“โกลเบล็ก” มองกองทุนThailand Future Fund หนุนดัชนี แนะจับตาสถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลางให้กรอบดัชนี 1,350 – 1,380 จุด

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday November 27, 2015 11:44 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--27 พ.ย.--มีเดีย แพลนเนอร์ คอนซัลแทนท์ บล.โกลเบล็กมองตลาดหุ้นไทยมีปัจจัยหนุนจาก การเสนอตั้งกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน "Thailand Future Fund"พร้อมกับฤดูกาลการซื้อกองทุน LTFRMFพร้อมจับตาสถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลางรวมถึงตัวเลขส่งออกของไทยยังคงหดตัวลงต่อเนื่องที่เป็นปัจจัยกดดัน ให้กรอบดัชนี 1,350 – 1,380 จุดด้านราคาทองคำมีแนวโน้มปรับขึ้นช่วงสั้นใ ห้แนวรับ 1,055-1,050เหรียญต่อทรอยออนซ์ และแนวต้าน1,105-1,110เหรียญต่อทรอยออนซ์ น.ส.วิลาสินี บุญมาสูงทรง ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด หรือ GBS กล่าวว่าแนวโน้มภาวะตลาดหุ้นไทยได้รับปัจจัยบวกจากภาครัฐจากการที่กระทรวงการคลังเตรียมเสนอการออกกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน"Thailand Future Fund" วงเงิน 1 แสนล้านบาท เข้าครม. ภายใน 2 สัปดาห์นี้หลังพร้อมกันนี้ยังมีปัจจัยหนุนจากฤดูกาลการซื้อกองทุน LTFRMFเพื่อลดหย่อนภาษีที่ช่วยหนุนดัชนีตลาดหุ้นไทย บวกกับค่าเงินบาทอ่อนค่าต่อเนื่องหนุนภาคการส่งออกในไตรมาสสุดท้ายของปี 2558 นอกจากนี้ยังมีปัจจัยหนุนจากต่างประเทศในการที่ธนาคารกลางยุโรป (ECB) เตรียมพร้อมจะเพิ่มวงเงิน QE เพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจยูโรโซนโดยจะตัดสินใจในการประชุมต้นเดือนธันวาคมนี้ ส่วนปัจจัยที่มองว่าจะกดดันดัชนีตลาดหุ้นไทยในช่วงนี้คือ ตัวเลขการส่งออกในเดือนตุลาคม 2558 ลดลง 8.11%ขณะที่ช่วง 10 เดือนแรก(มกราคม-ตุลาคม 2558) การส่งออกลดลง 5.32% ทำให้แนวโน้มการส่งออกทั้งปียังอยู่ในช่วงติดลบ ประกอบกับแรงขายหุ้นในกลุ่มสื่อสารซึ่งมีมาร์เก็ตแคปสูงกดดันดัชนีตลาดอีกทางหนึ่งนอกจากนี้ยังมีปัจจัยจากต่างประเทศคือ FED ส่งสัญญาณขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุม 15 – 16 ธันวาคมนี้และอีกทั้งสถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลาง หลังจากเครื่องบินของรัสเซียถูกตุรกียิงตกใกล้ชายแดนซีเรีย ด้านนายชัยยศ จิวางกูรผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.