ฟิทช์คงอันดับเครดิต บมจ. ปูนซิเมนต์ไทย ที่ระดับ 'A(tha)’ แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday February 10, 2016 14:36 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--10 ก.พ.--ฟิทช์ เรทติ้งส์ บริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด ประกาศคงอันดับเครดิตภายในประเทศ (National Rating) ระยะยาวของบมจ. ปูนซิเมนต์ไทย หรือ SCC ที่ 'A(tha)' อันดับเครดิตภายในประเทศระยะสั้นที่ 'F1(tha)' และอันดับเครดิตภายในประเทศของหุ้นกู้ไม่มีหลักประกันและไม่ด้อยสิทธิของ SCC ที่ 'A(tha)' แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ กระแสเงินสดจากการดำเนินงานส่งผลให้ฐานะทางการเงินของ SCC แข็งแกร่งขึ้นในปี 2558 กำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) เพิ่มขึ้นมาอยู่ในระดับสูงกว่า 7 หมื่นล้านบาท ส่งผลให้อัตราส่วนหนี้สินสุทธิที่ปรับปรุงแล้วต่อกระแสเงินสดจากการดำเนินงานก่อนการเปลี่ยนแปลงของเงินทุนหมุนเวียน (FFO adjusted net leverage) ลดลงเหลือ 2.5 เท่า ถึงแม้ว่าอัตราส่วนหนี้สินดังกล่าวจะอยู่ในระดับต่ำกว่าระดับอัตราส่วนหนี้สินที่ฟิชท์พิจารณาว่าน่าจะเป็นปัจจัยบวกต่ออันดับและแนวโน้มเครดิต การรักษาอัตราส่วนหนี้สินให้คงอยู่ในระดับนี้ยังคงเป็นสิ่งที่ท้าทายสำหรับ SCC โดย ฟิทช์คาดว่านโยบายการขยายธุรกิจของบริษัทฯ จะส่งผลให้อัตราส่วนหนี้สินดังกล่าวเพิ่มสูงขึ้นเล็กน้อยในปี 2559-2560 ในขณะที่แนวโน้มอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์และวัสดุก่อสร้างน่าจะยังคงอ่อนแออยู่ในปี 2559 ซึ่งเป็นผลมาจากกิจกรรมการก่อสร้างในประเทศที่ฟื้นตัวช้ากว่าที่คาด นอกจากนี้ กระแสเงินสดรับจากธุรกิจในประเทศอื่นในภูมิภาคน่าจะยังอยู่ในระดับที่ไม่สูงมากนักในปี 2559 โดยเฉพาะจากธุรกิจในประเทศอินโดนีเซียซึ่งมีการแข่งขันรุนแรงมากขึ้นในตลาดปูนซีเมนต์ ฟิทช์คาดว่าผลการดำเนินงานของธุรกิจปูนซีเมนต์และวัสดุก่อสร้างของ SCC น่าจะดีขึ้นในปี 2560 และจะเป็นธุรกิจหลักที่สร้างการเจริญเติบโตให้ SCC ในช่วงสามถึงสี่ปีข้างหน้า ปัจจัยที่มีผลต่ออันดับเครดิต ฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่งขึ้น – การเพิ่มขึ้นของส่วนต่างระหว่างราคาผลิตภัณฑ์กับวัตถุดิบในธุรกิจเคมีภัณฑ์ส่งผลให้ อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย ต่อรายได้ (EBITDA Margin) และอัตราส่วนหนี้สินของ SCC ปรับตัวดีขึ้นอย่างมากในปี 2558 ฟิทช์คาดว่าอัตราส่วนดังกล่าวจะยังอยู่ในระดับที่แข็งแกร่งต่อเนื่องในปี 2559-2560 โดยส่วนต่างระหว่างราคาผลิตภัณฑ์กับวัตถุดิบของผลิตภัณฑ์โพลิเอททีลีนที่คาดว่าจะยังคงอยู่ในระดับสูงจะเป็นปัจจัยสนับสนุนผลประกอบการของ SCC ในปี 2559 ในขณะที่การฟื้นตัวของอุปสงค์ปูนซีเมนต์และวัสดุก่อสร้างในประเทศ และการเพิ่มขึ้นของอัตราการใช้กำลังการผลิตของฐานการผลิตใหม่ของ SCC ในภูมิภาค จะเป็นปัจจัยหลักที่สร้างการเจริญเติบโตให้ SCC ในปี 2560 ฟิทช์คาดว่า EBITDA Margin ของ SCC จะคงอยู่ในระดับสูงกว่าร้อยละ 15 ในปี 2559-2560 จากร้อยละ 11 ในปี 2557 ในขณะที่อัตราส่วนหนี้สินสุทธิที่ปรับปรุงแล้วต่อกระแสเงินสดจากการดำเนินงานก่อนการเปลี่ยนแปลงของเงินทุนหมุนเวียน (FFO adjusted net leverage) ของ SCC น่าจะอยู่ในระดับที่ต่ำกว่า 3 เท่า (อัตราส่วนดังกล่าวอยู่ที่ 2.8 เท่า – 4.0 เท่าในปี 2554-2557) อัตราส่วนหนี้สินที่แข็งแกร่งขึ้นจะช่วยเพิ่มความสามารถของบริษัทฯ ในการรองรับหนี้สินที่อาจเพิ่มขึ้นจากการขยายธุรกิจในภูมิภาคโดยไม่กระทบต่ออันดับเครดิตปัจจุบัน การกระจายความเสี่ยงในธุรกิจที่หลากหลาย – อันดับเครดิตของ SCC ได้รับการสนับสนุนจากธุรกิจของบริษัทฯ ที่มีการกระจายความเสี่ยงของแหล่งที่มาของรายได้จากธุรกิจหลักที่หลากหลาย ได้แก่ ธุรกิจปูนซีเมนต์และวัสดุก่อสร้าง ธุรกิจเคมีภัณฑ์ และธุรกิจบรรจุภัณฑ์ โดยผลประกอบการในช่วงห้าปีที่ผ่านมาได้แสดงให้เห็นว่า SCC ได้รับประโยชน์จากการกระจายความเสี่ยงในธุรกิจ ซึ่งช่วยให้กระแสเงินสดของบริษัทฯ มีความสม่ำเสมอมากขึ้น เช่น การเติบโตของธุรกิจปูนซีเมนต์และวัสดุก่อสร้างมีส่วนช่วยลดความกดดันจากภาวะตกต่ำของอุตสาหกรรมเคมีภัณฑ์ในปี 2555 หรือการที่ธุรกิจเคมีภัณฑ์ช่วยทำให้ EBITDA รวมของ SCC สูงขึ้นแม้ว่าธุรกิจปูนซีเมนต์และวัสดุก่อสร้างจะมีผลประกอบการที่อ่อนแอในปี 2558 การที่ SCC ยังคงมุ่งขยายธุรกิจไปยังประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคอย่างต่อเนื่องจะเป็นประโยชน์ต่อสถานะทางธุรกิจของบริษัทฯ ในระยะยาว ความเป็นผู้นำในตลาด – SCC เป็นหนึ่งในกลุ่มบริษัทที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย และเป็นผู้ผลิตปูนซีเมนต์ กระเบื้องเซรามิก เคมีภัณฑ์ขั้นปลาย และกระดาษบรรจุภัณฑ์ ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยและในบางประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยวัดจากกำลังการผลิตและส่วนแบ่งการตลาด ฟิทช์คาดว่า SCC น่าจะยังคงรักษาสถานะความเป็นผู้นำตลาดในธุรกิจหลักเหล่านี้ไว้ได้ต่อไปในอีกห้าปีข้างหน้า แผนการลงทุนที่ยังคงสูง – จากแผนการขยายธุรกิจในภูมิภาคอย่างต่อเนื่อง ฟิทช์คาดว่าค่าใช้จ่ายเพื่อการลงทุนของ SCC น่าจะยังคงสูงต่อเนื่องที่ระดับประมาณ 5-6 หมื่นล้านบาทต่อปี ในปี 2559-2560 แม้ว่าการใช้เงินลงทุนในโครงการปิโตรเคมีครบวงจรในประเทศเวียดนามจะล่าช้าออกไปก็ตาม ความผันผวนของธุรกิจ – อันดับเครดิตยังพิจารณารวมถึงการที่ SCC ต้องเผชิญกับความผันผวนของธุรกิจเคมีภัณฑ์ และธุรกิจบรรจุภัณฑ์ รวมถึงความสามารถที่จำกัดในการกำหนดราคาในกลุ่มสินค้าประเภทโภคภัณฑ์ ซึ่งเป็นสินค้าหลักของบริษัทฯ อีกด้วย สมมุติฐานที่สำคัญ สมมุติฐานที่สำคัญของฟิทช์ที่ใช้ในการประมาณการ - Operating EBITDA เติบโตเล็กน้อยในปี 2559 โดยได้รับแรงสนับสนุนจากธุรกิจเคมีภัณฑ์ที่ยังคงแข็งแกร่ง - Operating EBITDA จากธุรกิจปูนซีเมนต์และวัสดุก่อสร้าง คงอยู่ในระดับเดิมหรือลดลงเล็กน้อย - ค่าใช้จ่ายเพื่อการลงทุน 5-6 หมื่นล้านบาทต่อปี ในปี 2559-2560 - อัตราการจ่ายเงินปันผลต่อกำไรสุทธิ (Dividend Payout) ที่ระดับร้อยละ 40-50 ปัจจัยที่อาจมีผลกับอันดับเครดิตในอนาคต ปัจจัยบวก: - การเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญของสัดส่วนของกระแสเงินสดที่มาจากธุรกิจในภูมิภาค - อัตราส่วนหนี้สินสุทธิที่ปรับปรุงแล้วต่อกระแสเงินสดจากการดำเนินงานก่อนการเปลี่ยนแปลงของเงินทุนหมุนเวียน (FFO adjusted net leverage) ที่อยู่ในระดับต่ำกว่า 2.75 เท่า (อัตราส่วนดังกล่าวอยู่ที่ 2.47 เท่า ในปี 2558 โดยคำนวณเบื้องต้นจากงบการเงินที่ยังไม่ผ่านการตรวจสอบจากผู้สอบบัญชี) ปัจจัยลบ: - สถานะทางธุรกิจและการเงินของบริษัทฯ ที่อ่อนแอลง ซึ่งส่งผลให้อัตราส่วนหนี้สินสุทธิที่ปรับปรุงแล้วต่อกระแสเงินสดจากการดำเนินงานก่อนการเปลี่ยนแปลงของเงินทุนหมุนเวียน (FFO adjusted net leverage) อยู่ในระดับสูงกว่า 3.75 เท่า อย่างต่อเนื่อง

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