สยามฮาร์ดแวร์จับมือโอสึกะ ดึงอุปกรณ์ทาสีระดับพรีเมี่ยมจากญี่ปุ่นบุกตลาดไทย

ข่าวทั่วไป Tuesday August 2, 2016 15:02 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--2 ส.ค.--Brand Now มารุ-ที แบรนด์ดังกว่า 100 ปีในญี่ปุ่น ไว้ใจคู่ค้าไทย "สยามฮาร์ดแวร์" นำเข้าสินค้าบุกเบิกตลาดต่างประเทศเป็นครั้งแรก บริษัท สยามอุตสาหกรรมเครื่องเหล็ก (1981) จำกัด หรือสยามฮาร์ดแวร์ ประกาศความร่วมมืออย่างเป็นทางการกับบริษัท มารุ-ที โอสึกะ คอร์เปอร์เรชั่นในการนำเข้าอุปกรณ์ทาสีระดับพรีเมี่ยม ภายใต้ชื่อแบรนด์ Maru-T (มารุ-ที) เจาะตลาดกลุ่มช่างทาสีชำนาญการ ดีไซเนอร์ และเจ้าของบ้านที่มีความใส่ใจในรายละเอียด สำหรับแบรนด์มารุ-ที นั้นมีประวัติยาวนานกว่า 100 ปีในประเทศญี่ปุ่น เป็นแบรนด์ที่ได้รับการยอมรับจากกลุ่มช่างทาสีมืออาชีพ ในด้านคุณภาพ มาตรฐานการผลิต และความหลากหลายของสินค้าที่มีให้เลือกใช้เหมาะกับงานที่แตกต่างกัน รวมถึงนวัตกรรมที่มีการพัฒนาขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพื่อผลลัพธ์ในการทาสีที่ไร้ที่ติ และนี่ถือเป็นครั้งแรกที่แบรนด์มารุ-ทีจะออกสู่ตลาดต่างประเทศ โดยสยามฮาร์ดแวร์ได้รับความไว้วางใจในการขายและการตลาดในประเทศไทย เพื่อให้มารุ-ทีเป็นที่รู้จักมากขึ้นในตลาดนี้ "ในตลาดของสีทาอาคารนั้น เราจะเห็นได้ว่าในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา มีการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาคุณภาพของสีอย่างเห็นได้ชัดมีตัวเลือกให้เลือกหลากหลายและผู้ผลิตเองก็มุ่งมั่นในการสรรหานวัตกรรมใหม่ๆมาให้เห็นเรื่อยๆ แต่ไม่ใช่กับอุปกรณ์การทาสี" นางสาวพิมพิดา อัฉริยะศิลป์ ผู้บริหารฝ่ายพัฒนาธุรกิจกล่าว "ในเวลาหลายปีที่ผ่านมา เราไม่ได้เห็นการพัฒนาของอุปกรณ์ทาสีเลย ลูกกลิ้งหรือแปรงก็ยังคงใช้กันแบบเดิมๆ ซึ่งไม่สอดคล้องกับสีรุ่นใหม่ๆที่ถูกพัฒนาออกมา เรามองว่าควรมีอุปกรณ์ทาสีที่มีนวัตกรรมที่เทียบเท่า รองรับสีทาอาคารรูปแบบใหม่ๆ และสร้างผลลัพธ์ที่ละเอียดกว่าการใช้อุปกรณ์แบบเดิมๆ เพื่อตอบโจทย์ ผู้ใช้งาน เจ้าของบ้าน และสถาปนิกที่ให้ความสำคัญกับรายละเอียด" "ทั้งสยามฮาร์ดแวร์และมารุ-ที โอสึกะเอง ต่างก็เป็นธุรกิจครอบครัวที่ถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น มารุ-ที โอสึกะเองมีประวัติกว่า 100 ปีที่ประเทศญี่ปุ่น ส่วนเราเองก็เป็นผู้ผลิตที่ได้รับความไว้วางใจจากผู้บริโภคมาตลอดระยะเวลาหลายสิบปี ในฐานะผู้ผลิตเรามีจุดยืนร่วมกันในด้านความใส่ใจในการผลิตสินค้าที่มีคุณภาพ เชื่อว่าทางมารุ-ที โอสึกะเองก็มั่นใจในมาตรฐานของเราและศักยภาพของตลาดประเทศไทย