บล.เออีซี มอง SET เดือนธ.ค.เสี่ยงร่วงแตะ 1,345 จุดลุ้นเม็ดเงิน QE ยุโรป-LTF และจากงาน Thailand Focus หนุนดัชนีฯแนะลงทุนหุ้นกลุ่มท่องเที่ยว-โรงพยาบาล-เช่าซื้อ Strong สุด!!!

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday December 1, 2015 11:32 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--1 ธ.ค.--IR network บล.เออีซี ส่องตลาดหุ้นไทยเดือนธ.ค. เสี่ยงทรุดตัวลงแตะระดับ 1,345 จุด ผลพวงจากการร่วงลงของหุ้นในกลุ่มสื่อสารและความเสี่ยงจากการปรับตัวลดลงของตลาดหุ้นจีนหวนกลับมา รอบนี้ต้องรอลุ้นเม็ดเงิน QE ยุโรป เงินลงทุนจากองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) ในช่วงปลายปี และจากงาน Thailand Focus หนุนดัชนีฯ แนะลงทุนหุ้นกลุ่ม "ท่องเที่ยว- โรงพยาบาล -เช่าซื้อ" ชู AOT- AAV- ERW- MINT- CENTEL- BA -BDMS- BCH – VIBHA- SAWAD, MTLS - GL- ASK แกร่งสุด!!! ส่วนหุ้นกลุ่ม "แบงก์-สื่อสาร-พลังงานทดแทน" ส่งสัญญาณวอร์นนิ่ง ให้เลี่ยงลงทุน เสี่ยงถูกหั่นเป้าหมายรายได้และราคาในปี"59 นายเกรียงไกร ทำนุทัศน์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ เออีซี จำกัด (มหาชน) (AEC) เปิดเผยว่า แนวโน้มตลาดหุ้นไทยในเดือนธันวาคม 2558 ยังมีโอกาสปรับตัวลดลงหลังจากดัชนีหลุดระดับ 1,370 จุด จากการร่วงลงของหุ้นในกลุ่มสื่อสาร และการกลับมาของความเสี่ยงจากการปรับตัวลดลงของตลาดหุ้นจีน ทั้งนี้ประเมินว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยมีโอกาสปรับตัวลงไปที่ 1,345 จุด อย่างไรก็ตาม ความคาดหวังของเดือน ธ.ค.อยู่ที่ 2 ประเด็น คือ เม็ดเงินทั้งจากการจัดงาน Thailand Focus ในช่วงหลังจากวันที่ 4 ธ.ค. รวมถึงเงินลงทุนกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) ที่จะเข้ามาในช่วงปลายเดือนนี้ และความคาดหวังเรื่องนโยบายการเงินของธนาคารกลางยุโรป (ECB) ในการเพิ่มสัดส่วน และขยายระยะเวลาการทำ QE เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม ทั้งนี้ แนะนำให้นักลงทุนจัดพอร์ตการลงทุนให้สอดคล้องกับอุตสาหกรรมที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยซึ่ง อุตสาหกรรมที่เป็น Strong Point ของไทยในปัจจุบัน คือ ธุรกิจบริการ หุ้นที่วางแผนซื้อต้องอยู่ในอุตสาหกรรมที่ผลักดัน Earnings Momentum ของ SET ซึ่งได้แก่กลุ่มท่องเที่ยว (สายการบิน,โรงแรม) หุ้นที่เป็นเป้าหมายของการซื้อกลับเมื่อตลาดฟื้น ได้แก่ AOT- AAV- ERW- MINT- CENTEL- BA (จำนวนนักท่องเที่ยว คือตัวเลขเศรษฐกิจไทยเพียงตัวเดียวที่สามารถบรรลุเป้าหมายได้ในปี 2558) กลุ่มโรงพยาบาล ปัจจัยบวกระยะสั้น ได้แก่ แนวโน้มผลการดำเนินงานมีโอกาสเติบโตได้ดีแม้จะได้อยู่ในช่วงเวลาที่เป็น High Season และจับตาปัจจัยบวกในปี 2559 คือการขยายตัวจากการเพิ่ม Capacity ทั้งในและต่างประเทศหลังการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (M&A