อะไรคือสิ่งที่ผู้บริโภคต้องการ? เครื่องยนต์แรงหรือความสามารถในการประหยัดน้ำมัน ฟอร์ดเผยผลสำรวจความคิดเห็นของผู้ขับขี่ชาวไทยเมื่อซื้อรถคันใหม่

ข่าวยานยนต์ Monday August 22, 2016 15:54 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--22 ส.ค.--ฮิลล์ แอนด์ นอลตัน สแตรทีจีส์ ร้อยละ 79 ของผู้บริโภคชาวไทยมองว่าประสิทธิภาพในการประหยัดน้ำมันสำคัญกว่าพลังของเครื่องยนต์เมื่อเลือกซื้อรถคันใหม่ ความต้องการในการลดค่าใช้จ่ายคือเหตุผลอันดับแรกในการเลือกซื้อรถยนต์ที่ประหยัดน้ำมัน และตามติดด้วยความใส่ใจในการรักษาสิ่งแวดล้อม ผลสำรวจความสำคัญของประสิทธิภาพในการประหยัดน้ำมันนี้จัดทำขึ้นโดยฟอร์ด มอเตอร์ คัมปะนี ครอบคลุมผู้ขับขี่รถยนต์จำนวนกว่า 9,500 คน จาก 11 ประเทศในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก รวมถึงผู้ตอบแบบสำรวจชาวไทยจำนวน1,026 คน เมื่อถึงคราวเลือกซื้อรถคันใหม่ มากกว่าร้อยละ 79 ของผู้บริโภคชาวไทยให้ความสำคัญกับประสิทธิภาพในการประหยัดน้ำมันมากกว่าพลังของเครื่องยนต์ นี่เป็นเพียงหนึ่งในข้อสรุปที่ได้จากผลสำรวจความต้องการของผู้ขับขี่มากกว่า 9,500 คน จาก 11 ประเทศ ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก รวมถึงผู้ตอบแบบสำรวจชาวไทยจำนวน 1,026 คน ซึ่งฟอร์ด มอเตอร์ คัมปะนี จัดทำขึ้นเมื่อเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2559 เมื่อสอบถามถึงเหตุผลที่ให้ความสำคัญกับประสิทธิภาพในการประหยัดน้ำมันนั้น 4 ใน 5 ของผู้ตอบแบบสอบถามจากประเทศไทยกล่าวว่าต้องการประหยัดค่าใช้จ่าย เหตุผลหลักอื่นๆ ยังรวมถึงความใส่ใจที่จะรักษาสิ่งแวดล้อมมากขึ้นร้อยละ 60 และความกังวลต่อราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้นร้อยละ 48 ร้อยละ 43 หรือเกือบครึ่งหนึ่งของผู้บริโภคซึ่งเป็นเจ้าของรถยนต์ที่มีเครื่องยนต์ทรงพลังกล่าวว่า อันที่จริงการประหยัดน้ำมันคือเหตุผลหลัก ที่ พวกเขารู้สึกเสียดายที่ไม่ได้ซื้อรถที่มีประสิทธิภาพในการประหยัดน้ำมันมากกว่านี้ "เราได้จัดทำแบบสอบถามนี้ขึ้นเพื่อเรียนรู้ทัศนคติของผู้บริโภคเกี่ยวกับการประสิทธิภาพการประหยัดน้ำมันเมื่อเลือกซื้อรถยนต์คันใหม่" เควิน ทาลลิโอ หัวหน้าวิศวกร ฝ่ายวิศวกรรมเครื่องยนต์ ฟอร์ด เอเชีย แปซิฟิก กล่าว "ประสิทธิภาพในการประหยัดน้ำมันยังคงเป็นหนึ่งในความกังวลหลัก ผู้บริโภคยังคงกังวลกับค่าน้ำมัน ไม่ว่าราคาน้ำมันจะเป็นอย่างไรก็ตาม" แบบสอบถามนี้ยังแสดงให้เห็นว่า ความต้องการในการประหยัดค่าใช้จ่ายนั้นสะท้อนให้เห็นถึงลักษณะนิสัยในการเติมน้ำมันอีกด้วย ผู้บริโภคชาวไทยหลายคนได้ใช้วิธีการต่างๆ เพื่อประหยัดเงินเมื่อต้องเติมน้ำมันที่สถานีบริการน้ำมัน เช่น ร้อยละ 55 จะรอเติมน้ำมันเฉพาะเมื่อราคาน้ำมันลง ส่วนร้อยละ 43 จะเติมน้ำมันเฉพาะที่สถานีที่ได้รับแต้มสะสมเท่านั้น นอกจากนี้ ร้อยละ 32 ยังใช้คูปองลดราคาอยู่เสมอ ในขณะที่ร้อยละ 44 เติมน้ำมันเมื่อจำเป็นไม่ว่าราคาเท่าใดก็ตาม นอกจากนี้ ผู้ขับขี่ยังเริ่มเปลี่ยนพฤติกรรมการขับขี่ โดยมากกว่าร้อยละ 49 จะเปลี่ยนลักษณะนิสัยการขับขี่เพื่อใช้น้ำมันน้อยลง และอีกร้อยละ 42 วางแผนที่จะขับรถให้น้อยลงในอีก 12 เดือนข้างหน้า โดยเกือบ 2 ใน 3 ของผู้ตอบแบบสอบถาม (ร้อยละ 65) กล่าวว่า หากพวกเขาสามารถประหยัดน้ำมันได้ร้อยละ 20 ในแต่ละเดือน