บลจ.กสิกรไทย ย้ำมั่นใจตลาดอาเซียนเติบโตแกร่ง เผยเชื่อ Brexit กระทบอาเซียนน้อย พร้อมชวนผู้ลงทุนคว้าโอกาสกับกองทุน K-AEC

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday June 30, 2016 11:57 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--30 มิ.ย.--บลจ.กสิกรไทย บลจ.กสิกรไทย มั่นใจตลาดอาเซียนมีทิศทางการขยายตัวดีขึ้นต่อเนื่อง พร้อมโชว์ผลการดำเนินงานกองทุนเปิดเค อาเซียน อีโคโนมิค คอมมูนิตี้ หุ้นทุน (K-AEC) ตั้งแต่จัดตั้งกองทุน ราว 4 เดือน ให้ผลการดำเนินงานย้อนหลังประมาณ 7.14% นางสาวธิดาศิริ ศรีสมิต รองกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนกสิกรไทย จำกัด (บลจ.กสิกรไทย) เปิดเผยว่า ตั้งแต่ต้นปี จนถึงวันที่ 28 มิถุนายน 2559 ตลาดหุ้นของภูมิภาคอาเซียนในภาพรวมปรับตัวค่อนข้างโดดเด่น เมื่อเปรียบเทียบกับภูมิภาคอื่น โดยเฉพาะประเทศไทย และฟิลิปปินส์ ซึ่งตั้งแต่ต้นปีให้ผลตอบแทนสูงที่สุดประมาณ 11.6% และ10.3% ตามลำดับ ตามมาด้วยตลาดหุ้นเวียดนามให้ผลตอบแทนที่ 7.4% และตลาดหุ้นอินโดนีเซียให้ผลตอบแทนที่ 6.3% โดยตัวเลขผลตอบแทนของตลาดหุ้นประเทศไทย และฟิลิปปินส์ โดดเด่นสอดคล้องกับตัวเลขเศรษฐกิจมวลรวมของประเทศ (GDP) ในไตรมาสที่หนึ่งซึ่งมีการฟื้นตัวดีกว่าช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมาค่อนข้างชัดเจน โดยประเทศไทยอยู่ที่ 3.2% ประเทศฟิลิปปินส์อยู่ที่ 6.9% ในขณะที่ประเทศอินโดนีเซีย มาเลเซีย และเวียดนามมีทิศทางที่ชะลอตัวลงเล็กน้อย ด้าน บลจ.กสิกรไทย ยังคงมีมุมมองเชิงบวกต่อภูมิภาคอาเซียนทั้งในแง่ของเศรษฐกิจ และตลาดหุ้น เพราะแต่ละประเทศมีปัจจัยสนับสนุนที่ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้มีเสถียรภาพ อาทิ ประเทศฟิลิปปินส์ที่เพิ่งแต่งตั้งประธานาธิบดีคนใหม่ พร้อมทั้งยังมีการแถลงแผนปฏิรูปประเทศ และนโยบายพัฒนาเศรษฐกิจที่ชัดเจน บวกกับคณะรัฐบาลที่มีศักยภาพ เป็นผลให้ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ หลังมีการเลือกตั้ง (9 พ.ค. 59) ปรับตัวขึ้นมาเกือบ 11% ด้านประเทศอินโดนีเซีย แม้เศรษฐกิจจะเป็นการขยายตัวอย่างช้าๆ แต่เชื่อว่าการที่รัฐบาลพยายามขับเคลื่อนให้เกิดการสร้างระบบสาธารณูปโภค ความพยายามที่จะปฏิรูปนโยบายเศรษฐกิจในหลายด้าน รวมถึงการผ่าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรมทางภาษี ซึ่งจะส่งผลดีต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจ และการสร้างงานสร้างรายได้ให้กับประชากร สำหรับประเทศเวียดนามเป็นช่วงที่เศรษฐกิจกำลังฟื้นตัว และน่าจะเห็นการเติบโตจากนโยบายเศรษฐกิจที่มีความชัดเจน อีกทั้งแนวโน้มการบริโภคจากฐานชนชั้นกลางที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เป็นปัจจัยสนับสนุนแก่ภาคธุรกิจ และยังเป็นการดึงดูดนักลงทุนต่างชาติให้เข้ามาลงทุนเพิ่มเติมอีกด้วย ด้านประเทศมาเลเซียแม้ว่าภาพรวมเศรษฐกิจยังคงอยู่ในช่วงชะลอตัวลงตามราคาน้ำมัน ที่อยู่ในระดับต่ำ และความไม่แน่นอนทางการเมือง แต่ด้วยแผนการปฏิรูปประเทศอย่างต่อเนื่องของรัฐบาล ซึ่งมุ่งเน้นการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเพื่อสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจ น่าจะส่งผลดีในระยะยาวให้กับเศรษฐกิจของมาเลเซียได้ สำหรับเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลัง เชื่อว่ามีแนวโน้มที่จะขยายตัวต่อเนื่อง โดยปัจจัยสนับสนุนจากการใช้จ่ายและการลงทุนภาครัฐ รวมถึงแรงขับเคลื่อนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ ที่ทยอยประกาศออกมาเป็นระยะ ทำให้เริ่มเห็นการฟื้นตัวของการบริโภคภาคเอกชนในไตรมาสที่ 2 นอกจากนี้สถานการณ์ภัยแล้งในช่วงครึ่งหลังของปียังมีแนวโน้มการปรับตัวดีขึ้น จากตัวเลขคาดการณ์ของ IMF ปี 2559 ประเมินว่าเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศอาเซียนน่าจะเติบโตอยู่ที่ 4.9% ซึ่งอยู่ในเกณฑ์ที่สูงเมื่อเทียบกับภูมิภาคอื่น ส่วนผลกระทบจาก Brexit ตลาดอาเซียนน่าจะได้รับกระทบน้อยที่สุด เมื่อเทียบกับตลาดภูมิภาคอื่นๆ เนื่องจากมีการค้ากับกลุ่มประเทศยุโรปและอังกฤษน้อย ประมาณ 2-8% ของมูลค่าส่งออก ซึ่งส่วนใหญ่ใช้สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ในการค้าขายเป็นหลัก จึงทำให้ผลกระทบต่อการอ่อนค่าของสกุลเงินปอนด์และยูโร อาจมีไม่มากนัก นางสาวธิดาศิริกล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจุบัน บลจ.