“ทรีนีตี้” ฟันธงหุ้นกลุ่มอสังหาฯ ฉายแววขาขึ้น Q2/59 ผลงานโดดเด่น – หมดห่วงภาษีที่ดินฉบับใหม่

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday June 22, 2016 17:07 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--22 มิ.ย.--เมคอะเว็ลท์ คอนซัลติ้ง บล.ทรีนีตี้ มองหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ฉายแววขาขึ้น หลังมีมูลค่าน่าดึงดูด ทั้งเงินปันผลสูง, P/BV ต่ำ และประเด็นภาษีที่ดินที่สิ่งปลูกสร้างฉบับล่าสุดคาดว่ามีผลกระทบต่อผู้ประกอบการน้อยกว่าที่ตลาดเป็นกังวล พร้อมคาดการณ์ไตรมาส 2/2559 โชว์ผลประกอบการโดดเด่น รับอานิสงส์มาตรการกระตุ้นยอดโอน แนะนำ "ซื้อ" หุ้นPS, LH และ QH ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด เปิดเผยว่า หุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ (Property) เริ่มมีการกลับตัวเป็นขาขึ้น ถึงแม้ว่ายังมีแรงกดดันจากยอดปฏิเสธสินเชื่อจากธนาคารพาณิชย์ยังอยู่ในระดับสูง (ไม่นับรวมโครงการบ้านประชารัฐ) ประกอบกับความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ยังคงอยู่ในระดับต่ำ แต่ด้วยหุ้นกลุ่มนี้มีความน่าสนใจสำหรับลงทุนจากอัตราการจ่ายเงินปันผล (High dividend yield) ที่สูงกว่ากลุ่มธุรกิจอื่น ราคาต่อมูลค่าทางบัญชี (P/BV) ที่ต่ำ และประเด็นภาษีที่ดินที่สิ่งปลูกสร้างฉบับล่าสุดที่คาดว่าจะมีผลบังคับใช้ต้นปี 2560 มีผลกระทบต่อผู้ประกอบการน้อยกว่าที่ตลาดเป็นกังวล จึงเป็นแรงผลักดันให้หุ้นกลุ่ม Property กลับมาน่าสนใจอีกครั้ง ขณะเดียวกันยังคาดการณ์ผลประกอบการในไตรมาสที่ 2/2559 ที่กำลังจะออกมา จะได้รับผลบวกจากมาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์เสร็จสิ้นไปเมื่อปลายเดือนเมษายนที่ผ่านมา โดยคาดว่ายอดโอนในไตรมาส2/2559 จะปรับตัวเพิ่มขึ้นทั้งการเปรียบเทียบต่อไตรมาส (Q/Q) และเปรียบเทียบต่อปี (Y/Y) จากการสอบถามผู้ประกอบการในตลาดส่วนมากจะทำการเร่งโอนโครงการในช่วงสัปดาห์สุดท้ายก่อนมาตรการเสร็จสิ้น โดยที่มาตรการลดค่าโอนและค่าจดจำนองลงเหลือ 0.01% มีผลดีต่อโครงการที่มีมูลค่าขายเกินกว่า 1 ล้านบาทต่อยูนิต เนื่องจากสามารถช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายให้แก่ผู้ซื้อได้มาก และทางด้านผู้ประกอบการที่ได้รับประโยชน์จะเป็นกลุ่มที่มีโครงการพร้อมโอน อาทิ PS, LH, AP และ QH ด้านข้อมูลจาก เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส (AREA) ที่ได้ประมาณการขนาดของตลาดที่อยู่อาศัยในเขตกรุงเทพและปริมณฑลในปี 2559 อยู่ที่ 3.83 แสนล้านบาท เติบโตราว 8% จากมูลค่า 3.54 แสนล้านบาทในปี 2558 โดยที่ในไตรมาสที่ 1/2559 มีการเปิดตัวโครงการใหม่ไปแล้ว 8.59 หมื่นล้านบาท ซึ่งนับเป็น 23%ของประมาณการปีนี้ โดยที่โครงการทาวน์โฮม เป็นกลุ่มสินค้าที่มีการเติบโตมากที่สุด เพิ่มขึ้น 21% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งผู้ประกอบการที่มีส่วนแบ่งทางการตลาดของทาวน์โฮมมากที่สุด ได้แก่ PS อยู่ที่ 30% และQH ที่กำลังขยายฐานไปยังตลาดทาวน์โฮมมากขึ้น เนื่องจากเป็นกลุ่มที่มีความต้องการอยู่อาศัยที่แท้จริง (Real Demand) อยู่มากและมีการเก็งกำไรต่ำกว่ากลุ่มของคอนโดมีเนียม นอกจากนี้ยังคงปัจจัยที่สนับสนุนการฟื้นตัวของยอดขายหลายปัจจัย ได้แก่ การขยายตัวของรถไฟฟ้าสายต่างๆ โดยเฉพาะสายสีม่วงที่จะเปิดให้บริการในเดือนสิงหาคม 2559 จะเป็นการช่วยกระตุ้นการมองหาคอนโดมีเนียมในบริเวณนั้น และผู้ประกอบการเอง ทยอยเปิดตัวโครงการใหม่หลังมาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์หมดลง โดยในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ในเขตกรุงเทพและปริมณฑลมีโครงการเปิดตัวใหม่ 21 โครงการ นับเป็นเท่าตัวหากเทียบกับช่วงเดือนเมษายน 2559 รวมถึงอัตราดอกเบี้ยที่ยังคงอยู่ในระดับต่ำ เป็นการลดต้นทุนการกู้ยืม และปีนี้เป็นปีที่มาตรการซื้อรถคันแรกจะจบลง จึงมองว่าอาจมีความต้องการสำหรับที่อยู่อาศัยเพิ่มมากขึ้น ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ กล่าวถึงผลระบบภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่ผ่านว่า จะมีผลกระทบต่อความต้องการโครงการคอนโดมีเนียมระยะสั้น โดยกฎหายภาษีใหม่นี้มีอัตราการเก็บภาษีที่อยู่อาศัยหลังที่สองที่แทบจะไม่มีนัยยะสำคัญ และหากมองในอีกแง่มุม การเก็บภาษีที่ดินนี้เป็นการเพิ่มค่าใช้จ่ายให้แก่เจ้าของที่ที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ จึงมองว่าเป็นปัจจัยบวกต่อผู้ประกอบการ เนื่องจากจะมีการขายที่ดินสู่ตลาดมากขึ้น และเป็นโอกาสในการพัฒนาโครงการใหม่ สำหรับกลยุทธ์การลงทุน ยังคงแนะนำ "ซื้อ" หุ้น PS, LH และ QH จากการที่เป็นหุ้นที่ให้ปันผลสูง โดยLH และ QH มีประเด็นเพิ่มเติมจากการบันทึกกำไรพิเศษจากกรณี LHBANK ที่คาดว่าจะเสร็จสิ้นและบันทึกราวไตรมาส 3/2559

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