เกษตรฯ เตรียมหารือ ก.พาณิชย์ ขยายตลาดข้าวหอมมะลินิลสุรินทร์สู่ตลาดนิชมาร์เกต "พลเอก ฉัตรชัย" ย้ำกวดขันการปลอมปนข้าวคุณภาพต่ำสู่ตลาด

ข่าวทั่วไป Thursday November 26, 2015 14:17 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--26 พ.ย.--สำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานพิธีเปิดงานวันถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตข้าวมะลินิลสุรินทร์ ณ ศูนย์วิจัยข้าวสุรินทร์ อำเภอเมือง จังหวัดสุรินทร์ ซึ่งกรมการข้าวจัดขึ้นเพื่อเผยแพร่และถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตข้าวมะลินิลสุรินทร์ และเผยแพร่ผลงานและการดำเนินงานในโอกาสครบรอบ 66 ปี แห่งการก่อตั้งศูนย์วิจัยข้าวสุรินทร์ ว่า จังหวัดสุรินทร์ถือเป็นอีกหนึ่งพื้นที่ที่เดินตามนโยบายประชารัฐของรัฐบาล ที่ภาครัฐโดยศูนย์วิจัยข้าวสุรินทร์ได้ร่วมกับสถาบันการศึกษาพัฒนาพันธุ์ข้าวหอมมะลินิลสุรินทร์ และภาคเอกชนเริ่มนำไปจำหน่ายในท้องตลาดบ้างแล้ว ขณะที่ภาคประชาชนก็รวมแปลงใหญ่ ซึ่งหลังจากนี้ กระทรวงเกษตรฯ จะเร่งหารือร่วมกับกระทรวงพาณิชย์ เพื่อขยายตลาดข้าวหอมมะลินิลสุรินทร์ให้แพร่หลายมากขึ้นทั้งตลาดในและต่างประเทศ รวมถึงการกำหนดคุณภาพมาตรฐานการผลิตไม่ให้มีการปลอมปนและส่งผลต่อราคาได้ "ข้าวมะลินิลสุรินทร์เป็นข้าวเจ้าสีม่วงเข้มหรือสีดำ มีคุณสมบัติในการป้องกันโรคมะเร็ง อีกทั้งในปี 2559 กรมการข้าวจะรับรองพันธุ์ข้าวมะลินิลสุรินทร์ จึงมีความจำเป็นต้องสร้างการรับรู้ของเกษตรกร ผู้ประกอบการ ผู้บริโภค และผู้เกี่ยวข้อง ให้รู้จักข้าวมะลินิลสุรินทร์กันอย่างแพร่หลาย รวมทั้งรับรู้เทคโนโลยีการผลิตข้าวและการผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวมะลินิลสุรินทร์ที่ถูกต้อง เพื่อลดต้นทุนการผลิตและเพิ่มโอกาสในการแข่งขัน โดยยึดหลักการ 4 ด้าน ได้แก่ การลดการใช้ปัจจัยการผลิต การเพิ่มผลผลิตต่อไร่ การเพิ่มการบริหารจัดการแบบแปลงใหญ่ และการเชื่อมโยงตลาด ดังนั้น เพื่อง่ายต่อการบริหารจัดการเกษตรกรจึงควรรวมกลุ่มกันเพื่อผลิตและจำหน่ายข้าวพันธุ์นี้เป็นการเฉพาะ หากเกษตรกรทำได้ก็จะทำให้มีรายได้เพิ่มขึ้น เนื่องจากข้าวกลุ่มนี้ราคาสูงกว่าข้าวขาว ซึ่งหากปลูกในระบบอินทรีย์ก็จะทำให้ราคาสูงขึ้นไปอีก" พลเอกฉัตรชัย กล่าว สำหรับแผนการขยายผลข้าวพันธุ์มะลินิลสุรินทร์ ศูนย์วิจัยข้าวสุรินทร์จะดำเนินการผลิตเมล็ดพันธุ์หลัก 5 ตันในปี 2559 แล้วนำไปส่งเสริมให้กลุ่มเกษตรกรทำการผลิตในเชิงการค้าได้ 500 ไร่ เกษตรกร 2 กลุ่ม กลุ่มละ 30 ราย รวมเป็น 60 ราย ซึ่งจะได้ผลผลิตไม่ต่ำกว่า 155,000 กิโลกรัม สร้างรายได้ให้เกษตรกรไม่ต่ำกว่า 12.40 ล้านบาท หรือเฉลี่ยจำหน่ายได้กิโลกรัมละ 80 บาท?

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