ตลาดหลักทรัพย์ฯ เผยครึ่งแรก 2559 เด่นสุดในอาเซียน จากผลตอบแทน และสภาพคล่อง คาด IPO ครึ่งหลังคึกคักมากขึ้น

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday July 26, 2016 13:39 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--26 ก.ค.--ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เผย 6 เดือนแรกปี 2559 ประสบความสำเร็จผลักดันให้ตลาดทุนไทย โดดเด่นที่สุดในอาเซียน ด้วยดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยสร้างผลตอบแทนสูงสุดในภูมิภาค ขณะที่สภาพคล่องซื้อขายต่อวันครองอันดับหนึ่งเป็นปีที่ห้า แม้ตลาดทุนทั่วโลกผันผวน ยังสามารถดึงเงินทุนต่างชาติไหลกลับเข้ามาซื้อสุทธิมากกว่า 1 พันล้านเหรียญ สูงสุดในอาเซียน และในครึ่งหลังปี 2559 คาดว่าบริษัทจดทะเบียนใหม่จะเพิ่มขึ้นอย่างคึกคัก เตรียมเปิดตัวดัชนี sSET Index สะท้อนหุ้นขนาดกลางและเล็ก พร้อมเพิ่มสินค้าใหม่ TFEX Gold-D ซื้อขายทองคำล่วงหน้า โดยยังมุ่งมั่นงานพัฒนาสังคมอย่างยั่งยืน เปิด web portal ศูนย์กลางข้อมูลเชื่อมโยงภาคธุรกิจและสังคม (SET Social Impact)พร้อมยกระดับความเป็นสากล รวมถึงการเป็นเจ้าภาพจัดงานประชุมนานาชาติ นางเกศรา มัญชุศรี กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานในครึ่งแรกปี2559 ว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ สามารถรักษาความแข็งแกร่งครองความโดดเด่นในภูมิภาคอาเซียนใน 3 ด้านที่สำคัญ ได้แก่ (1)ดัชนี SET Index ปรับเพิ่มอยู่ที่ 1,444.99 จุด ทำให้ผลตอบแทนเพิ่มขึ้นสูงสุดในภูมิภาค โดยปรับบวก 12.2% หรือ 15.2%(ในสกุลเงินสหรัฐ) (2) ผู้ลงทุนต่างชาติกลับมาลงทุนด้วยมูลค่าซื้อสุทธิ 35,978 ล้านบาท (หรือ 1,038 ล้านเหรียญสหรัฐ)สูงสุดในอาเซียน พลิกจากการขายสุทธิในปีก่อนหน้า และยังมีแนวโน้มที่จะซื้ออย่างต่อเนื่อง และ (3) มีสภาพคล่องมากที่สุดในอาเซียน ด้วยมูลค่าซื้อขายหุ้นเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 46,669 ล้านบาท (หรือ 1,310 ล้านเหรียญสหรัฐ) สูงสุดตั้งแต่ปี2555 ขณะที่มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวมของ SET และ mai ณ สิ้นเดือนมิถุนายน อยู่ที่ 14.1 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น12.1% จากสิ้นปี 2558 เนื่องจากบริษัทจดทะเบียนไทยมีผลการดำเนินงานที่ดีเมื่อเทียบกับภูมิภาค อีกทั้งการเติบโตของเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มดีขึ้น เห็นได้จาก GDP ในไตรมาสแรกเพิ่มขึ้น 3.2% เทียบกับปี 2558 ที่ 2.8% ด้านบริษัทจดทะเบียนใหม่ (IPO) และการเพิ่มทุนของบริษัทจดทะเบียน ยังมีแนวโน้มที่จะเป็นไปตามเป้าหมายรวมในปีนี้ที่525,000 ล้านบาท ซึ่งในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา มีการระดมทุนเพิ่มขึ้นถึง 152,228 ล้านบาท ขณะที่ IPO มีการยื่นไฟล์ลิ่งอย่างต่อเนื่อง และจะเริ่มมีบริษัทเข้ามาจดทะเบียนมากขึ้นในไตรมาส 3 และ 4 และต่อเนื่องไปจนถึงต้นปีหน้า นอกจากนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ และตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ ยังได้ริเริ่มการสร้างฐานข้อมูลกลางของบริษัทขนาดกลางและเล็ก (SMEs) รวมถึงผู้ประกอบการใหม่ (Startup) ผ่านเว็บไซต์ Startup (http://new.set.or.th) เพื่อให้ผู้ประกอบการดังกล่าว สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่ายขึ้น และได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานต่าง ๆ รวมทั้งตลาดหลักทรัพย์ฯ และยังเป็นช่องทางในการติดตามกิจกรรม อัพเดทข่าวสาร แลกเปลี่ยน และถ่ายทอดความรู้และเทคโนโลยี สำหรับในครึ่งหลังปีนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ จะเปิดตัวดัชนี