนาคต การต้องสูญเสียแม่ไปเพราะโรคห่าตอนเธออายุเพียงสิบปี ส่งผลกระทบอย่างลึกล้ำต่อการถูกเลี้ยงดูมาของอีดิธ เธอต้องโตเร็วกว่าเด็กอื่น เพราะต้องดูแลพ่อผู้แก่ชรา ขณะเดียวกันก็ต้องค้นหาอิสรภาพของผู้หญิงที่หัวคิดก้าวหน้าในสังคมยุคปลายวิคตอเรียน อีดิธที่ถูกตามหลอกหลอนโดยความทรงจำถึงคำเตือนของวิญญาณของแม่ เธอจึงมีความสนใจในเรื่องเหนือธรรมชาติ และเธอตั้งใจจะตีพิมพ์นิยายแนวสยองเมื่อชีวิตของเธอเองกลายเป็นต้นแบบให้กับเรื่องนี้ นางเอกแสนสวยของ Crimson Peak เป็นคนกล้าและมุ่งมั่น เธอไม่รอให้ผู้ชายมาตามจีบหรือคอยช่วยเหลือ ความสามารถในการมองเห็นถึงดวงวิญญาณที่ซุ่มซ่อนอยู่ในเงามืดของ อัลเลอร์เดล ฮอลล์ ทำให้อีดิธค้นพบเรื่องราวสยองขวัญที่ถูกฝังอยู่ภายในกำแพงของที่นั่น เซอร์โธมัส ชาร์ป หนุ่มหน้าใหม่เจ้าเสน่ห์ แถมยังเป็นจอมเจ้าเล่ห์ เสน่ห์โดยธรรมชาติของเซอร์โธมัส ชาร์ป ได้จุดความรู้สึกอันทรงพลังที่เขาเองก็ควบคุมไม่ได้ หนุ่มโสดชาวอังกฤษผู้มีเสน่ห์โดยมีตำแหน่งเป็นถึงบารอนเน็ต ทำให้คนทั้งห้องประทับใจกับไอเดียของเขา รวมถึงท่วงท่าในการเต้นวอลท์ซที่ดูสมบูรณ์แบบ นับแต่พ่อของเขาตาย ชาร์ปต้องใช้เสน่ห์ของเขาเพื่อขับเคลื่อนความทะเยอทะยานที่มีมากมาย และค้นหาแหล่งเงินทุนสำหรับสิ่งประดิษฐ์ของเขา นั่นก็คือเครื่องแยกดินที่มีพลังเท่ากับชาย 12 คน เขาปกปิดความตั้งใจที่อยากแต่งงานเพื่อทรัพย์สินเงินทองเอาไว้ได้อย่างเชี่ยวชาญ แต่เมื่อได้พบ อีดิธ ความปรารถนาที่มีต่อตัวเธอทำให้เขาเลิกเสแสร้ง เขาเห็นอกเห็นใจภรรยาสาวและรู้สึกหงุดหงิดกับลูซิลล์ พี่สาวของเขา ที่ทำให้พวกเขาต้องมีชีวิตอย่างหดหู่และเห็นแก่ตัว เลดี้ลูซิลล์ ชาร์ป เลดี้ลูซิลล์ ชาร์ปผู้ลึกลับจะทำทุกอย่างเพื่อปกป้องอดีตที่น่าตกใจของครอบครัวเธอ แต่ใช่ว่าทุกความลับจะถูกปิดบังเอาไว้ได้ ลูซิลล์ที่มีท่าทางลึกลับและเก็บความรู้สึก เติบโตมาในสภาพที่เหมือนถูกขังอยู่ที่อัลเลอร์เดล ฮอลล์ เธอแบ่งปันความรักอันน้อยนิดที่เธอรู้จักร่วมกับโธมัส น้องชายของเธอ และใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการเล่นเปียโนและการเก็บสะสมผีเสื้อกลางคืนและผีเสื้อกลางวันที่เธอพบเจอรอบๆ คฤหาสน์ เธอพบว่าเธอรู้สึกอิจฉาที่น้องชายให้ความสนใจในตัวหญิงอื่น และพยายามปกป้องสายสัมพันธ์ในครอบครัว ความลุ่มหลงของลูซิลล์นำเธอไปสู่การคอยค้ำจุนส่วนที่มืดมิดที่สุดในความเป็นมนุษย์ของเธอ และแผนการของเธอที่ยึดโธมัสไว้เป็นตัวประกันจากอดีตร้ายๆ ที่พวกเขามีร่วมกัน ดร.อลัน แม็คไมเคิล นักวิทยาศาสตร์หนุ่มผู้ปราดเปรื่อง ดร.อลัน แม็คไมเคิลใช้ทั้งหัวใจและมันสมอง และรู้สึกสนใจในเรื่องราวเหนือธรรมชาติ เขาเป็นสุภาพบุรุษผู้เพียบพร้อมเสมอ เป็นจักษุแพทย์ที่ได้รับการเลี้ยงดูและอบรมมาเป็นอย่างดี เขาหลงรักอีดิธมาตั้งแต่เด็ก เมื่อเขาเรียนจบกลับมาและเปิดทำการรักษาที่บ้านเกิด เขาพบว่าความรู้สึกที่เขามีต่อเด็กหญิงที่เขาเคยรัก ยังคงมั่นคงเสมอ ถึงแม้อีดิธจะไม่ยอมรับรักจากเขา แต่อลันก็เป็นที่ยอมรับจากพ่อของเธอ เขาพยายามทำให้เธอหันมาสนใจ ชายหนุ่มผู้ภักดียังไม่ยอมล้มเลิกความรักของเขาหลังจากพ่อของเธอจากไปก่อนเวลาอันควร เขาพยายามเปิดโปงตัวจริงของโธมัส เมื่อเขารู้ว่าอีดิธตกอยู่ในอันตราย เขายินดีข้ามน้ำข้ามทะเลมาเพื่อช่วยเธอ คาร์เตอร์ คุสชิ่ง ผู้บุกเบิกอุตสาหกรรมอเมริกัน คาร์เตอร์ คุสชิ่งคือบุคคลที่ภาคภูมิในแวดวงสังคมบัฟฟาโล่ ผู้เริ่มต้นทำงานเป็นคนงานเหล็ก และเก็บสั่งสมทุกสิ่งอย่างที่เขามีด้วยมือของเขาเอง เขาคือพ่อที่น่ารักสำหรับอีดิธ เขาสนับสนุนความทะเยอทะยานของเธอที่อยากเป็นนักเขียนอย่างเต็มกำลังเท่าที่จะทำได้ เมื่อชาร์ปเดินทางมาจากอังกฤษเพื่อมาขอเงินลงทุนจากบริษัทคุสชิ่ง คาร์เตอร์รู้สึกหวาดระแวงในลักษณะของชาร์ป เมื่อชายหนุ่มแสดงความสนใจในตัวลูกสาวของเขา คาร์เตอร์ไม่ลังเลที่จะสืบค้นอดีตของชาร์ป สิ่งที่เขาพบยืนยันสิ่งที่เขาหวาดกลัวมากที่สุด เหล่าผีคริมสัน เหล่าวิญญาณสีเลือดแห่งคริมสันพีคคือพลังเหนือธรรมชาติที่โดดเด่นเมื่อได้เห็น ภูติผีเหล่านี้ที่เกิดจากเหมืองดินสีเลือดที่ร่างพวกเขาถูกฝังเอาไว้ คือเงื่อนงำถึงอดีตที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น พวกเขาแหวกจารีตของผีที่ไม่มีตัวตน พวกเขามีตัวตนที่ผสมและโอบล้อมโลกรอบๆ ตัวเอาไว้ พวกเขาคืออารมณ์ต่างๆ เป็นดวงวิญญาณที่ทรมานที่มีดวงตาโบว๋และมีปากที่ส่งเสียงกรีดร้อง มีตัวตนแบบครึ่งๆ กลางๆ ที่ทำให้จินตนาการโลดแล่น ผีเหล่านี้มีข้อความอยากบอกอีดิธ ถ้าเพียงแต่เธอจะเอาชนะความกลัวและมองพวกเขาอย่างที่พวกเขาเป็นจริงๆ เบื้องหลังงานสร้าง ได้รับคำสาป: งานสร้างเริ่มต้น หลังความสำเร็จของภาพยนตร์บล็อกบัสเตอร์พูดภาษาอังกฤษที่อัดแน่นไปด้วยฉากแอ็กชั่นอย่างเรื่อง Hellboy (2004), Hellboy II: The Golden Army (2008) และ Pacific Rim (2013) ปรมาจารย์ด้านงานสยองขวัญอย่าง เดล โทโร่ ได้นำเรื่องราวความรักแนวโกธิคที่ทั้งมืดมิดและเปี่ยมด้วยจินตนาการมาขึ้นจอด้วยผลงานอย่าง Crimson Peak เดล โทโร่พูดอธิบายถึงเรื่องราวของความพยายามเรื่องล่าสุดของเขาด้วยถ้อยคำสั้นๆ ว่า "มนุษย์คือความสยองที่แท้จริง" นี่คือผลงานที่ดูใกล้เคียงกับผลงานของมือเขียนบท/ ผู้กำกับผู้นี้เรื่อง The Devil's Backbone (2001) มันคือเรื่องราวความรักย้อนยุคที่ทำให้สันหลังเย็นวาบที่เผยเรื่องราวในอารมณ์สยอง และใกล้เคียงกับผลงานมาสเตอร์พีซที่พูดภาษาสเปน และสามารถคว้ารางวัลออสการ์มาได้ถึง 3 รางวัลอย่าง Pan's Labyrinth (2006) ผลงานภาพยนตร์เรื่องใหม่ของ เดล โทโร่ เรื่องนี้สำรวจธีมที่ตามหลอกหลอนที่ว่า แท้จริงแล้วความรักก็คือกับดักอันอ่อนโยน เมื่อคนดูอาจตั้งคำถามว่าเหตุการณ์ในผลงานเรื่องล่าสุดของเขาเรื่องนี้ อาจเป็นเพียงผลของจินตนาการที่ไร้ขีดจำกัดของหญิงสาวคนหนึ่งใช่หรือไม่ Crimson Peak เล่นกับการรับรู้ของคนดูว่าอะไรคือความจริงและอะไรคือเรื่องแต่ง เมื่ออีดิธเป็นนักเขียนที่เต็มไปด้วยจินตนาการที่จัดจ้าน เป็นไปได้หรือไม่ว่าเหตุการณ์น่ากลัวทั้งหลายนั้นเกิดขึ้นมาจากความคิดของเธอเอง Crimson Peak เปรียบดั่งการสำรวจไปในผลงานภาพยนตร์ภาษาสเปนที่ได้รับคำชมของเดล โทโร่ เป็นผลงานที่เคยทำให้ผู้กำกับชาวเม็กซิกันผู้นี้เป็นที่รู้จักไปทั่วโลก สุดท้าย คัลลั่ม กรีน ผู้เคยร่วมงานกับ เดล โทโร่ ในภาพยนตร์เรื่อง Pacific Rim เป็นผู้ให้บทสรุปถึงผลงานใหม่เรื่องนี้ว่าเป็น "ภาพยนตร์สเปนแต่พูดภาษาอังกฤษเรื่องแรก" ของเดล โทโร่ เดล โทโร่ได้พูดถึงอิทธิพลของโปรเจ็กต์นี้ว่า "Crimson Peak คือเรื่องผีที่คล้ายกับ Pan's Labyrinth มันมีการผสมผสานของภาพยนตร์หลากหลายแนว และความจริงที่ว่าเรากำลังอัดเรื่องผีตามแบบขนบลงไปพร้อมกับความมีระดับและความงดงามของภาพยนตร์คลาสสิก" ขณะเขียนบทภาพยนตร์เรื่องนี้ เดล โทโร่และมือเขียนบท แมทธิว ร็อบบิ้นส์ ซึ่งเป็นเพื่อนของเขา ได้ดึงแรงบันดาลใจมาจากนิยายหลายต่อหลายเรื่อง อย่างเช่น "Wuthering Heights" ของเจน ออสติน "Great Expectations" ของชาร์ลส์ ดิ๊กเก้นส์ "Rebecca" ของ ดาฟเน่ ดู โมริเย่ และ "Dragonwyck" ของ แอนย่า ซีตัน ทั้งหมดนี้ แอบซ่อนความสยองเอาไว้ในแกนเรื่อง เดล โทโร่กล่าวว่า "ในเรื่องราวรักสไตล์โกธิค คุณจะได้เรื่องราวความรักที่ดี คุณจะได้องค์ประกอบที่เป็นเรื่องเหนือธรรมชาติ คุณจะได้ฉากที่ชวนขนลุก ทั้งหมดนี้ผสมผสานกันจนกลายเป็นภาพยนตร์ที่ดูงดงามจริงๆ" สำหรับ เดล โทโร่ การสำรวจภาพยนตร์แนวนี้อาจมีทั้งผีและปราสาทที่กำลังพังพินาศ และ "มันอาจมีกับดักของภาพยนตร์สยองขวัญ" แต่ที่ถูกหว่านเอาไว้ได้อย่างน่าทึ่งก็คือเรื่องราวความรักสุดคลาสสิกในแง่ที่ว่า "ตัวละครหลักที่เป็นพวกไร้เดียงสา กำลังค้นพบความลับ ขุมทรัพย์ อดีตที่มืดมิด...ที่ทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไป" และถึงแม้ความลับนั้นจะเปลี่ยนเรื่องราวความรักไป แต่ความรักที่ผลิบานระหว่างโธมัสและอีดิธ มีคุณสมบัติที่เป็นท่วงทำนองงดงาม อย่างไรก็ดี ถ้าความรักคือรูปแบบหนึ่งของความบ้าคลั่ง ผู้เล่นหลักทั้งหมดในเรื่องราวนี้ก็คือเหยื่อของความรัก ตามที่ เดล โทโร่ บอก Crimson Peak ก็คือ "เรื่องราวเทพนิยายที่น่าหดหู่ที่สุด" และสูตรผสมที่แสนคลาสสิกก็รวมถึงตัวละครที่กำลังเติบโตไปสู่วัยผู้ใหญ่ "คุณสามารถหามันพบได้ในเรื่องอย่าง 'Alice in Wonderland' หรือใน 'The Snow Queen' ผลงานของออสการ์ ไวลด์ หรือฮานส์ คริสเตียน แอนเดอร์เซ่น" เดล โทโร่บอกไว้ เรื่องราวนี้เกี่ยวข้องกับการค้นพบอิสรภาพ เป็นการเดินทางที่นำพาตัวละคร "เดินทางผ่านความมืด ผ่านพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ ข้ามมหาสมุทร ไปสู่โลกใต้ดินนี้" หนึ่งในนิยายรักแนวโกธิคเรื่องโปรดของ เดล โทโร่ ก็คือนิยายที่มีคนอ่านน้อยอย่างเรื่อง "Uncle Silas" ซึ่งเป็นผลงานของนักเขียนจากศตวรรษที่ 19 ที่ชื่อ โจเซฟ เชอริแดน เลอ ฟานู ที่ห้อมล้อมความชั่วร้าย ความสยดสยอง และอารมณ์ของเรื่องราวแนวนี้เอาไว้ "ภาพยนตร์เรื่องนี้มีความใกล้เคียงกับ 'Uncle Silas' ในหัวใจของผมมากที่สุดแล้ว" เดล โทโร่ประกาศ เพื่อสร้างเอกลักษณ์ให้กับเรื่องราวของเขา เดล โทโร่ใส่องค์ประกอบที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวลงไปในเรื่องนี้มากมายหลายอย่าง อย่างเช่น ผีเสื้อกลางคืนและผีเสื้อกลางวัน ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากความหลงใหลในวัยเด็กของเขา และความจริงที่ว่าพวกมันคือตัวแทนของลูซิลล์และอีดิธ สัญลักษณ์อย่างอื่นกลายเป็นส่วนสำคัญในการเล่าเรื่อง เช่น ทัศนคติในการเลือก ธรรมชาติของความรัก ของเล่นที่มีกลไกที่ทำจากเกียร์และกลไกที่ซับซ้อน ความใกล้ชิดของตัวละครเอกต่อพ่อของเธอ และที่ซ่อนใต้ดินที่มีลักษณะเหมือนถ้ำ ที่ถูกใช้เก็บซ่อนความลับหรืออารมณ์ที่อยู่ลึกที่สุด สิ่งที่ดึงดูดความสนใจของ เดล โทโร่ เพื่อใส่ความสยองลงไปในผลงานของเขา ก็คือ "การใช้ผีเพื่อกำจัดความเป็นมนุษย์ เพื่อเปล่งประกายให้กับเรื่องราวนี้ในแบบที่เป็นมนุษย์" เขานำเรื่องราวแนวโกธิคสุดคลาสสิกนี้มาและหลอมรวมมันเข้ากับวิธีการทำงานที่เปี่ยมด้วยจินตนาการของเขา ด้วยการสร้างคฤหาสน์ที่ชวนหลอนที่กลายเป็นหลักของเรื่องราวปริศนา ณ ที่แห่งนี้ ความกลัวฝังตัวอยู่ภายในกำแพง การผสมผสานความสยองขวัญทั้งทางจิตและทางกายนี้ ทำให้ ลีเจนดารี่ รู้สึกสนใจเป็นอย่างมาก พวกเขาเคยร่วมงานกับ เดล โทโร่ มาตั้งแต่เริ่มพูดคุยกันเกี่ยวกับโปรเจ็กต์ Pacific Rim