จึงได้เลือกสยามฮาร์ดแวร์มาเป็นคู่ค้า ดูแลการจัดจำหน่ายแบรนด์มารุ-ที นอกประเทศญี่ปุ่นเป็นครั้งแรก" นายพรเทพ อัฉริยะศิลป์ ประธานบริษัทสยามฮาร์ดแวร์ กล่าวถึงความร่วมมือระหว่าง 2 ธุรกิจ "เป็นครั้งแรกที่สยามฮาร์ดแวร์ร่วมมือกับแบรนด์ผู้ผลิตอื่น เพื่อขยายตลาดไปสู่กลุ่มพรีเมี่ยม โดยแบรนด์มารุ-ทีเอง มีประวัติมากว่าร้อยปี มีความเชี่ยวชาญและเป็นที่เชื่อถือในด้านคุณภาพในประเทศญี่ปุ่น เรารู้สึกยินดีและเป็นเกียรติอย่างสูงที่ได้รับความไว้วางใจในความร่วมมือครั้งนี้" สยามฮาร์ดแวร์ ผู้ผลิตที่ดำเนินธุรกิจมากว่า 50 ปี ให้บริการรับจ้างผลิตสินค้าประเภทเครื่องเหล็ก รวมทั้งผลิตสินค้าสำเร็จรูปภายใต้ แบรนด์ตัวเองสยามฮาร์ดแวร์ให้ความสำคัญในการผลิตสินค้าที่มีคุณภาพและการรักษามาตรฐานในการผลิตและสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค ซึ่งก็เป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ทางบริษัทฯตัดสินใจร่วมมือกับมารุ-ที โอสึกะในการเปิดตลาดระดับพรีเมียมในประเทศไทย "ทางเราเชื่อว่า ประเทศไทยเป็นตลาดที่น่าสนใจมากทีเดียวสำหรับอุปกรณ์ทาระดับพรีเมี่ยม เนื่องจากกลุ่มเป้าหมายมีการเติบโตขึ้นเรื่อยๆและยังไม่มีใครนำเสนอผลิตภัณฑ์ประเภทนี้สู่ตลาดมาก่อน จากประสบการณ์การเป็นผู้ผลิตมากว่าหนึ่งร้อยปี เรามั่นใจว่าผู้ใช้งานในกลุ่มมืออาชีพจะพอใจในคุณภาพของสินค้าเราอย่างแน่นอน เราจึงมีความยินดีเป็นอย่างมากในความร่วมมือกับ สยามฮาร์ดแวร์ คู่ค้าที่มีประสบการณ์และเป็นผู้นำในตลาดประเทศไทย ในการแนะนำแบรนด์มารุ-ทีให้กับคนไทย" นายชินนิชิโร่ วากิ ประธานมารุ-ที โอสึกะ คอร์เปอร์เรชั่นกล่าว เบื้องต้นได้มีการลงทุนไปเป็นจำนวน 10 ล้านบาท โดยในช่วงแรกจะให้ความสำคัญในเรื่องของการสร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักและเป็นที่จดจำแก่ผู้ใช้ รวมไปถึงการให้ข้อมูลแก่ผู้ใช้ในด้านของการใช้อุปกรณ์ทาสีที่มีคุณภาพแตกต่างจากของทั่วไปในท้องตลาด สินค้าที่จะนำเข้ามาจำหน่ายในช่วงแรกได้แก่ ลูกกลิ้งทาสี รุ่นไมโครไฟเบอร์ ขนาด 7 นิ้ว และ 9 นิ้ว แบบพร้อมด้ามและแบบอะไหล่เสริม, ลูกกลิ้งทาสี รุ่นลินท์ ฟรี ขนาด 7 นิ้ว และ 9 นิ้ว แบบพร้อมด้ามและแบบอะไหล่เสริม, ลูกกลิ้งทาสี รุ่นลอง แฮร์ ขนาด 7 นิ้ว แบบพร้อมด้ามและแบบอะไหล่เสริม, แปรงโทจิ ซึ่งเป็นแปรงทาสีแบบญี่ปุ่นขนาด 30 มม. 40 มม. 50 มม. และ 60 มม., เกรียงขูดสี และด้ามต่อลูกกลิ้งทาสี ผลิตภัณฑ์ทั้งหมดจะวางจำหน่ายช่วงกลางเดือนสิงหาคมที่ร้านค้าสีทาอาคารชั้นนำและ SCG โฮมมาร์ททั่วกรุงเทพฯและจะขยายไปทั่วประเทศในอนาคต ราคาสินค้าเริ่มต้นที่ 90 บาท

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