พวกเขาจะกันเงินไว้เป็นเงินออม ในขณะที่ร้อยละ 59 จะใช้เงินเหล่านั้นไปกับครอบครัว ผลสำรวจเหล่านี้เป็นไปในทิศทางเดียวกันกับความกังวลต่อราคาน้ำมันในประเทศไทย โดยเกือบครึ่งหนึ่งของผู้ตอบแบบสอบถาม (ร้อยละ 46) เชื่อว่าราคาน้ำมันจะยังคงผันผวนไปจนถึงปีหน้า ถึงแม้ผู้ขับขี่ชาวไทยมีความกระตือรือร้นที่จะปกป้องตนเองจากค่าน้ำมัน แต่น่าประหลาดใจว่ายังมีอีกหลายคนที่ไม่มีการวางแผนระยะยาวเพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย มากกว่าครึ่ง (ร้อยละ 57) ของผู้ตอบแบบสอบถาม ยอมรับว่าไม่ได้พิจารณาถึงค่าใช้จ่ายทั้งหมดในการเป็นเจ้าของรถยนต์เมื่อเลือกซื้อรถคันใหม่ รวมไปถึงค่าน้ำมันและค่าบำรุงรักษาต่างๆ ผู้ตอบแบบสอบถามเพียงร้อยละ 45 พร้อมที่จะจ่ายมากขึ้นเพื่อซื้อรถที่มีประสิทธิภาพในการประหยัดน้ำมัน เพื่อลดค่าน้ำมันในอนาคต อย่างไรก็ตาม มีสัญญาณว่าพฤติกรรมของผู้บริโภคกำลังเปลี่ยนแปลงไป ผู้บริโภคจำนวนมากที่วางแผนจะซื้อรถคันใหม่ในปีหน้า กำลังพิจารณาทางเลือกรถยนต์ที่สามารถประหยัดน้ำมันได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ร้อยละ 54 วางแผนที่จะซื้อรถที่เครื่องยนต์มีประสิทธิภาพในการประหยัดน้ำมันยิ่งขึ้น ร้อยละ 31 วางแผนที่จะซื้อรถไฮบริดหรือรถไฟฟ้า ร้อยละ 20 วางแผนที่จะเปลี่ยนไปซื้อรถที่มีขนาดเล็กลง อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจเลือกซื้อรถนั้นเป็นเรื่องยาก เนื่องจากผู้บริโภคชาวไทยยังคงให้ความสำคัญกับประสิทธิภาพในการขับขี่ โดยมากกว่าร้อยละ 68 ของผู้ตอบแบบสอบถามมองว่าประสิทธิภาพของเครื่องยนต์เป็นหนึ่งปัจจัยในการพิจารณาเมื่อเลือกซื้อรถใหม่ ในขณะที่ผู้ที่อาศัยอยู่ในเขตเมืองถูกจูงใจจากประสิทธิภาพของเครื่องยนต์มากกว่า (ร้อยละ 69 เทียบกับร้อยละ 60 ของผู้อาศัยนอกเขตเมือง) "ผู้บริโภคในปัจจุบันมีความคาดหวังยิ่งกว่าผู้บริโภคในยุคก่อนๆ" ทาลลิโอ กล่าว "พวกเขาคาดหวังให้รถยนต์สามารถประหยัดน้ำมันได้อย่างยอดเยี่ยมและยังคงประสิทธิภาพในการขับขี่ตามที่ต้องการ ทั้งการเร่งเครื่องบนทางด่วนหรือการควบคุมรถในสภาพการจราจรที่ติดขัด พลังของเครื่องยนต์ยังคงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้บริโภค" ด้วยความมุ่งมั่นในการผสมผสานประสิทธิภาพในการประหยัดน้ำมันและพลังของเครื่องยนต์นี้เอง ที่ผลักดันให้ฟอร์ดพัฒนาเครื่องยนต์อีโค่บูสท์นับตั้งแต่ปี 2552 ซึ่งอีโค่บูสท์คว้ารางวัลมากมาย โดยเฉพาะเครื่องยนต์อีโค่บูสท์ขนาด 1.0 ลิตร ที่ได้รับเลือกให้เป็น"เครื่องยนต์ยอดเยี่ยมแห่งปี" ในงานประกาศรางวัล International Engine of the Year Awards ในปี 2559 ซึ่งเป็นปีที่ 5 ติดต่อกัน ในปัจจุบัน เทคโนโลยีอีโค่บูสท์มีอยู่ในรถยนต์ฟอร์ดมากกว่า 20 รุ่นทั่วโลก รวมถึงฟอร์ด มัสแตง และฟอร์ด โฟกัสรุ่นปี 2016 ที่มีจำหน่ายในประเทศไทย "เครื่องยนต์อีโค่บูสท์มอบทั้งระยะทางและขุมพลังที่ผู้ขับขี่ต้องการ" ทาลลิโอ กล่าว "เมื่อขับขี่อย่างมีประสิทธิภาพ เทคโนโลยีอีโค่บูสท์มาพร้อมขีดความสามารถในการประหยัดน้ำมัน ประหยัดค่าใช้จ่ายในระยะยาว และลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ เมื่อต้องการเร่งเครื่องเป็นพิเศษ อีโค่บูสท์ยังมอบประสิทธิภาพเครื่องยนต์ที่เหนือกว่าให้ผู้ขับขี่ควบคุมรถได้อย่างง่ายดายอีกด้วย"

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