ทางสตูดิโอแห่งนี้รู้สึกว่าผลงานชิ้นล่าสุดของ เดล โทโร่ จะผสานเพื่อสร้างจักรวาลที่ดูน่าเชื่อขึ้นมาได้ โธมัส ทัลล์ แห่งลีเจนดารี่ และจอน แจชนี่ ได้ร่วมมือกับ เดล โทโร่และกรีนเพื่อสร้างภาพยนตร์เรื่อง Crimson Peak ขึ้นมา สำหรับทัลล์ ซึ่งเป็นซีอีโอของลีเจนดารี่ โอกาสที่จะได้ร่วมงานกับ เดล โทโร่ อีกครั้งคือสิ่งที่เขาต้องการอย่างมาก เขากล่าวว่า "ถ้าไม่ได้พิจารณาแนวของภาพยนตร์ กิลเลอร์โม่ได้นำทั้งความเฉลียวฉลาดและความโก้เก๋มาใส่เอาไว้ในภาพยนตร์ทุกเรื่องของเขา เมื่อเขาบรรยายให้เราฟังว่าเขาหวังจะทำ Crimson Peak ออกมาอย่างไร พวกเรามองเห็นภาพการเดินทางที่เขาจะพาเราเดินไปได้อย่างเต็มที่ และคงต้องบอกว่าผลลัพธ์ที่ได้นั้นมันมากเกินกว่าความฝันที่โลดโผนที่สุดของพวกเราเสียอีก" แจชนี่รู้สึกประทับใจในวิธีการที่ เดล โทโร่ ใช้สื่อสารกับคนดูทั่วโลกผ่านธีมที่เขานำเสนอ "ไม่ว่าจะเป็นการสร้างภาพยนตร์คลาสสิกภาษาสเปนอย่าง Pan's Labyrinth หรือการพูดกับคนดูชาวจีนผ่านเรื่อง Pacific Rim กิลเลอร์โม่เข้าใจดีถึงภาษาของภาพยนตร์" แจชนี่กล่าว "คนดูรู้สึกถึงความรักที่เขามีต่อตัวละครและเรื่องราวที่เล่า และพวกเขาก็ตอบสนองต่อผลงานของเขาในระดับส่วนตัวอย่างลึกซึ้งเช่นกัน" สำหรับผู้อำนวยการสร้างบริหาร จิลเลี่ยน แชร์ การที่เรื่องนี้ได้วางจุดสิ้นสุดของยุควิคตอเรียนเอาไว้กับการเบิกศักราชใหม่ ทำให้มีความเป็นไปได้ในการเล่าเรื่อง "กิลเลอร์โม่วางเหตุการณ์เหล่านี้เอาไว้ในฉากที่เป็นงานย้อนยุค ขณะที่สำรวจธีมร่วมสมัยที่พูดถึงผู้หญิงที่กำลังค้นหาที่ทางของตัวเอง และตัวตนของเธอในโลกใบนี้" แชร์กล่าว "และถึงแม้ว่าแรงกระตุ้นของพวกเธอจะแตกต่างกัน แต่ลูซิลล์ก็มีความฉลาดและความมุ่งมั่นไม่ต่างจากอีดิธ พวกเธอต่างเป็นนักคิดหัวแข็งและคิดก้าวล้ำยุคมาก" รักสามเส้า: การคัดเลือกตัวนักแสดง เดล โทโร่มักเริ่มต้นกระบวนการคัดเลือกตัวนักแสดงด้วยรายชื่อนักแสดงที่เขาอยากร่วมงานด้วย โชคดีสำหรับ Crimson Peak ที่ ชาร์ลี ฮันนั่ม, จิม บีเวอร์ และเจสสิก้า แชสเทน คือผู้มีชื่ออยู่บนสุดของรายชื่อนั้น อันที่จริง เดล โทโร่ ได้ฝังเมล็ดพันธุ์ที่จะนำไปสู่การได้ร่วมงานกับฮันนั่มในอนาคตไว้แล้วเมื่อตอนที่พวกเขายังคงทำงานกับภาพยนตร์เรื่อง Pacific Rim หลังจากปิดกล้อง Pacific Rim ได้ไม่นาน ฮันนั่มได้รับอีเมลจากผู้กำกับที่ขอให้เขาลองอ่านบทภาพยนตร์เรื่องนี้ดู และลองพิจารณาบท ดร.แม็คไมเคิล หนึ่งในหนุ่มโสดที่น่ามองที่สุดของบัฟฟาโล่ในศตวรรษที่ 20 ฮันนั่มรู้สึกดีใจที่เขาได้รับการพิจารณาในบทนายแพทย์หนุ่มที่หลงรักอีดิธ ตัวละครตัวนี้แตกต่างไปจากตัวละครมากมายที่เขาเคยแสดงเอาไว้ในอดีต เป็นชายหนุ่มที่มีลักษณะตรงกันข้ามกับความเป็นพระเอก ฮันนั่มเล่าว่าเขาคิดว่าเป็นเรื่องเซอร์ไพรส์มากทีเดียวที่เขาได้รับการพิจารณาให้เล่นเป็นตัวละครที่ "เป็นคนช่างคิดและเงียบ เป็นหนุ่มฉลาดที่มีความอ่อนไหว" เดล โทโร่บรรยายถึงตัว ดร.แม็คไมเคิล กับเขาไว้ว่าเป็นตัวละครสมัยใหม่ ซึ่งตรงกันข้ามกับ เซอร์โธมัส ชาร์ป ที่ดูเป็นคนหัวโบราณ ฮันนั่มบอกว่า เดล โทโร่ เรียกร้องให้เขาคงลักษณะของตัวเองเอาไว้ อันที่จริง นับแต่วินาทีที่ฮันนั่มก้าวลงจากเตียง ผ่านการแต่งหน้า และก้าวออกมาที่ฉาก ผู้กำกับเดล โทโร่ ขอให้เขาเก็บรักษาพลัง จิตวิญญาณ และการเคลื่อนไหวของเขาเอาไว้อย่างที่เป็นจริงๆท ฮันนั่มพอใจที่ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นงานที่ผลักดันด้วยการเล่าเรื่อง และเขาสนุกที่ เดล โทโร่ ย้อนกลับไปหารากฐานเดิมของตัวเอง เขากล่าวว่า "Crimson Peak มีความคล้ายคลึงกับ Pan's Labyrinth, Cronos และ The Devil's Backbone ผลงานยอดเยี่ยมทุกเรื่องที่กิลเลอร์โม่เคยทำเอาไว้เป็นภาษาสเปน" จิม บีเวอร์รู้สึกตื่นเต้นมากเมื่อเขาได้รับโทรศัพท์ติดต่อให้ร่วมแสดงในผลงานภาพยนตร์เรื่องล่าสุดของ เดล โทโร่ บท คาร์เตอร์ คุสชิ่ง ถือเป็นความแตกต่างไปจากบทบาทเดิมๆ ที่เขาเคยแสดง เขารู้สึกว่าเขาเคยถูกต้อนให้ต้องเข้ามุมด้วยการรับบทเป็น "ชายที่หุนหันพลันแล่น แต่ดูน่ารัก" จากบทบาทที่เขาเคยแสดงเอาไว้ในทีวี แต่ เดล โทโร่ ได้มอบโอกาสให้บีเวอร์ได้ล้างภาพลักษณ์เดิม และรับบทเป็นนักธุรกิจที่มีเรื่องราวย้อนยุค เป็นตัวละครที่แข็งแกร่งและน่านับถือจากชนชั้นที่แตกต่างออกไป บีเวอร์ยอมรับว่า เขาไม่ใช่แฟนภาพยนตร์สยองขวัญร่วมสมัยสักเท่าไหร่ แต่ก็ยินดีต้อนรับโอกาสที่จะได้ทำงานในภาพยนตร์ที่ทำให้คนดูเกิดความกังขาในหลายสิ่งที่พวกเขาเคยไว้ใจในโลกจริงๆ บีเวอร์บอกว่า เดล โทโร่ ได้นำเอาความโก้หรูใส่ลงไปในงานของเขา "การที่เขาใช้ตัวละครและการเล่าเรื่องเพื่อสร้างเรื่องราวสยองที่เหมือนยังไม่หยุดนิ่ง เขามองเห็นถึงหัวใจของความมืดมิดที่อยู่ภายในตัวมนุษย์ ภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่ใช่แค่งานที่สร้างความตื่นเต้น มันทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้กลายเป็นโปรเจ็กต์ที่เหมือนเป็นรางวัลที่ได้มาทำงานด้วย" สำหรับตัวละครนำหญิง ผู้กำกับต้องการนักแสดงหญิงสองคนที่สะท้อนกันและกันเสมือนแสงสว่างและความมืด เป็นผีเสื้ออันงดงามและผีเสื้อกลางคืนสีจืดชืด ทั้งนางเอกและนางร้ายคือผู้หญิงแกร่งที่ต้องมาต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอดและเพื่อความรัก เจสสิก้า แชสเทน และมีอา วาซิโควสก้า เหมาะกับสองบทบาทนี้อย่างสมบูรณ์ที่สุด เดล โทโร่ ได้พบกับแชสเทนขณะอำนวยการสร้างภาพยนตร์ทริลเลอร์เหนือธรรมชาติเรื่อง Mama ซึ่งแชสเทนรับบทนำอยู่ แต่กลับกลายเป็นว่าแชสเทนอยากเล่นอีกบทบาทหนึ่งแทน สำหรับเธอ บทบาทหนึ่งเดียวที่เธอต้องการคือเลดี้ลูซิลล์ ชาร์ป แชสเทนกลายเป็นนักแสดงมีชื่อเสียงด้วยการแสดงบทบาทที่หลากหลาย ไม่ว่าบทนั้นจะท้าทายสักเพียงใด ความทุ่มเทของเธอเป็นสิ่งที่มองเห็นได้ กรีนเล่าถึงตอนที่เห็นแชสเทนมาซักซ้อมบทใน Crimson Peak เป็นครั้งแรก เขาเล่าว่า "เธอได้เพิ่มบางสิ่งบางอย่างเข้าไปในฉากนั้นที่ทำให้พวกเราทุกคนต้องประหลาดใจ และแสดงให้เห็นถึงความปรารถนาของเธอที่จะอินไปกับตัวละครตัวนี้แบบร้อยเปอร์เซนต์เต็ม" แชสเทนตกหลุมรักตัวละครของเธอ ถึงแม้ ลูซิลล์ จะมีคุณสมบัติที่เลวร้าย เธอมอง ลูซิลล์ ว่าเป็นผู้หญิงที่ "ทำทุกอย่างเพื่อความรัก เธอเป็นคนง่ายๆ ในแง่นั้น" เธอเล่นเปียโน เธอชอบอ่านหนังสือ เธอรักน้องชายและต้องการให้บ้านเป็นที่สันโดษ เพราะ "ในอดีต เธอเคยต้องเจ็บมาแล้ว" เพราะเลดี้ชาร์ปคือความลึกลับสำหรับคนดู เดล โทโร่จึงจัดเตรียมความเป็นมาของตัวละครให้กับแชสเทนอย่างละเอียด ซึ่งแชสเทนได้ใช้มันในการเตรียมตัว การที่ เดล โทโร่ สร้างเรื่องราวให้กับตัวละครตัวนี้เอาไว้แล้ว ทำให้นักแสดงสาวผู้นี้และผู้กำกับมีอดีตร่วมกัน แชสเทนเล่าว่า "เวลาที่ฉันตัดสินใจในกองถ่าย เขาจะเข้าใจเลยว่าทำไมฉันถึงได้เลือกที่จะทำเช่นนั้น เพราะเขารู้ประวัติลูซิลล์ดีอยู่แล้ว" พวกเขาแบ่งปันความเข้าใจในการกระทำและอิทธิพลของตัวละครตัวนี้ และแรงกระตุ้นที่แรงที่สุดของลูซิลล์ก็คือความรัก แชสเทนเล่าว่า "ความเกลียดและความโกรธเกิดมาจากความรัก ทุกอารมณ์ต่างมีคู่ที่ทรงพลังอย่างเท่าเทียมกัน กิลเลอร์โม่ได้สร้างสมดุลขึ้นมา คุณจึงไม่เคยรู้สึกว่าคุณกำลังแสดงอารมณ์ที่ว่างเปล่า คุณไม่เคยรู้สึกว่าคุณกำลังอยู่ในเรื่องผี คุณรู้สึกว่าคุณกำลังเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับคนจริงๆ" Crimson Peak ดำเนินเรื่องไปอย่างเชื่อมั่นด้วยตัวละคร อีดิธ คุสชิ่ง ซึ่งรับบทโดยนักแสดงสาวเชื้อสายโปแลนด์-ออสเตรเลีย มีอา วาซิโควสก้า ซึ่งแจ้งเกิดในภาพยนตร์ของ ทิม เบอร์ตัน เรื่อง Alice in Wonderland อีดิธคือลูกสาวของเจ้าพ่ออุตสาหกรรมชาวอเมริกันที่สร้างฐานะขึ้นมาด้วยตัวเองอย่าง คาร์เตอร์ คุสชิ่ง เธอเป็นผู้หญิงรักอิสระ จิตใจเข้มแข็ง ผู้ต้องเสียแม่ไปตั้งแต่เด็ก เธอไม่เหมือนสาวสังคมในยุคเดียวกันที่สนใจแค่เรื่องแฟชั่นและการเป็นที่สนใจของหนุ่มโสดระดับหัวกะทิของบัฟฟาโล่ ความทะเยอทะยานของอีดิธนำเธอไปสู่การสำรวจโลกเหนือธรรมชาติผ่านงานเขียนของเธอ วาซิโควสก้ารู้สึกสนใจที่จะแสดงภาพยนตร์อีกเรื่องที่มีอารมณ์สยองขวัญ เธอยอมรับว่าก่อนนี้เธอไม่สนใจภาพยนตร์แนวนี้เลย อย่างไรก็ดี การได้ทำงานกับ เดล โทโร่ คือประสบการณ์การเรียนรู้ที่ถือเป็นรางวัลสำหรับเธอ เธอเล่าว่าในช่วงแรกของการถ่ายทำ ผู้กำกับได้อ้างอิงถึง Frankenstein "ความกลัวคือวิธีที่เราได้เรียนรู้ว่าเราเป็นใคร" เขาทำแบบเดียวกับที่เคยทำกับ แชสเทน ในบท ลูซิลล์ โดย เดล โทโร่ ได้ทำประวัติความยาว 8 หน้าให้กับวาซิโควสก้า เธอเล่าว่า "มันมีรายละเอียดลึกซึ้งมาก มีเรื่องเกี่ยวกับการเลี้ยงดูอีดิธ ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับพ่อแม่ และกลิ่นที่แตกต่างกันที่เธอชอบ" วาซิโควสก้าไม่ได้มองอีดิธในฐานะนางเอก และเธอมองว่าในภาพยนตร์เรื่องนี้ "ไม่มีทั้งคนดีหรือคนร้าย" "ตัวละครทุกตัวมีความกำกวม มากพอที่คุณจะมองพวกเขาในแบบนั้น พวกเขาทุกคนทำสิ่งที่จำเป็นต้องทำเพื่อเอาตัวรอด" วาซิโควสก้าบอก สำหรับอีดิธ การเอาตัวรอดคือการต้องมาอยู่ในคฤหาสน์แห่งนี้ ซึ่งถือเป็นงานสตั๊นต์ที่น่ากลัวและสนุกที่สุดที่วาซิโควสก้าเคยแสดงมา "มันขัดต่อสัญชาตญาณทั้งหมดของคุณ" เธอหัวเราะ แต่หลังจากซักซ้อมไปสองสามรอบ เธอก็แทบทนรอที่จะได้แสดงไม่ไหว กรีนที่เคยรู้สึกทึ่งกับแชสเทนมาแล้ว รู้สึกอึ้งไปอีกครั้งกับความสามารถของวาซิโควสก้าในการแสดงเป็นอีดิธ ด้วยความแข็งแกร่งและความใสซื่อในระดับที่ลงตัวพอดี เขาให้ความเห็นไว้ว่า "มีอาเป็นอิสระมาก เธอไม่มีอีโก้อยู่ในตัวเลย" การได้มาเห็นความสามารถของเธอในการรับมือกับความซับซ้อนทางอารมณ์ที่ตัวละครของเธอต้องการ เขาถึงกับเอ่ยปากว่า "เธอสุดยอดจริงๆ" รักแท้ของอีดิธคือเซอร์โธมัส ชาร์ป หนุ่มโสดกริยามารยาทงามจากอังกฤษ ผู้เดินทางมาอเมริกาเพราะต้องการหาเงินลงทุนในสิ่งประดิษฐ์ใหม่ของเขา เป็นเครื่องกลที่ช่วยทำเหมืองดิน ชาร์ปตกหลุมรักอีดิธอย่างรวดเร็ว และหญิงสาวผู้นี้ก็รู้สึกหลงใหลในชาวต่างชาติที่ดูลึกลับ ซึ่งแสดงความสนใจในงานเขียนของเธอและยังช่วยเติมจินตนาการของเธอด้วยความคิดสุดโรแมนติคที่ว่าเธอจะได้เดินทางไปยังที่ที่ห่างไกลจากบ้าน ผู้ได้รับเลือกให้มารับบท โธมัส ชาร์ป ก็คือทอม ฮิดเดิลสตัน นักแสดงหนุ่มที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักไปทั่วโลกจากการรับบทร้ายเป็น โลกิ ในโลกของมาร์เวล เขาได้รับโทรศัพท์จากเดล