กสิกรไทยมีกองทุนรวมที่ไปลงทุนในตลาดหุ้นกลุ่มประเทศอาเซียน ได้แก่ กองทุนเปิดเค อาเซียน อีโคโนมิค คอมมูนิตี้ หุ้นทุน (K-AEC) ซึ่งบริษัทได้เปิดเสนอขายครั้งแรกไปเมื่อเดือนกลางเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา โดยนับตั้งแต่จัดตั้งกองทุนเมื่อวันที่ 24 ก.พ. 2559 กองทุนให้ผลตอบแทนย้อนหลังอยู่ที่ 7.14% (ข้อมูล ณ วันที่ 28 มิ.ย. 59) ทั้งนี้กองทุน K-AEC มีนโยบายลงทุนโดยตรงในหุ้นของภูมิภาคอาเซียน ซึ่งในเบื้องต้นจะลงทุนในหุ้นจำนวนไม่เกิน 30 ตัว ที่มีสภาพคล่องและศักยภาพในการเติบโตสูงของ 4 ประเทศหลัก ได้แก่ ไทย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และมาเลเซียกองทุนมีนโยบายป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนเป็นไปตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน ด้านพอร์ตของกองทุน K-AEC เนื่องจากบลจ.กสิกรไทย เน้นให้น้ำหนักกับการลงทุนในหุ้นกลุ่มที่ได้รับประโยชน์จากเศรษฐกิจภายในประเทศ อาทิ กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค, อสังหาริมทรัพย์, โครงสร้างพื้นฐาน รวมถึงกลุ่มสื่อสาร ดังนั้น บลจ.กสิกรไทยจึงไม่มีแผนการปรับพอร์ตการลงทุนอย่างมีนัย เนื่องจากเหตุการณ์ Brexit โดยหากดูเป็นรายประเทศเรายังคงให้น้ำหนักการลงทุนในประเทศอินโดนีเซีย เพราะคาดว่าเศรษฐกิจในประเทศจะได้รับประโยชน์อย่างต่อเนื่องจากการส่งผ่านอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ลดลง และประเทศฟิลิปปินส์ ที่เศรษฐกิจในประเทศน่าจะสามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่องจากภาคการบริโภคที่ยังคงแข็งแกร่ง และนโยบายของรัฐบาลใหม่ที่น่าจะสนับสนุนการกระจายรายได้ การลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน และการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม บลจ.กสิกรไทย จะเพิ่มความระมัดระวังสำหรับการลงทุนในหุ้นกลุ่มที่มีรายได้มาจากสหภาพยุโรปและสหราชอาณาจักร รวมทั้งหุ้นกลุ่มที่มีหนี้สกุลเงินดอลล่าร์สหรัฐฯ ในระดับสูง เพื่อเป็นการลดความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุน "จุดเด่นของกองทุน K-AEC คือการเข้าไปลงทุนโดยตรงในกลุ่มประเทศอาเซียน ทำให้ทีมงานจัดการกองทุนมีโอกาสเข้าไปเยี่ยมชมกิจการและพบปะผู้บริหารของบริษัทจดทะเบียนต่างๆ ซึ่งที่ผ่านมาบลจ.กสิกรไทยได้ส่งทีมผู้จัดการกองทุนและนักวิเคราะห์ รวมทั้งหมด 17 คน เพื่อเข้าไปศึกษาและวิเคราะห์หุ้นในกลุ่มประเทศอาเซียนมาเป็นเวลากว่า 2 ปีแล้ว โดยมีการวิเคราะห์หุ้นเชิงลึกในรายตัวครอบคลุมกว่า 150 หุ้น หรือคิดเป็นสัดส่วนกว่า 60% ของมูลค่าตลาดในแต่ละประเทศ ทั้งนี้การพิจารณาคัดเลือกหุ้นจะเน้นที่การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานในระดับบริษัท (Bottom-up / Fundamental Approach) ทั้งเชิงปริมาณและคุณภาพในการประเมินมูลค่าหุ้น (Stock Valuation) ตามธีมการลงทุนที่เหมาะสมกับสถานการณ์ในแต่ละช่วงด้วย ทั้งนี้ได้รวมเอาเรื่องการบริหารจัดการด้านสิ่งแวดล้อม สังคมและการมีธรรมาภิบาลที่ดี (Environment, Social and Governance) เข้ามาเป็นส่วนประกอบหนึ่งในการพิจารณาลงทุนอีกด้วย" นางสาวธิดาศิริกล่าวในที่สุด ผู้สนใจสามารถลงทุนในกองทุน K-AEC ได้ด้วยเงินลงทุนเริ่มต้นเพียง 5,000 บาท สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ธนาคารกสิกรไทยทุกสาขา หรือติดต่อ KAsset Contact Center 0 2673 3888

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