sSET Index ที่ครอบคลุมหุ้นขนาดกลางและเล็ก เพิ่มเติมจากดัชนีราคา SET50 และ SET100 ที่มีอยู่เดิม โดย sSET Index เป็นดัชนีราคาหุ้นที่สะท้อนความเคลื่อนไหวของราคากลุ่มหุ้นสามัญที่มีขนาดเล็กกว่าหุ้นใน SET100 Index โดยจะเริ่มคำนวณและเผยแพร่ดัชนีอย่างเป็นทางการในต้นปี 2560 และในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา MSCI Thailand Standard Index ประกาศเพิ่มอีก 3 บริษัทจดทะเบียนไทย รวมเป็น 32 บริษัท เป็นการเพิ่มสุทธิสูงสุดในเอเชีย ขณะที่ FTSE4Good ASEAN 5 Index ซึ่งพิจารณาคัดเลือกบริษัทที่มีการดำเนินธุรกิจอย่างโปร่งใส โดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล (Environmental, Social, Governance: ESG) ได้มีบริษัทไทยจำนวน30 แห่ง จาก 78 แห่งที่ได้รับการคัดเลือกทั้งภูมิภาค โดยไทยได้เป็นจำนวนสูงที่สุดในกลุ่มประเทศอาเซียน ขณะเดียวกัน การจัดทำรายชื่อหุ้นยั่งยืน Thailand Sustainability Investment (THSI) ยังคงดำเนินการต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 โดยมีบริษัทจดทะเบียนเข้ามารับการประเมินจำนวน 87 บริษัท โดยจะประกาศรายชื่อในไตรมาส 4 นี้ เพื่อเป็นเครื่องมือในการลงทุนสำหรับผู้ที่ต้องการลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีคุณภาพและดำเนินธุรกิจโดยคำนึงถึงความยั่งยืน สำหรับปริมาณการซื้อขายสินค้าเฉลี่ยต่อวันในตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (TFEX) ในช่วง 6 เดือนแรกปีนี้ อยู่ที่ 232,798สัญญา เติบโตจากสิ้นปีก่อนหน้าถึง 16.5% และได้เริ่มจัดให้ซื้อขายยางพาราล่วงหน้า (RSS3 Futures) เมื่อต้นปี และต่อยอดไปเป็นสัญญาซื้อขายล่วงหน้า ยางแผ่นรมควันชั้น 3 เพื่อการส่งมอบสินค้า (RSS3D Futures) เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของผู้ลงทุน นอกจากนี้ ได้เพิ่มผู้ดูแลสภาพคล่องใน Single Stock Futures อีก 3 ราย รวมถึงยังได้ลงนามบันทึกความร่วมมือ (MoU)กับ Tokyo Commodity Exchange (TOCOM) เพื่อกระชับความสัมพันธ์ แลกเปลี่ยนข้อมูล รวมถึงพัฒนาความร่วมมือด้านธุรกิจ และในครึ่งปีหลังจะมีการเพิ่มสินค้าใหม่ใน TFEX ได้แก่ TFEX Gold-D ซึ่งเป็นสัญญาซื้อขายทองคำล่วงหน้าประเภทต้องส่งมอบทองคำ ด้านฐานผู้ลงทุนในประเทศ ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ริเริ่มโครงการส่งเสริมการลงทุนหุ้นและอนุพันธ์ #investnow มีการใช้เครื่องมือใหม่ ๆ ทั้งที่พัฒนาโดย บล. หรือผู้พัฒนารายอื่น ๆ ด้วยเทคโนโลยีใหม่ ๆ (FinTech) เพื่อช่วยผู้ลงทุนในการตัดสินใจหรือเป็นข้อมูลประกอบการลงทุน ทั้งในหุ้น และกองทุนรวม อย่างมีประสิทธิภาพและเหมาะสมกับไลฟ์สไตล์ของผู้ลงทุน นอกจากนี้ ยังร่วมกับพันธมิตรทั้ง บล. และ ธนาคารพาณิชย์ จัดกิจกรรมให้ความรู้และขยายฐานผู้ลงทุนหุ้น อนุพันธ์ ทั้งในกรุงเทพฯ และภูมิภาค 64ครั้ง ทำให้สามารถเพิ่มผู้ลงทุนในหุ้น 42,587 ราย และอนุพันธ์ 5,419 ราย มีผลให้ผู้ลงทุนบุคคลเพิ่มเป็น 1.3 ล้านราย สำหรับการบ่มเพาะความรู้ทางการเงินและการลงทุน ได้ดำเนินการผ่านโครงการเงินทองต้องวางแผน และห้องเรียนนักลงทุนกว่า 18,000 คน และให้ความรู้ผ่านช่องทางออนไลน์เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายกว่า 1.83 ล้าน view และพิพิธภัณฑ์เรียนรู้การลงทุน INVESTORY ที่เปิดตัวเมื่อต้นปี โดยมีนักเรียน นักศึกษา และประชาชนที่มาศึกษาความรู้ทางการเงินในรูปแบบมัลติมีเดีย แล้วกว่า 22,000 ราย นอกจากนี้ ยังมีการพัฒนาความรู้ให้แก่ผู้ประกอบวิชาชีพ และผู้ประกอบการทุกกลุ่ม ตั้งแต่บุคลากรในบริษัทจดทะเบียน ผู้สนใจประกอบธุรกิจ Startup และบุคลากรของบริษัทหลักทรัพย์ ผ่านสัมมนาหลักสูตรเข้มข้นกว่า 1,800 คน นอกจากนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ ยังมุ่งมั่นสร้างฐานผู้ลงทุนสถาบันในประเทศให้แข็งแกร่ง โดยพัฒนาระบบงานกลางสำหรับกองทุนรวม (Fund Service Platform) ร่วมกับผู้เกี่ยวข้อง ได้แก่ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม บริษัทหลักทรัพย์ ธนาคารพาณิชย์ บริษัทประกันชีวิต และสำนักงาน ก.