โทโร่ในฤดูร้อนของปี 2013 เพื่อขอให้เขาอ่านบท ฮิดเดิลสตันสนใจในความงดงามของงานเขียนเรื่องนี้ และยอมรับว่าเขาชอบ "ความกำกวมทางด้านศีลธรรม" ของตัวละครของเขา นอกจากนี้ ฮิดเดิลสตันยังตื่นเต้นที่มีโอกาสได้ทำงานกับแชสเทน เพื่อนที่คบหากันมานาน และเมื่อคิดว่าเขาเคยร่วมงานกับวาซิโควสก้ามาแล้วในภาพยนตร์ของ จิม จาร์มุสช์ เรื่อง Only Lovers Left Alive นักแสดงหนุ่มจึงรู้สึกว่าโปรเจ็กต์นี้ลงตัวที่สุด ฮิดเดิลสตันเป็นแฟนผลงานของ เดล โทโร่ อยู่แล้ว เขากล่าวว่า "กิลเลอร์โม่อาจเป็นคนที่ตีความเรื่องรักแนวโกธิคในวงการภาพยนตร์ร่วมสมัยได้ชัดแจ้งที่สุด เขามีความสามารถที่จะสร้างเรื่องราวเกี่ยวกับเหตุเหนือธรรมชาติอย่างได้อารมณ์และเข้าถึงได้ดีที่สุด" ฮิดเดิลสตันต้องการให้ตัวละครของเขารู้สึก "ถึงอารมณ์อันยิ่งใหญ่และการไถ่บาป" เพราะคนดูจะรู้สึกได้ถึงการเดินทางทางอารมณ์ของเขา ดังนั้นภาพยนตร์เรื่องนี้จึงเปลี่ยนจากเรื่องสยองขวัญไปเป็นเรื่องราวดราม่าและเรื่องรัก โดยความจงใจของ เดล โทโร่ อย่างไม่ต้องสงสัย และเช่นเดียวกับที่เขาทำกับแชสเทนและวาซิโควสก้า เดล โทโร่ได้จัดเตรียมประวัติของตัวละครให้กับฮิดเดิลสตัน ซึ่งทำให้เขาเข้าใจในตัวละครที่แสดงอยู่ ผู้กำกับยังร่วมแบ่งปันความลับของชาร์ป ซึ่งเขาได้บอกกับฮิดเดิลสตันว่าอย่าบอกความลับนี้ให้นักแสดงคนอื่นๆ รู้ ฮิดเดิลสตันกล่าวถึง เดล โทโร่ ด้วยความชื่นชมว่าเขาคือ "หมีเม็กซิกันที่ยิ่งใหญ่" โดยบอกว่าความรักที่มีอย่างมากมายของ เดล โทโร่ ทำให้เขาสามารถที่จะ "จุดประกายไฟที่โอบล้อมทีมงานทุกคนเอาไว้ เราจะติดตามเขาไปทุกแห่ง เพราะเขาเชื่อในเรื่องนี้อย่างลึกซึ้ง" ในเรื่องรักแนวโกธิคเรื่องนี้ ไม่ได้มีแค่มนุษย์ ภูตผีแห่งอัลเลอร์เดล ฮอลล์ก็มีตัวตนจริงเช่นเดียวกับตัวละครหลักตัวอื่นๆ พวกเขาคือนักแสดงที่ต้องสวมใส่ชุดที่ได้รับการออกแบบมาอย่างซับซ้อน ที่จะสะท้อนภาพดินสีแดงจากเหมืองลึก"พวกเขาสุดยอดมากในเรื่องของการเคลื่อนไหว และดูงดงามอย่างเรียบง่าย" แชนเทนบอก การได้แสดงกับนักแสดงจริง ช่วยให้กลุ่มนักแสดงหลักให้การแสดงที่ดีมากขึ้น เมื่อพวกเขาต้องแสดงท่าทางหวาดกลัวท่ามกลางสภาพแวดล้อม "ฉันไม่เคยเห็นผีมาก่อน ฉันชอบที่คุณสามารถมองเห็นรูปแบบมนุษย์ของพวกเขาได้" วาซิโควสก้าบอก "ฉันคิดว่ายิ่งผีมีภาพลักษณ์แบบมนุษย์มากขึ้นเท่าไหร่ ผีก็ยิ่งน่ากลัวมากขึ้น เพราะเราสามารถอินไปกับสิ่งที่เราเป็นหรือเคยเป็นได้" เพราะ เดล โทโร่ มีชื่อเสียงเรื่องการปรับบทภาพยนตร์จนกว่ามันจะสมบูรณ์แบบ กรีนเล่าถึงการได้อ่านบทภาพยนตร์เรื่องนี้ครั้งแรกเมื่อหลายปีก่อน แก่นของเรื่องยังคงเหมือนเดิม แต่ทางผู้อำนวยการสร้างแนะนำว่า "สิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปคือความสนใจของ เดล โทโร่ ต่อตัวละครผู้หญิง" อันที่จริง ในวันที่ 52ของการถ่ายทำ เดล โทโร่ ยังคงเพิ่มบทไปอีกหลายหน้า มีการเปลี่ยนแปลงแก้ไขเกิดขึ้นทุกวันโดยอิงจากสิ่งที่เขาได้พูดคุยกับนักแสดง และการที่นักแสดงพูดคุยกันเองเกี่ยวกับพัฒนาการของตัวละคร การปรับแต่งเรื่องราวนี้คือวิธีการทำงานของผู้กำกับ เดล โทโร่ นั่นก็คือ เขาคอยชี้นำ เขาฟัง และเขาซึมซับ "และด้วยความไว้วางใจ นักแสดงมอบสิ่งเหล่านั้นคืนกลับมา" กรีนบอก "มันคือความจริงที่มีคนรู้น้อยมาก แต่กิลเลอร์โม่คือนักมายากลจริงๆ" ความสยองที่สัมผัสได้: สถาปัตยกรรมแห่งความกลัว อัลเลอร์เดล ฮอลล์คือคฤหาสน์ทรงโกธิคขนาดใหญ่ ที่ตั้งอยู่บนเนินเขาอันห่างไกลของอังกฤษ ที่นั่นมีความลับที่ถูกเก็บงำเอาไว้รุ่นแล้วรุ่นเล่า มันตั้งอยู่กลางที่เวิ้งว้าง รายล้อมด้วยที่เปิดโล่งที่มีแต่ดินและหิมะขาวโพลน อัลเลอร์เดล ฮอลล์ตั้งอยู่เหนือเนินดินสีแดง ซึ่งเป็นที่มาของชื่อ "ปราสาทสีเลือด" ทุกห้องของคฤหาสน์มีความลับใหม่ จากเหมืองใต้ดินจนถึงห้องใต้หลังคาต้องห้าม จากห้องสมุดที่เก็บความลับ จนถึงลิฟต์ที่มีหน้าตาคล้ายกรงและดูเหมือนจะมีความคิดเป็นของมันเอง บ้านหลังนี้ถูกออกแบบมาจนเหมือนกับดักผีเสื้อ มันถูกออกแบบให้ล่อลวงและดักจับสิ่งที่สวยงามและไร้เดียงสา มันยังเป็นที่ซ่อนความลับที่มืดมิดที่สุดของตระกูลชาร์ป และเผยความจริงที่พูดไม่ได้ อันที่จริง ใครจะกล้าเผยความจริงนี้ออกมา บ้านที่มีผีสิงหลังนี้ ซึ่งก็คืออัลเลอร์เดล ฮอลล์ อาจเป็นองค์ประกอบที่สำคัญที่สุดของภาพยนตร์เรื่องนี้ และยังทำหน้าที่เป็นเสมือนพาหนะให้กับโครงเรื่อง มันคือตัวละครที่น่ากลัวที่สุดของเรื่องนี้ ดินแดงที่ไหลซึมออกมาจากใต้พื้น เดล โทโร่คือศิลปินที่ต้องจินตนาการภาพขึ้นมาก่อนที่เขาจะลงมือสร้าง จึงไม่น่าแปลกใจเมื่อเขารวบรวมทีมงานที่จะเข้ามาสร้างจินตนาการของเขาให้กลายเป็นของจริงขึ้นมานั้น บ้านหลังนี้และองค์ประกอบทุกอย่างในบ้าน คือสิ่งที่เขาได้คิดเอาไว้แล้วในหัว บ้านหลังนี้คือตัวละครที่มีประวัติและความเป็นมาของมันเอง ไม่มีบ้านหลังไหนที่สร้างความพอใจให้กับจินตนาการอันแจ่มชัดของ เดล โทโร่ ได้ ถ้าเป็นภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ คงจะเลือกใช้เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ ด้วยการสร้างบ้านที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวและความสยดสยอง แต่เดล