โกลเบล็ก จำกัดประเมินกลยุทธ์การลงทุนใน SET ว่าภาวะตลาดหุ้นไทยมีปัจจัยบวก-ลบที่คละเคล้า ได้แก่ ความกังวลตุรกียิงเครื่องบินของรัสเซียตกใกล้ซีเรีย รวมถึงตัวเลขส่งออกของไทยยังคงหดตัวลงต่อเนื่องเป็นปัจจัยกดดัน อย่างไรก็ตามการคาดการณ์ ECB จะเพิ่มหรือขยายระยะเวลาการใช้ QE ออกไปเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจยูโรโซน รวมถึงเม็ดเงิน LTF- RMF ช่วงปลายปีจะเป็นแรงหนุนต่อภาวะการลงทุน ดังนั้นประเมินว่า SET ในสัปดาห์หน้าจะแกว่งตัวในกรอบ 1,350 – 1,380 จุด ดังนั้นแนะนำกลยุทธ์การลงทุน Selective Buyกลุ่มรับเหมาที่จะงานประมูลโครงการภาครัฐอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเร็วๆนี้จะเปิดประมูลก่อสร้างรถไฟทางคู่ชุมทางถนนจิระ-ขอนแก่น มูลค่า23,000 ล้านบาท เคาะราคา 8 ธันวาคมนี้กลุ่มการท่องเที่ยว ซึ่งได้ประโยชน์จากการเข้าสู่ช่วงไฮซีซั่น แนะนำ AOT CENTEL MINT จากจำนวนผู้โดยสารและนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น รวมไปถึงฤดูกาลจับจ่ายใช้สอยช่วงปลายปีส่งผลดีกับหุ้นในกลุ่มค้าปลีกแนะนำCPN ROBINSและหุ้นที่คาดว่าจะเข้า SET50 รอบใหม่ ได้แก่ MTLSS GPSC และ SET100ได้แก่ EPG VNG PLANBWORK สำหรับแนวทางการลงทุนในทองคำ นายสุทธิพงษ์ ศรีพรประเสริฐ นักวิเคราะห์การลงทุน บล.โกลเบล็ก จำกัดเปิดเผยว่า ราคาทองคำยังแกว่งตัวอยู่ในแนวโน้มลงอย่างต่อเนื่อง แต่ก็เริ่มปรับลงในกรอบแคบขึ้นพร้อมกับเริ่มมีการฟื้นตัวเกิดขึ้นบ้าง โดยปัจจัยกดดันหลักยังมาจากกระแสการคาดการณ์ว่า FEDจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนธันวาคมนี้ โดยเจ้าหน้าที่ FED หลายรายได้ออกมาให้ความเห็นสอดคล้องในทิศทางเดียวกันว่าFED ควรปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมช่วง 15-16 ธันวาคมนี้ โดยคาดว่าภาวะเศรษฐกิจสหรัฐที่แข็งแกร่งขึ้นจะสามารถรองรับผลกระทบจากการปรับขึ้นดอกเบี้ยได้ ขณะที่ธนาคารกลางยุโรปและธนาคารกลางอื่นๆทั่วโลกที่กำลังพิจารณามาตรการผ่อนคลายทางการเงินเพื่อหนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจและเงินเฟ้อ รวมถึงแนวโน้มการปรับขึ้นดอกเบี้ยของFED จะสร้างแรงหนุนให้ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นซึ่งจะเป็นปัจจัยกดดันต่อทองคำ อย่างไรก็ตามความกังวลจากข่าวเครื่องบินรบของรัสเซียที่ถูกตุรกียิงตกในบริเวณชายแดนซีเรีย โดยตุรกีเผยว่าเครื่องบินที่ถูกยิงตกนั้นเป็นเครื่องบินรัสเซียที่รุกล้ำน่านฟ้าของตุรกี ขณะที่รัสเซียยืนยันว่าไม่ได้รุกล้ำน่านฟ้าตุรกีแต่อย่างใดจากสถานการณ์ที่ขัดแย้งจะสร้างความตึงเครียดในตะวันออกกลางมากขึ้น ซึ่งจะทำให้มีแรงซื้อเข้ามาในทองคำเพื่อลดความเสี่ยง ดังนั้น ประเมินแนวโน้มราคาทองโลกด้านเทคนิคราคาทองเริ่มฟื้นตัวขึ้นมายืนเส้นค่าเฉลี่ย 5 และ 10 วัน ได้อีกครั้ง จากแรงหนุนแนวรับ DOUBLE BOTTOM ระยะสั้น บวกค่าสัญญาณ RSI ที่ฟื้นตัวขึ้นมาจากภาวะขายมาก ทำให้ราคาแนวโน้มปรับขึ้นต่อแต่คาดว่าจะเกิดขึ้นในช่วงสั้นเท่านั้นเนื่องจากแนวโน้มแกว่งตัวหลักที่ยังเป็นแนวโน้มลงจะยังคงกดดันการปรับตัวขึ้นของราคาโดยให้แนวรับ 1,055-1,050เหรียญต่อทรอยออนซ์ และแนวต้าน1,105-1,110เหรียญต่อทรอยออนซ์

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