Theme) หุ้นที่ลงทุนที่น่าซื้อกลับได้แก่ BDMS- BCH และบริษัทที่มีผลการดำเนินงานดี VIBHA กลุ่มเช่าซื้อที่การขยายตัวของสินเชื่อในอัตราเร่ง หุ้นที่เป็นเป้าหมายในการซื้อได้แก่ SAWAD, MTLS - GL- ASK รวมถึงอุตสาหกรรมเล็กและธุรกิจที่เติบโตสวนกระแสเศรษฐกิจ ได้แก่ธุรกิจเครื่องสำอางค์, ธุรกิจตู้เติมเงิน, หุ้นที่เป็นเป้าหมายของการซื้อกลับได้แก่ KAMART- BEAUTY- SMPC และ Trading SGP "ในมุมมองของเราหุ้นในกลุ่มพลังงาน, สื่อสาร, ธนาคาร จะยังไม่ใช่กลุ่มที่ผลักดันผลการดำเนินงานและดัชนีตลาดหุ้นไทย ซึ่งหุ้นทั้ง 3 กลุ่มยังเผชิญแรงกดดันทั้งจาก ความผันผวนของราคาสินค้าโภคภัณฑ์, ความเสี่ยง NPL ที่มีโอกาสปรับสูงขึ้น 3.6-4% และต้นทุนการดำเนินงานของกลุ่มผู้ให้บริการโทรศัพท์ที่สูงขึ้น ทำให้หุ้นทั้ง 3 กลุ่มไม่ได้เป็น Contribute หลักในการขับเคลื่อนทั้งเศรษฐกิจและเสี่ยงต่อการถูกปรับลดผลการดำเนินงานและราคาเป้าหมาย" นายเกรียงไกรกล่าว โดยกลุ่มธนาคารพาณิชย์ ประเมินว่า เป้าหมายสินเชื่อในปี 2559 จะยังคงอยู่ในระดับต่ำ 5-6% เนื่องจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจยังอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าศักยภาพในระยะยาว ขณะที่แนวโน้ม NPL มีโอกาสปรับเพิ่มไปที่ 3.6% และมีโอกาสปรับเพิ่มขึ้นไปที่ 4% กรณีที่อุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์รายเล็กมีความเสี่ยงในการโอนเพิ่มมากขึ้น ทั้งนี้ แนะนำให้ลดน้ำหนักการลงทุนใน KBANK -SCB -BBL ขณะที่หุ้นในกลุ่มสื่อสาร จากประเมินความเสี่ยงในระยะ 1-2 ปีข้างหน้า พบว่ามีความเสี่ยงด้านต้นทุนที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น จนกว่าการจัดสรรคลื่นความถี่ในระยะ 3 ปีข้างหน้าจะสิ้นสุด โดยการแข่งขันประมูล 4G คลื่น 1,800 MHz มีต้นทุนของใบอนุญาตสูงถึง 40,000 ล้านบาท ขณะที่คลื่น 900 MHz จะมีต้นทุนความเสี่ยงอยู่ที่การติดตั้งอุปกรณ์ เนื่องจากคุณสมบัติของคลื่นความถี่มีความเหมาะสมในการให้บริการ 4G น้อยกว่า นอกจากนี้ ยังมองว่าประสิทธิภาพการทำกำไรของหุ้นในกลุ่มสื่อสาร ซึ่งเคยซื้อขายด้วยมูลค่าทางบัญชีที่สูง มีโอกาสถูกปรับลดมูลค่าพื้นฐานลง จนกว่าจะเห็นการเติบโตของรายได้ที่เกิดจากการได้สัมปทานที่ชัดเจน แนะซื้อ ADVANC (TP Consensus 260) ส่วน TRUE แนะเก็งกำไร ขณะที่ DTACยังไม่แนะนำให้ลงทุน ส่วนกลุ่มพลังงานทดแทน มีความเสี่ยงจากงาน EPC ในธุรกิจพลังงานลม ในเรื่องของการรับรู้รายได้ในปี 2559 ที่อาจต่ำกว่าคาด รวมถึงมีความเสี่ยงเกี่ยวกับการได้งานในอนาคตจากการตรวจสอบที่เข้มงวดมากขึ้น ทั้งนี้มองว่า ราคาหุ้นในกลุ่มนี้ยังซื้อขายด้วยระดับ PE 25 เท่า ในขณะที่ความเสี่ยงการประมูลโครงการใหม่มีโอกาสล่าช้ากว่าที่คาด แนะนำให้ลดน้ำหนักการลงทุนใน DEMCO และ ชะลอการลงทุนในหุ้นกลุ่มดังกล่าวจนกว่าจะเห็นความชัดเจนของการรับรู้รายได้

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