โทโร่ตัดสินใจที่จะสร้างฉากขนาดใหญ่ขึ้นมา การสร้างบ้านผีสิงต้องการทั้งทีมออกแบบฉาก ผู้ก่อสร้าง และผู้ตกแต่งที่ต้องทำงานนานเกือบหกเดือน เพื่อให้ทุกอย่างเสร็จสมบูรณ์ทันเวลาถ่ายทำ การออกแบบเพื่อตอบสนองการทำงานของผู้กำกับภาพ แดน ลาสต์เซ่น คือส่วนสำคัญในทุกการสนทนา งานสร้างภาพยนตร์ทุกเรื่องเริ่มต้นด้วยการกำหนดข้อจำกัด ตารางการถ่ายทำ งบ และการอนุมัติ สำหรับผู้กำกับศิลป์ แบรนด์ กอร์ดอน ความกดดันเหล่านั้นหมายถึงการต้องเจรจากันทุกวันเพื่อทำให้องค์ประกอบภาพทั้งหมดของภาพยนตร์เรื่องนี้ออกมาตามความเป็นจริง การร่วมมือเริ่มต้นตั้งแต่ขั้นการเขียนบท นับแต่ได้อ่านบทครั้งแรก เขาเริ่มต้นทำงานร่วมกับโปรดักชั่นดีไซเนอร์ โธมัส แซนเดอร์ส, ผู้ตกแต่งฉาก เชน วีอู และผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย เคท ฮอว์ลี่ย์ ทุกคนในทีมทำการค้นคว้า รวบรวมองค์ประกอบด้านการออกแบบ โทนสี เนื้องาน และรูปทรง และนำเสนอกับ เดล โทโร่ เพื่อให้เขาพิจารณาและให้ความเห็น ผู้กำกับจะบอกทันทีว่าอะไรที่ใช้ได้และอะไรที่ใช้ไม่ได้ จากข้อกำหนดของ เดล โทโร่ ที่ว่า "เราต้องการรูปทรงเหลี่ยมสำหรับฉากในอเมริกา และรูปทรงกลมสำหรับฉากในสหราชอาณาจักร" ทุกการตัดสินใจจากผู้กำกับช่วยสร้างเสริมการตัดสินใจด้านการออกแบบของทีมงาน และสร้างโลกที่แตกต่างกันอย่างเด่นชัดตามที่ เดล โทโร่ ได้จินตนาการเอาไว้ สองอาทิตย์ก่อนที่การเตรียมงานถ่ายทำจะเริ่มต้นขึ้น แซนเดอร์ส โปรดักชั่นดีไซเนอร์ เดินทางมาถึงโตรอนโต้ พร้อมเทรเลอร์ขนาด 20 ฟุต พร้อมที่จะสร้างช้อปและสร้างโมเดลขึ้นมา กระบวนการทำงานของแซนเดอร์สมีความโดดเด่น ไม่มีใครในวงการนี้ที่สร้างโมเดลขนาดใหญ่เท่ากับเขา วิธีการของเขาซึ่งกอร์ดอนบอกว่าเป็น "ภาพสเก็ตช์แบบ 3D" คือเครื่องมือสำคัญในการกำหนดทุกองค์ประกอบของงานออกแบบสุดท้าย ซึ่งรวมถึงสัดส่วน กำแพง โครงสร้าง สีสัน และการตกแต่งสุดท้าย นี่ไม่ใช่แผนกศิลป์แบบเดิมๆ แต่เพื่อให้การทำงานของแซนเดอร์สราบรื่นมากขึ้น กอร์ดอนได้ว่าจ้างทีมสนับสนุน ซึ่งก็คือศิลปิน คาเมรอน บรู๊ก และโรเบิร์ต บรู๊ก เมื่อการสร้างโมเดลเริ่มต้นขึ้นท คาเมรอน บรู๊ก ยินดีที่ได้ทำงานกับแซนเดอร์ส เพราะวิธีการทำงานของเขาในการวางรูปแบบโมเดล โดยมีการกำหนดทุกมุมที่จะมีการใช้กล้อง ขนาดของกำแพงแต่ละด้าน และทางเดินแต่ละจุด รวมถึงรายละเอียดในงานที่สร้างเสร็จสมบูรณ์แล้ว บรู๊กอธิบายว่า "เพื่อสร้างภาพของคฤหาสน์หลังใหญ่ขนาดนี้ ทอมต้องวางเส้นสายเพื่อหลอกสายตา หลอกให้คนดูคิดว่านี่คือพื้นที่ขนาดใหญ่จริงๆ" การทำงานในระดับนี้ เปิดโอกาสให้ทีมงานได้แก้ไขปัญหาเรื่องการออกแบบ และพัฒนาคอนเซ็ปต์ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ผู้เข้าประชุมตอนเช้า ยังรวมถึงนักวาดภาพประกอบ กาย เดวิส ซึ่งวาดภาพสเก็ตช์ 2D ให้กับทีมสร้างโมเดล เดล โทโร่จะพิจารณาทุกไอเดียที่มีคนนำเสนอเพื่อสร้างโทนสีที่กอร์ดอนอธิบายไว้ว่าเป็นนีโอโกธิค โดยได้รับอิทธิพลจากยุคทิวดอร์ และนีโอเรอแนสซองส์ เมื่อการสร้างโมเดลคืบหน้าไป ผู้กำกับ เดล โทโร่สามารถที่จะมองเห็นถึงมุมกล้องและวางแผนชอตภาพที่จะถ่ายทำได้ ก่อนที่จะมีฉากให้เห็นเสียอีก บรู๊กได้รับคำชี้แนะจากแซนเดอร์สให้เพิ่มแม่เหล็กเข้าไปในชิ้นส่วนต่างๆ ของโมเดล เพื่อให้มันสามารถแยกชิ้นส่วนและติดเข้าด้วยกันได้ง่ายมากขึ้น ในตอนแรก เดล โทโร่ รู้สึกลังเลเกี่ยวกับรูปแบบนี้ แต่เขารู้ได้อย่างรวดเร็วว่าแซนเดอร์สได้สร้างภาพสเก็ตช์ที่ใช้งานได้ ซึ่งสามารถเปลี่ยนแปลงความต้องการและข้อเรียกร้องของผู้กำกับได้ เดล โทโร่ใช้ชี้แนะถึงความรู้สึกและโทนสีของตัวบ้าน โดยให้ข้อมูลอ้างอิงจากภาพยนตร์เรื่องก่อนๆ ที่เขาเคยทำงานด้วย รวมไปถึงหนังสือและแหล่งข้อมูลอื่นๆ สำหรับเหมืองดิน กอร์ดอนเล่าว่า "เขานำหนังสือญี่ปุ่นที่มีภาพของบ่อน้ำสีสนิม มีสีเขียวนกเป็ดน้ำบนกำแพงมาให้ดู" เดล โทโร่มีไอเดียเฉพาะเกี่ยวกับตัวอักษรที่ถูกวาดลงบนกำแพง ว่าลักษณะควรเป็นเช่นไร และการตกแต่งควรออกมาดูเก่าแค่ไหน และจะทำอย่างไรเพื่อให้เกิดความรู้สึกว่าครั้งหนึ่งมันเคยเป็นสถานที่ที่หรูหราและมีราคาแพง ทีมปฏิมากรได้สร้างโมเดลดินเป็นชิ้นส่วนสถาปัตยกรรมจากยุคสมัยนั้น ซึ่งไม่สามารถหาซื้อได้ โมเดลดินถูกนำไปทำเป็นแม่พิมพ์ และชิ้นส่วนต่างๆ ถูกผลิตขึ้นในจำนวนที่ต้องการ ทีมก่อสร้างมีมากถึง 120 คน และมีอยู่ครั้งหนึ่งที่มีคนมากถึง 60 คนที่ทำงานอยู่ในแผนกทำแม่พิมพ์ ตั้งแต่ช่างปั้น ช่างปูน จนถึงคนที่ทำซิลิโคนให้กับคนที่ทำแจ็คเก็ต อัลเลอร์เดล ฮอลล์ไม่ใช่ฉากธรรมดา มันคือบ้านที่มีเพดาน ทางเดิน ที่เชื่อมห้องทุกห้อง ซึ่งต้องรวม 10 ฉากให้เป็นฉากเดียวกัน ไอเดียก็คือฉากที่ไร้รอยต่อเหล่านี้จะทำให้กล้องสามารถเคลื่อนไปแต่ละส่วนของบ้าน ไปยังส่วนข้างๆ โดยไม่ต้องใช้ฉากเชื่อมต่อที่สร้างด้วยคอมพิวเตอร์ในงานโพสต์โปรดักชั่น ห้องเพียงห้องเดียวที่เป็นอิสระจากฉากบ้านทั้งหลังก็คือห้องนอน "มันคือจุดแตกหัก" กอร์ดอนเล่า ทุกองค์ประกอบของฉากใหญ่ยักษ์ฉากนี้ต้องพร้อมในเวลาเดียวกัน "เราต้องการให้ส่วนของฉากด้านนอกเชื่อมต่อกับห้องพัก เชื่อมต่อกับบันไดขนาดใหญ่ เชื่อมต่อกับครัว เชื่อมต่อกับห้องเก็บถ่าน เชื่อมต่อกับอ่างล้างชาม เชื่อมต่อกับลิฟต์ เชื่อมต่อกับห้องโถงใหญ่ และชั้นบน อย่าลืมว่ามันคือชั้นบนที่มีทางเดิน 70 ฟุต และสูงขึ้นไปจนถึงห้องใต้หลังคาที่ชั้นสาม" เหล่านักแสดงถึงกับแปลกใจเมื่อพวกเขาก้าวเข้าไปเหยียบในฉาก "เมื่อตอนที่ฉันเดินเข้าไปในฉากครั้งแรก ฉันถึงกับอึ้งไปเลย" แชสเทนเล่า "ฉันไม่เคยเห็นอะไรอย่างนี้มาก่อนเลยค่ะ" ขนาดใหญ่โตมโหฬารของฉากนี้คือสิ่งที่หาได้ยากมากในงานสร้างภาพยนตร์ยุคใหม่ "มันเป็นฉากที่เรียบง่ายแต่ใหญ่ที่สุดเท่าที่ผมเคยเจอมาในชีวิต" ฮิดเดิลสตันเห็นด้วย เขายกความดีความชอบให้ เดล โทโร่ ที่สร้างอนุสรณ์ที่กำลังพังพินาศของคฤหาสน์ที่เป็นที่กำเนิดเหตุเหนือธรรมชาติ มันมีทั้งความชั่วร้ายและความลับในแบบเดียวกับที่มนุษย์จะพึงกระทำ เพื่อให้สามารถแพนภาพได้กว้างขึ้น และทำให้ทีมงานของ เดล โทโร่ มีความคล่องตัวมากขึ้นในการตัดสินใจว่ากำแพงขนาดใหญ่เหล่านี้ควรจะตั้งอยู่ตรงไหนเมื่อหลายสิ่งหลายอย่างพัฒนาไป ชิ้นส่วนขนาดใหญ่ของฉากถูกสร้างขึ้นจากเหล็ก แทนที่จะเป็นไม้อย่างที่เคยทำๆ กัน อันที่จริง เตาผิงที่เห็นในฉากสามารถใช้งานได้จริง ทุกอย่างจึงต้องกันไฟ พื้นดูเหมือนทำจากไม้ แต่ที่จริงมันสร้างจากคอนกรีตที่มีความแข็งแรงเพื่อให้ทนรับต่อการทำงานของทีมงานโดยไม่เสียหายไปเสียก่อน องค์ประกอบด้านการออกแบบยังรวมถึงผีเสื้อกลางคืน ที่ผู้กำกับต้องการให้แทรกอยู่ในตัวบ้าน ตามที่ เดล โทโร่ บอก "บ้านหลังนี้ต้องมีชีวิต" แซนเดอร์สแนะนำว่าผิวของกำแพงก็คือผิวหนังของตัวบ้าน และรอยแตกก็เผยให้เห็นถึงเนื้อหนัง "ใช่ บ้านหลังนี้ปล่อยของเหลวออกมาด้วย" เดล โทโร่หัวเราะ ทีมงานของกอร์ดอนยังต้องเกี่ยวพันกับการสร้างงานสเปเชียล เอฟเฟ็กต์ โดยต้องทำเลือดดินที่ไหลออกมาจากพื้นและกำแพง พวกเขาต้องการวัตถุดิบที่มีทั้งความหนืด สีสัน และภาพลักษณ์ที่เหมาะสม เอฟเฟ็กต์เหล่านี้จะช่วยสร้างคุณลักษณะของบ้าน ซึ่งเป็นสิ่งปลูกสร้างที่มีชีวิต มีลมหายใจ และเลือดออกได้ โมเดลนี้ทำหน้าที่เป็นแผนที่ให้กับฉากขนาดเท่าของจริง บรู๊กใช้ปูนปลาสเตอร์ในการสร้างโมเดลและทำให้มันดูเก่าขึ้นเพื่อกำหนดว่าฉากของจริงจะออกมาเป็นอย่างไร การปิดผิวหน้าของฉากต้องใช้ทั้งเงินทองและเวลามากมาย ตามที่บรู๊กบอก "มันเป็นฉากที่ต้องสร้างให้หนามากเพื่อให้เกิดคลื่นบนกำแพงเก่าแก่ที่มีดินไหลออกมานานหลายสิบปี พวกเราพึงพอใจมากที่ได้เห็นงานที่สร้างขึ้น จนมันกลายเป็นฉากเท่าของจริง มันคือความฝันของงานศิลปะในการสร้างภาพยนตร์จริงๆ" การค้นหาโลเกชั่นที่ใช้งานได้คือความท้าทายอีกอย่างหนึ่ง ที่ไม่เพียงแต่ต้องการฉากภายในที่มียุคสมัยที่เหมาะสมเท่านั้น แต่ยังต้องมีความยืดหยุ่นที่จะเปลี่ยนมันให้เหมาะกับสไตล์ของภาพยนตร์เรื่องนี้ หนึ่งในโลเกชั่นเหล่านั้นก็คือวิคตอเรีย คอลเลจในโตรอนโต้ กอร์ดอนให้ทีมงานกะกลางคืนทำงานนาน 14 ชั่วโมง นานหลายอาทิตย์เพื่อเตรียมงานและทาสีโลเกชั่นต่างๆ เมื่อวิทยาลัยแห่งนี้เปิดสอนอีกครั้ง พวกเขาสามารถกลับไปทำงานได้ในช่วงสุดสัปดาห์ ในกรณีอื่นๆ นั้น ความยากลำบากเกิดขึ้นโดยธรรมชาติ กลางเดือนกุมภาพันธ์ เมื่อทีมงานเริ่มต้นทำงานกลางแจ้งเพื่อถ่ายทำฉากด้านหน้าของอัลเลอร์เดล ฮอลล์ พื้นที่ในแคนาดาตกอยู่ในสภาพจับตัวเป็นน้ำแข็งไปหมด เมื่อการถ่ายทำเริ่มต้นในเดือนเมษายน ทุกอย่างเริ่มละลาย "เราเจอเข้ากับวัฏจักรของน้ำที่จับตัวแข็งและละลาย จนเราถึงกับต้องคุกเข่าอยู่ในโคลน เมื่อเราเตรียมองค์ประกอบสุดท้ายให้พร้อมสำหรับการถ่ายทำ" กอร์ดอนเล่า และพวกเขาใช้เวลาเกือบสามอาทิตย์ที่จะขนทุกอย่างกลับไปที่โรงถ่าย และใช้เวลาอีกหนึ่งอาทิตย์ในการตกแต่งฉากด้วยหิมะสีขาวและสีแดง เพื่อทำงานนี้ให้สำเร็จ ทีมสร้างฉากต้องใช้ขี้ผึ้งพาราฟินเข้ามาช่วย อารมณ์โกธิคต้องมา: งานกำกับศิลป์ ทุกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับงานสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ ได้เรียนรู้ว่า เดล โทโร่ มีความรู้เรื่องยุควิคตอเรี่ยนราวกับเป็นเอนไซโคลพิเดีย การสร้างภาพสุดคลาสสิกเหล่านี้ วีอู ที่ทำหน้าที่เป็นคนตกแต่งฉาก ได้ทำงานประสานกับผู้กำกับในทุกองค์ประกอบของการตกแต่ง ผู้กำกับอยากได้วอลเปเปอร์ "Bradbury & Bradbury" วีอูต้องออกตามล่าหาของมาให้ได้ เขาเจอแหล่งเฟอร์นิเจอร์ย้อนยุคและของตกแต่งโดยไม่ต้องไปถึงอังกฤษอย่างที่วางแผนเอาไว้ ในแอลเอ เขาพบพรมศตวรรษที่ 17 ที่ถูกนำมาใช้ในอัลเลอร์เดล ฮอลล์ ซึ่งแสดงถึงความมั่งคั่งของคฤหาสน์แห่งนี้ แต่เมื่อการพูดคุยเริ่มต้นในเรื่องของภาษาและผิวสัมผัส "สีคือสิ่งสำคัญในภาพยนตร์สำหรับผมนะ" วีอูบอก ตามที่ เดล โทโร่ บอก "วิธีการกำกับศิลป์ของภาพยนตร์เรื่องนี้ก็คือการสร้างสองโลกที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ส่วนแรกเกิดขึ้นในอเมริกา และอเมริกาคือยาสูบ ทองคำ และเต็มไปด้วยสีซีเปีย มันคือสีสันของความก้าวหน้าและชีวิต เมื่อเราไปที่คริมสัน พีค ทุกอย่างกลายเป็นสีโทนเย็นและมืด มันกลายเป็นอารมณ์ขนลุก" เดล โทโร่ชื่นชอบสีเขียวหัวเป็ดที่ได้รับแรงบันดาลใจจากใบไม้ การเลือกสีสันของเขาเป็นตัวสร้างอารมณ์ของฉาก เป็นโลกลึกลับจากจินตนาการของเขา เสื้อผ้าส่วนใหญ่ของลูซิลล์คือ "การผสมผสานกับสถาปัตยกรรม และนั่นคือรอยเท้าที่เราต้องเดินตามในเรื่องของสีสัน" วีอูบอก