ฟิทช์คงอันดับเครดิต บมจ. ไออาร์พีซีที่ 'A- (tha)’ แนวโน้มอันดับเครดิตยังคงเป็นลบ

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday February 8, 2016 10:51 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--8 ก.พ.--ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) บริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด ประกาศคงอันดับเครดิตภายในประเทศ (National Rating) ระยะยาวของบริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) หรือ IRPC ที่ระดับ 'A-(tha)' และคงอันดับเครดิตภายในประเทศระยะสั้นที่ระดับ 'F2(tha)' รวมถึงอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวสำหรับหุ้นกู้ไม่มีหลักประกันและไม่ด้อยสิทธิของบริษัทฯ ที่ระดับ 'A-(tha)' แนวโน้มอันดับเครดิตเป็นลบ ฟิทช์คาดว่ากระแสเงินสดจากการดำเนินงานของ IRPC จะสูงขึ้นในปี 2559-2560 หลังจากโครงการลงทุนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของบริษัทฯ ต่างๆ ที่ได้เสร็จสิ้นลง อัตราส่วนหนี้สินโดยคำนวณจากอัตราส่วนหนี้สินสุทธิที่ปรับปรุงแล้วต่อกระแสเงินสดที่ได้จากการดำเนินงานก่อนการเปลี่ยนแปลงของสินทรัพย์และหนี้สินจากการดำเนินงาน (FFO-adjusted net leverage) น่าจะยังคงอยู่ในระดับที่สูงในปี 2559 เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายในการลงทุนที่สูง แต่อัตราส่วนดังกล่าวน่าจะลดลงในปี 2560 อย่างไรก็ตามแนวโน้มเครดิตที่เป็นลบสะท้อนถึงความสามารถในการรองรับการเพิ่มขึ้นของอัตราส่วนหนี้สินในระดับต่ำ ที่จะรองรับค่าการกลั่นรวม (GIM) ที่อาจจะปรับตัวลงต่ำกว่าที่คาดการณ์ หรือค่าใช้จ่ายในการลงทุนที่สูงกว่าที่คาดการณ์ เมื่อเทียบกับระดับเครดิตในปัจจุบัน ปัจจัยที่มีผลต่ออันดับเครดิต EBITDA ที่ดีขึ้น: ฟิทช์คาดว่า กำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อม และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ของ IRPC จะเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 1.4 หมื่นล้านบาทในปี 2558 โดยบริษัทฯ ได้ประโยชน์จาก GIM ที่สูงขึ้นเนื่องจากความต้องการผลิตภัณฑ์น้ำมันและผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีที่สูง ฟิทช์คาดว่าบริษัทฯ จะมีความสามารถในการเพิ่มส่วนต่างจากการกลั่นมากขึ้นอันเป็นผลมาจากโครงการที่บริษัทฯ กำลังดำเนินการลงทุนอยู่สิ้นเสร็จ ซึ่งน่าจะช่วยให้บริษัทฯ มี EBITDA ที่ไม่ต่ำกว่า 1.5 หมื่นล้านบาทต่อปีในระยะเวลา 1-3 ปีข้างหน้า อย่างไรก็ตาม กระแสเงินสดและอัตราส่วนทางการเงินของ IRPC ยังคงมีความอ่อนไหวต่อการเปลี่ยนแปลงของ GIM เป็นอย่างมาก เนื่องจากภาระหนี้ของบริษัทฯ ณ ปัจจุบันที่สูงขึ้นมากกว่าสองเท่าจากปี 2554 เงินลงทุนที่สูง: ค่าใช้จ่ายในการลงทุนของ IRPC มีแนวโน้มที่จะลดลงในปี 2559 จากระดับในปี 2558 แต่จะยังคงสูงอยู่ ก่อนที่เงินลงทุนที่มีการกำหนดไว้แล้วและเงินลงทุนเพื่อการบำรุงรักษาจะลดลงเป็นอย่างมากตั้งแต่ปี 2560 เป็นต้นไป แผนการลงทุนที่สูงในปี 2559 นี้สะท้อนถึงแผนการลงทุนที่มีการปรับเปลี่ยนของบริษัทฯ ซึ่งได้รวมถึงการปิดปรับปรุงโรงกลั่นตามวาระในไตรมาส 4 ปี 2559 และเงินลงทุนส่วนที่เหลือสำหรับโครงการเพิ่มมูลค่าเพื่อผลิตภัณฑ์สะอาด (UHV) ที่คาดว่าจะแล้วเสร็จในไตรมาส 1 ปี 2559 การขยายเทอมการชำระเงิน: