ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรและแนวโน้ม “บ. ศรีสวัสดิ์ พาวเวอร์ 1979” ที่ “BBB/Stable”

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday November 30, 2015 18:44 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--30 พ.ย.--ทริสเรทติ้ง ทริสเรทติ้งยืนยันอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท ศรีสวัสดิ์ พาวเวอร์ 1979 จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ "BBB" ด้วยแนวโน้ม "Stable" หรือ "คงที่" โดยอันดับเครดิตสะท้อนถึงประวัติอันยาวนานในการให้บริการสินเชื่อส่วนบุคคลแบบมีหลักประกันและคณะผู้บริหารซึ่งมากด้วยประสบการณ์ การจัดอันดับเครดิตยังพิจารณาถึงความสามารถในการทำกำไรในระดับที่น่าประทับใจ ตลอดจนระดับฐานทุนที่เพียงพอ และช่องทางการให้สินเชื่อที่กระจายตัวอยู่ทั่วประเทศ อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตถูกจำกัดโดย ภาวะการแข่งขันที่รุนแรง สภาวะเศรษฐกิจในประเทศที่ไม่เอื้ออำนวย ภาวะหนี้ครัวเรือนสูง และข้อเท็จจริงที่ว่ากลุ่มลูกค้าเป้าหมายของบริษัทมีความอ่อนไหวเป็นอย่างมากต่อการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ นอกจากนี้ บริษัทยังต้องใช้เวลาพิสูจน์เสถียรภาพในการเติบโตทางธุรกิจและการสร้างผลประกอบการที่น่าพอใจอย่างต่อเนื่องด้วย แนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่" สะท้อนการคาดการณ์ของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะสามารถรักษาสถานะทางการตลาดและมีผลประกอบการที่น่าพอใจอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ยังคาดว่าบริษัทจะสามารถควบคุมคุณภาพสินเชื่อเอาไว้ให้อยู่ในระดับที่ยอมรับได้ด้วยเช่นกัน การปรับเพิ่มขึ้นของอันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตอาจเกิดขึ้นได้ในกรณีที่บริษัทสามารถขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่องและคงความสามารถในการทำกำไรในระดับที่น่าพอใจ ในขณะเดียวกันก็สามารถดำรงคุณภาพสินทรัพย์ในระดับสูงเอาไว้ได้อย่างสม่ำเสมอ อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตอาจถูกปรับลดลงหากคุณภาพสินทรัพย์และความสามารถในการแข่งขันของบริษัทลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ในปี 2522 ครอบครัวแก้วบุตตาซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งและผู้ถือหุ้นรายใหญ่ในปัจจุบันของบริษัทศรีสวัสดิ์ พาวเวอร์ 1979 ได้เริ่มธุรกิจให้บริการสินเชื่อส่วนบุคคลแบบมีหลักประกันโดยใช้รถยนต์เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน ต่อมาในปี 2550 ครอบครัวแก้วบุตตาได้ขายธุรกิจทั้งหมดซึ่งขณะนั้นบริหารจัดการภายใต้บริษัท ศรีสวัสดิ์ อินเตอร์เนชั่นแนล 1991 จำกัด ให้แก่สถาบันการเงินแห่งหนึ่ง ในขณะที่บริษัทยังคงสินเชื่อคงค้างเอาไว้ ในปี 2552 ครอบครัวแก้วบุตตาได้กลับมาเริ่มขยายสินเชื่ออีกครั้งภายใต้บริษัทจัดตั้งขึ้นใหม่ที่ซื้อกิจการมา คือ บริษัท ศรีสวัสดิ์ พาวเวอร์ จำกัด (เดิมชื่อ บริษัท พาวเวอร์ 99 จำกัด) ในปี 2554 สินเชื่อทั้งหมดของบริษัทศรีสวัสดิ์ พาวเวอร์ ถูกโอนมายังบริษัทศรีสวัสดิ์ พาวเวอร์ 1979 ซึ่งเป็นบริษัทที่ครอบครัวแก้วบุตตาก่อตั้งขึ้นในปี 2551 นับตั้งแต่ปี 