ห้องนอนใหญ่ของชาร์ปถูกแต่งแต้มด้วยกำมะหยี่ที่มีผิวสัมผัสล้ำลึก ปิดทับด้วยผ้าไหมหรูหรา ห้องโถงใหญ่ตกแต่งด้วยริบบิ้นคอตตอนบนชั้นหนังสือ เพื่อเพิ่มไฮไลต์สีทอง โซฟาปิดทับด้วยผ้าไหมสีเขียวเข้ม เฟอร์นิเจอร์ถูกห่อหุ้มใหม่ด้วยพรม คำว่า "ความกลัว" ถูกวางเอาไว้ในตัวบ้านอย่างลงตัว ผ่านงานออกแบบทั้งหลาย วอลเปเปอร์ถูกสั่งทำเป็นพิเศษเพื่อให้เข้ากับมอดและผีเสื้อที่ เดล โทโร่ อยากย้ำเน้นตามพื้นและทางเดิน เป็นสัญลักษณ์ถึงความลุ่มหลงของลูซิลล์ที่จะวางกับดักขังทุกอย่างและผู้คน เป็นการออกแบบความกลัวเข้ากับผิวสัมผัสของบ้านหลังนี้ "ความกลัว" ยังถูกจารึกลงในเก้าอี้ ในเสื้อคลุม สร้างความน่ากลัว หวั่นวิตก และสยดสยองอย่างที่บ้านผีสิงควรจะเป็น สีแดงสุดสะพรึง: เครื่องแต่งกาย ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย เคท ฮอว์ลี่ย์ บรรยายภาพของ Crimson Peak ว่าเป็นภาพยนตร์ยุควิคตอเรี่ยนมากกว่าจะถูกนำเสนอตามความเป็นจริง เมื่องานสร้างเริ่มต้น เดล โทโร่ ประกาศกับฮอว์ลี่ย์ว่า "เราจะสร้างเสื้อผ้าขึ้นมา เราจะออกแบบสถาปัตยกรรม" เธอและลูกทีมได้สร้างเสื้อผ้าที่สะท้อนวิสัยทัศน์ของ เดล โทโร่ อันที่จริง ฮอว์ลี่ย์บอกว่า "งานของเขาก็คือเรื่องของการวางเลเยอร์ มีองค์ประกอบของเทพนิยาย มีประวัติศาสตร์ มีบทกวี" ในช่วงแรกๆ ของกระบวนการออกแบบ ฮอว์ลี่ย์เล่าถึงการพูดคุยกันถึงเรื่องอารมณ์และสีสัน เสื้อผ้าที่ใช้ในส่วนอเมริกาจะสะท้อนถึงฤดูร้อน ทองคำ และใบยาสูบ สะท้อนถึงการเติบโตและความก้าวหน้า ขณะที่ในอังกฤษจะเป็นฤดูหนาว ใบไม้แห้งเหี่ยว สีน้ำเงินเข้ม และสีเขียวหัวเป็ด เพื่อเพิ่มความท้าทาย เธอต้องเลี่ยงการใช้สีขาว ดำ และแดงสำหรับเสื้อผ้าที่ใช้ในบัฟฟาโล่ ทำให้เธอต้องทำงานกับโทนสีครีม สีถ่าน และสีส้มสด จะไม่มีไฮไลท์หรือเงามืดในฉากเหล่านั้น ขณะที่ในอัลเลอร์เดล เนื้อผ้าสีมืด ทิ้งน้ำหนักให้กับตัวละครในเรื่องราวความรักแนวโกธิค ทีมของฮอว์ลี่ย์เริ่มตั้งชื่อให้กับเสื้อผ้า เธอสรุปว่า "เสื้อผ้าทุกชุดต่างมีอารมณ์ของมัน" "หนอนหนังสือบัฟฟาโล่" คือ ชุด "สไตล์นักเขียนแนว แมรี่ เชลลี่ย์" ของอีดิธ ซึ่งมีความเป็นชายในเรื่องของงานตัดเย็บ "ชุดหัวใจสลาย" ที่อิงจากภาพวาดของ คลิ้มท์ เป็นชุดราตรีที่ดูบอบบางที่มีดอกไม้ดอกเล็กๆ กับหัวใจอยู่ตรงกลาง "มันคือวิธีที่เราพบภาษาของเราในเรื่องของการตกแต่ง ที่ช่วยสนับสนุนตัวเรื่องด้วย" ฮอว์ลี่ย์บอก ดอกไม้คือธีมในชุดของอีดิธ ซึ่งแสดงให้เห็นถึง "ความละเอียดและความสมบูรณ์ และจิตใจที่ดีของเธอ" ชุดเจ้าสาวของเธอตกแต่งด้วยสีม่วง ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ยุควิคตอเรี่ยนถึงความทรงจำและยามเช้า ชุดของลูซิลล์ดูแห้งแล้งด้วยลวดลายของใบไม้แห้ง ซึ่งบ่งบอกถึงหายนะ ความหิวโหยและความแห้งแล้ง งานเย็บปักบนชุดของลูซิลล์สะท้อนรายละเอียดของงานสถาปัตยกรรมของตัวบ้าน "ดังนั้นเธอจึงเหมือนสวมใส่บ้านหลังนี้เอาไว้ในหลายๆ ทางด้วยกัน" เดล โทโร่อธิบาย การตัดเย็บเสื้อผ้าของเธอก็แตกต่างออกไปเช่นกัน งานออกแบบของฮอว์ลี่ย์เน้นหนักไปที่ความบอบบางของลูซิลล์ ชุดต้องเข้ารูปและเพรียวบาง "ดังนั้น คุณจึงรู้สึกได้ถึงกระดูกที่โผล่พ้นเสื้อผ้า" โครงสร้างที่บอบบางของเธอดูคล้ายกับโครงสร้างบ้านที่เป็นแนวยาวและแคบ แผนกเสื้อผ้าต้องทำงานอย่างใกล้ชิดกับ เดล โทโร่ เพื่อสำรวจและช่วยนักแสดงแต่ละคนให้รู้ถึงความต้องการของตัวละครแต่ละตัว ผู้กำกับต้องการให้เสื้อผ้าเล่นกับขนาดและรูปทรง ดังนั้นการเลือกเนื้อผ้าจึงเกิดขึ้นจากไอเดียของเขา "เราอยากสะท้อนตัวสถาปัตยกรรมของบ้าน" ฮอว์ลี่ย์บอก "ดังนั้น เราพยายามที่จะทำให้เสื้อผ้าออกมาเป็นเหมือนงานปฏิมากรรม" เมื่ออีดิธเริ่มต้นกลมกลืนไปกับอัลเลอร์เดล เธอเริ่มอ่อนแอ "เหมือนโปร่งใสมากขึ้น ราวกับดักแด้" และไอเดียนี้ก็ถูกส่งผ่านไปยังชุดนอนของเธอด้วย ผ้าไหมที่ดูบอบบางของชุด ถูกใส่เข้าไปเพื่อช่วยการแสดงของวาซิโควสก้าในเรื่องความพลิ้วของผ้า สำหรับส่วนของลูซิลล์และโธมัส พวกเขาจะเหมือนกิ้งก่าที่เปลี่ยนสีไปในโลกของพวกเขา ที่ตัดกับสีน้ำเงินและเงามืดของตัวบ้าน ลูซิลล์กลมกลืนไปกับกำแพงราวกับผีเสื้อกลางคืน และเพื่อเน้นแรงกระตุ้นของผู้กำกับ เดล โทโร่ ทีมเสื้อผ้าใช้เวลานานหลายชั่วโมงเพื่อเย็บผ้าด้วยมือ โดยใช้เทคนิคจับจีบ ซึ่งทำให้ชุดพริ้วไหลราวกับปีกของแมลงตัวโปรดของ เดล โทโร่ การได้รับความท้าทายให้ทำงานกับโทนสีจำกัดสำหรับทีมนักแสดงหลัก เมื่อสีแดงถูกใส่ลงไปในชุดของวิญญาณตนหนึ่ง ฮอว์ลี่ย์ยังจดจำความรู้สึกแรงกล้านั่นได้ดี "มันเป็นภาพที่แรงมาก ไม่เหมือนกับผีที่เราเคยเห็นมาก่อนเลย วิญญาณของเดล โทโร่ ให้ความรู้สึกจริงมาก เหมือนอดีตทาสในเวอร์ชั่นที่ชวนขนลุก มากกว่าจะเหมือนผีที่แตะต้องไม่ได้" การพูดคุยกันระหว่างฮอว์ลี่ย์และเดล โทโร่ มักลงเอยด้วยไอเดียที่เป็นบทสรุปที่ว่า "ความน่ากลัวต้องเป็นสิ่งที่สวยงามด้วย" Crimson Peak Official Trailer https://youtu.be/9kn0x9-yKv0 Crimson Peak | Visit Crimson Peak https://youtu.be/emqg3Cc5_1I Crimson Peak | Remember The Ghost https://youtu.be/OVSW16GpQGo

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