ล.ต. เพื่อรองรับการขยายตัวของธุรกิจและเพิ่มช่องทางการเข้าถึงกองทุนรวมให้กับผู้ลงทุน นอกจากนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ ยังส่งเสริมการขยายฐานการลงทุนผ่านผู้ลงทุนสถาบัน ทั้งกองทุนรวมและกองทุนสำรองเลี้ยงชีพด้วยการมีแผนทางเลือกการลงทุนแบบ employee's choice เพื่อเพิ่มโอกาสให้ประชาชนสามารถบรรลุเป้าหมายทางการเงินในระยะยาว ในการพัฒนาระบบงานของตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อมุ่งรักษาประสิทธิภาพการให้บริการและความเป็นมาตรฐานสากล โดยสำนักหักบัญชี (TCH) ได้ปรับปรุงงานบริหารความเสี่ยงสำหรับหลักทรัพย์ สอดคล้องกับเกณฑ์มาตรฐานสากล Principles for Financial Market Infrastructures (PFMI) ขณะที่ระบบงานเทคโนโลยีสารสนเทศยังได้รับใบรับรองมาตรฐานสากล ISO/IEC 27001:2013 สำหรับการบริหารจัดการความปลอดภัยเทคโนโลยีสารสนเทศ และ ISO/IEC 20000 เกี่ยวกับการบริหารจัดการด้านการบริการของไอที และยังเป็นไปตามมาตรฐาน IOSCO เพิ่มความมั่นใจต่อผู้ลงทุน ทั้งนี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการกับบริษัทจดทะเบียนให้มีความสะดวกรวดเร็ว ได้มีการปรับปรุงระบบงานเกี่ยวข้องกับระบบ Digital IPO และบริการ e-Tax และในครึ่งหลังปีนี้ TSD Counter Service จะพัฒนาให้เป็น Digital Counter ในการดำเนินการรับฝาก ถอน โอนใบหุ้น เพื่อให้การบริการผู้ลงทุนเป็นไปอย่างสะดวกและรวดเร็วยิ่งขึ้น ด้านการพัฒนาเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน การดำเนินงานของตลาดหลักทรัพย์ฯ ยังมุ่งมั่นพัฒนาให้เป็นต้นแบบเพื่อการเติบโตภายใต้กรอบการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ เห็นได้จากอาคารสำนักงานแห่งใหม่ ที่ได้รับการรับรองตามมาตรฐาน LEED (Leadership in Energy and Environment Design) จากสถาบันอาคารเขียวแห่งประเทศสหรัฐอเมริกา ในระดับ Gold โดยในครึ่งหลังปีนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ พร้อมปรับกระบวนการทำงานภายในให้เป็นไปตามหลักการของ Green Policy ได้แก่ นโยบายการจัดซื้อจัดจ้าง การบริหารอาคาร เป็นต้น สำหรับงานด้านการพัฒนาสังคมอย่างยั่งยืน (Social Development) ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้จัดให้มีเว็บไซต์ www.setsocialimpact.com เพื่อให้เป็นแหล่งกลางการเชื่อมโยงเพื่อการแลกเปลี่ยน เรียนรู้ และความร่วมมือ ของภาคธุรกิจและสังคม โดยสร้างเว็บไซต์ SET Social Impact เพื่อสร้างผลกระทบที่ดีทางสังคม ตลาดหลักทรัพย์ฯ ยังให้ความสำคัญกับการยกระดับความเป็นสากล โดยเป็นเจ้าภาพจัดงานประชุมตลาดทุนภูมิภาค(Asian and Oceanian Stock Exchange Federation: AOSEF) ในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา และจะเป็นครั้งแรกที่ร่วมกับ IR Magazine Award ในการจัดงานประกาศรางวัลนักลงทุนสัมพันธ์ดีเด่นในระดับอาเซียนในเดือนธันวาคมนี้ และจะเป็นเจ้าภาพงานANNA (Association of National Numbering Agencies) General Meeting 2016 ซึ่งเป็นงานประชุมระดับโลกเกี่ยวกับงานศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ รวมถึงยังเตรียมความพร้อมเป็นเจ้าภาพการประชุมประจำปีของสมาชิกตลาดหลักทรัพย์ทั่วโลก (World Federation of Exchanges: WFE) ในปี 2560

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