2554 เป็นต้นมา ธุรกิจหลักของบริษัทก็เติบโตอย่างมีนัยสำคัญ โดยบริษัทให้บริการสินเชื่อส่วนบุคคลซึ่งมีหลักประกันเป็นสินทรัพย์ต่าง ๆ ได้แก่ รถจักรยานยนต์ รถยนต์ ที่ดิน และอสังหาริมทรัพย์ บริษัทได้ขยายธุรกิจผ่านการเพิ่มจำนวนสาขาอย่างรวดเร็วทั่วประเทศ บริษัทได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในปี 2557 ปัจจุบันผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทคือครอบครัวแก้วบุตตาซึ่งถือหุ้นประมาณ 57% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด บริษัทยังมีบริษัทย่อยอีก 3 แห่ง ซึ่งประกอบด้วย บริษัท เงินสดทันใจ จำกัด ซึ่งให้บริการสินเชื่อส่วนบุคคลแบบไม่มีหลักประกัน บริษัท บริหารสินทรัพย์ เอส ดับบลิว พี จำกัด (เดิมชื่อ บริษัท บริหารสินทรัพย์ ศรีสวัสดิ์ จำกัด) ซึ่งให้บริการจัดเก็บหนี้และดำเนินธุรกิจซื้อหนี้เสียมาบริหาร และบริษัทที่เพิ่งก่อตั้งใหม่ คือ บริษัท ศรีสวัสดิ์ อินเตอร์เนชั่นแนล โฮลดิ้ง จำกัด ซึ่งประกอบธุรกิจลงทุนในบริษัทอื่นที่ประกอบธุรกิจการให้สินเชื่อ ในขณะที่บริษัทซึ่งเป็นบริษัทแม่ ให้บริการสินเชื่อส่วนบุคคลแบบมีหลักประกันโดยมียานพาหนะทุกชนิดเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน (ได้แก่ รถจักรยานยนต์ใช้แล้ว รถยนต์ รถบรรทุก ฯลฯ) หรือที่ดินและอสังหาริมทรัพย์ หนึ่งในกลยุทธ์หลักของบริษัทคือการขยายเครือข่ายสาขาในพื้นที่ต่างจังหวัดซึ่งเป็นถิ่นอาศัยของกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย จำนวนสาขาของบริษัทเพิ่มขึ้นจาก 258 สาขาในปี 2554 เป็น 1,408 สาขา ณ สิ้นเดือนกันยายน 2558 ส่งผลให้สินเชื่อของบริษัทเติบโตขึ้นจาก 2,829 ล้านบาทในปี 2554 เป็น 7,816 ล้านบาทในปี 2557 ซึ่งคิดเป็นอัตราการเติบโตโดยเฉลี่ยต่อปีเท่ากับ 43% สินเชื่อคงค้างของบริษัทเพิ่มขึ้นเป็น 10,537 ล้านบาท ณ สิ้นเดือนกันยายน 2558 เพิ่มขึ้น 35% จากสิ้นปี 2557 ทั้งนี้ ณ สิ้นเดือนกันยายน 2558 สินเชื่อคงค้างของบริษัทประกอบด้วยสินเชื่อที่มีรถยนต์นั่งส่วนบุคคลและรถกระบะเป็นหลักประกัน 53.5% สินเชื่อที่มีรถจักรยานยนต์ใช้แล้วเป็นหลักประกัน 18% สินเชื่อที่มีรถบรรทุกเพื่อการพาณิชย์เป็นหลักประกัน 12.4% สินเชื่อที่มีอสังหาริมทรัพย์เป็นหลักประกัน 10.2% สินเชื่อที่มีที่ดินเป็นหลักประกัน 4.5% สินเชื่อที่มีรถจักรยานยนต์ใหม่เป็นหลักประกัน 0.7% และสินเชื่อที่มียานพาหนะอื่น ๆ เป็นหลักประกัน 0.7% ทั้งนี้ สินเชื่อส่วนบุคคลที่ไม่มีหลักประกันและสินเชื่อนาโนไฟแนนซ์คิดเป็นอย่างละ 0.02% ของสินเชื่อคงค้างทั้งหมด ทั้งนี้ บริษัทได้หยุดธุรกิจให้สินเชื่อเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ใหม่ในปี 2558 อัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (สินเชื่อค้างชำระมากกว่า 90 วัน) ต่อสินเชื่อรวมของบริษัทปรับตัวดีขึ้นอย่างชัดเจน โดยอัตราส่วนลดลงจากระดับสูงสุดที่ 10.6% ณ สิ้นปี 2554 ซึ่งเป็นปีที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยครั้งใหญ่ มาอยู่ที่ระดับ 5.4% ณ สิ้นปี 2555 อย่างไรก็ตาม อัตราส่วนเพิ่มขึ้นเล็กน้อยอยู่ที่ 5.5% และ 5.7% ณ สิ้นปี 2556 และสิ้นปี 2557 ตามลำดับจากสถานการณ์ความไม่แน่นอนทางการเมืองและสภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ขณะที่ ณ สิ้นเดือนกันยายน 2558 คุณภาพสินทรัพย์ของบริษัทปรับตัวดีขึ้นพร้อมกับการลดลงของอัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ลงมาอยู่ที่ระดับ 5% บริษัทใช้เกณฑ์การอนุมัติสินเชื่อบนพื้นฐานความระมัดระวังและมีอัตราส่วนการปล่อยสินเชื่อต่อมูลค่าหลักประกันที่ระดับต่ำ บริษัทมีอัตราส่วนค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญต่อสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ที่ระดับประมาณ 60% ผลประกอบการของบริษัทเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นจาก 26 ล้านบาทในปี 2554 เป็น 575 ล้านบาทในปี 2556 และเติบโตอีก 49% มาอยู่ที่ระดับ 855 ล้านบาทในปี 2557 ในขณะที่อัตราส่วนผลตอบแทนต่อสินทรัพย์รวมถัวเฉลี่ยเพิ่มขึ้นจาก 1.6% ในปี 2554 เป็น 11.7% ในปี 2557 รายได้สุทธิในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2558 เท่ากับ 939 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 60% จากช่วงเดียวกันของปี 2557 และอัตราส่วนผลตอบแทนต่อสินทรัพย์รวมถัวเฉลี่ยเท่ากับ 12% (ปรับอัตราส่วนให้เป็นตัวเลขเต็มปี) การเสนอขายหุ้นแก่สาธารณชนเป็นครั้งแรกในเดือนพฤษภาคม 2557 ทำให้ทุนจดทะเบียนชำระแล้วของบริษัทเพิ่มขึ้นจาก 250 ล้านบาทเป็น 1,000 ล้านบาท โดยบริษัทใช้เงินจากการเพิ่มทุนเพื่อการชำระหนี้และการขยายสินเชื่อ การเสนอขายหุ้นฯ ดังกล่าว ทำให้ฐานทุนของบริษัทแข็งแกร่งขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยอัตราส่วนของผู้ถือหุ้นต่อสินทรัพย์รวมเพิ่มขึ้นจาก 18.7% ณ สิ้นปี 2556 เป็น 40% ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2557 และคงที่อยู่ในระดับ 40% ณ สิ้นปี 2557 ในเดือนพฤษภาคม 2558 บริษัทได้จ่ายหุ้นปันผลคิดเป็นจำนวนเงิน 20 ล้านบาท ทำให้ทุนชำระแล้วเพิ่มขึ้นเป็น 1,020 ล้านบาท ถึงแม้ว่าอัตราส่วนของผู้ถือหุ้นต่อสินทรัพย์รวมปรับลงเล็กน้อยเป็น 35.4% ณ สิ้นเดือนกันยายน 2558 นับว่าฐานทุนของบริษัทในขณะนี้อยู่ในระดับที่แข็งแกร่งเพียงพอสำหรับรองรับการขยายสินเชื่อในช่วงระยะเวลาอันใกล้นี้ นอกจากนี้ การที่บริษัทแสดงผลกำไรอย่างสม่ำเสมอตลอดช่วง 4 ปีที่ผ่านมายังทำให้ส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัทปรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ บริษัทมีอัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้นที่ระดับต่ำกว่า 1.8 เท่า ณ สิ้นเดือนกันยายน 2558 บริษัทมีกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่มีระดับความเสี่ยงสูงและค่อนข้างอ่อนไหวต่อการเปลี่ยนแปลงในทางลบของภาวะเศรษฐกิจ ดังนั้น นโยบายการอนุมัติเครดิตอันเข้มงวดของบริษัท ตลอดจนกระบวนการจัดเก็บหนี้ที่เพียงพอ และฐานทุนที่แข็งแกร่งจะช่วยจำกัดและดูดซับความเสี่ยงดังกล่าว อย่างไรก็ตาม การที่บริษัทเติบโตอย่างรวดเร็วทำให้บริษัทต้องใช้เวลาในการพิสูจน์ความสามารถในการบริหารจัดการฐานสินเชื่อขนาดใหญ่ ตลอดจนสร้างผลประกอบการที่น่าประทับใจ และดำรงคุณภาพสินเชื่อให้อยู่ในระดับที่ยอมรับได้ บริษัท ศรีสวัสดิ์ พาวเวอร์ 1979 จำกัด (มหาชน) (SAWAD) อันดับเครดิตองค์กร: BBB แนวโน้มอันดับเครดิต: Stable

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