ฟิทช์คาดว่าแผนการขยายเทอมการค้ากับ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (PTT, AAA(tha)/แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ) ซึ่ง IRPC ได้รับการเทอมการค้าที่ 90 วันจาก PTT จะยังคงต่อเนื่องไปในปี 2559 นอกจากนี้การขยายเทอมการค้าสามารถขยายต่อไปได้ถ้าทั้งสองฝ่ายเห็นชอบร่วมกันว่ามีความจำเป็นต่อทาง IRPC การเพิ่มขึ้นหนึ่งอันดับเครดิต: อันดับเครดิตระยะยาวของ IRPC ได้รับการปรับเพิ่มขึ้นหนึ่งอันดับเครดิตจากการเชื่อมโยงกับ PTT ความเกี่ยวโยงนี้รวมถึงการที่บริษัทฯ ได้เป็นส่วนหนึ่งของการบริหารการเงินส่วนกลางของกลุ่ม PTT และการสับเปลี่ยนหมุนเวียนของผู้บริหารระดับสูงระหว่าง PTT และบริษัทในเครือซึ่งรวมถึงบริษัทฯ ด้วย อีกทั้ง PTT ยังได้ให้การสนับสนุนทางการค้า เช่น การขยายเทอมการค้าสำหรับการชำระค่าวัตถุดิบ การผลิตที่ครบวงจร: บริษัทฯ มีความได้เปรียบในการแข่งขันเนื่องจากการผลิตที่ต่อเนื่องครบวงจรตั้งแต่การกลั่นน้ำมันไปจนถึงการผลิตผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีขั้นปลาย รวมถึงประสบการณ์ ความเชี่ยวชาญและชื่อเสียงของบริษัทฯ ในธุรกิจปิโตรเคมีขั้นปลายอันยาวนานในประเทศไทย การเพิ่มขึ้นของสินค้าที่มีมูลค่าสูงจากการลงทุนจะช่วยเพิ่มส่วนต่างของราคาขายและต้นทุนการผลิตให้สูงขึ้นและลดความผันผวนของรายได้ สมมุติฐานที่สำคัญ สมมุติฐานที่สำคัญของฟิทช์ที่ใช้ในการประมาณการ: - ราคาน้ำมันดิบ (เบรนท์) ที่ราคา USD45 ต่อบาร์เรลในปี 2559, USD55 ต่อบาร์เรลในปี 2560, USD60 ต่อบาร์เรลในปี 2561 และ USD65 ต่อบาร์เรลในปี 2562 เป็นต้นไป โดยมีการปรับปรุงด้วยส่วนต่างราคาน้ำมันตามการซื้อน้ำมันดิบของ IRPC; - GIM ที่สูงขึ้นในปี 2559-2562 - จำนวนเงินลงทุนที่สูงในปี 2559 และลดลงในปี 2560-2562 - การขยายเทอมการค้าจาก PTT ที่ 90 วัน ยังคงต่อเนื่องในปี 2559 และค่อยๆ ลดลงสู่ระดับปกติที่ 30 วันภายในปี 2561 ปัจจัยที่อาจมีผลต่ออันดับเครดิตในอนาคต ปัจจัยลบ: - กระแสเงินสดจากการดำเนินงานที่ต่ำกว่าที่คาด และ การเพิ่มขึ้นของเงินลงทุนหรือการจ่ายเงินปันผลให้ผู้ถือหุ้น อันเป็นผลให้อัตราส่วนทางการเงินอ่อนแอลงกว่าที่คาดไว้เป็นอย่างมาก การปรับลดอันดับเครดิตอาจเกิดขึ้นได้หากบริษัทฯ ไม่สามารถทำให้อัตราส่วน FFO-adjusted net leverage ต่ำกว่า 4.25 เท่า (79.7 เท่า ในปี 2557) และอัตราส่วนกระแสเงินสดที่ได้จากการดำเนินงานก่อนการเปลี่ยนแปลงของสินทรัพย์และหนี้สินจากการดำเนินงาน ก่อนดอกเบี้ย และค่าเช่า ต่อภาระดอกเบี้ยและค่าเช่า (FFO fixed charge cover) สูงกว่า 3.0 เท่า (0.3 เท่า ในปี 2557) อย่างต่อเนื่องจากปี 2560 (ตามการประมาณการ) - ความสัมพันธ์ในด้านการดำเนินงานและความสำคัญในเชิงกลยุทธ์ของบริษัทฯ ต่อ PTT ที่ลดลง ปัจจัยบวก: การปรับแนวโน้มอันดับเครดิตเป็นมีเสถียรภาพที่จะเกิดขึ้นต่อเมื่อ - การเสร็จสิ้นของโครงการ UHV ในปี 2559 และการแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการสร้างส่วนต่างจากการกลั่นที่สูงอย่างต่อเนื่อง - ความสามารถในการรักษาอัตราส่วน FFO-adjusted net leverage ต่ำกว่า 4.25 เท่า และอัตราส่วน FFO fixed charge cover สูงกว่า 3.0 เท่า อย่างต่อเนื่องจากปี 2560 - ความมีวินัยในการใช้เงินลงทุนและการจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้น และการแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นที่จะปรับลดอัตราส่วนหนี้สินให้ดีขึ้น

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