Hotels.com เผยไทยติดอันดับ 2 ของประเทศที่ชาวจีนนิยมเดินทางมาท่องเที่ยว

ข่าวท่องเที่ยว Wednesday August 24, 2016 11:02 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--24 ส.ค.--webershandwick Hotels.com เผยไทยติดอันดับ 2 ของประเทศที่ชาวจีนนิยมเดินทางมาท่องเที่ยว และ 1 ใน 3 ระบุว่าจะยังคงใช้จ่ายเพื่อการท่องเที่ยวมากขึ้นแม้เศรษฐกิจจะยังคงชะลอตัว นักท่องเที่ยวชาวจีนในกลุ่มมิลเลนเนียลใช้จ่ายเงินมากกว่า 1 ใน 4 ของรายได้ไปกับการท่องเที่ยว ในขณะที่ชาวจีน 2 ใน 3 มองว่าการท่องเที่ยวเป็นส่วนสำคัญของชีวิต ส่วนเชียงใหม่ติดอันดับที่ 10 เมืองยอดนิยมของนักท่องเที่ยวชาวจีน Hotels.com เผยผลสำรวจข้อมูลการเดินทางของนักท่องเที่ยวชาวจีน หรือ Chinese International Travel Monitor (CITM) ต่อเนื่องเป็นปีที่ 5 พบว่า 92% ของนักท่องเที่ยวชาวจีนมีแผนที่จะใช้จ่ายเงินในปริมาณเท่าเดิมหรือเพิ่มขึ้น และ 1 ใน 3 ระบุว่าจะยังคงใช้จ่ายเพื่อการท่องเที่ยวมากขึ้นแม้เศรษฐกิจจะยังคงชะลอตัว การสำรวจดังกล่าวจัดทำโดยอิปซอสส์ (Ipsos) ซึ่งเป็นบริษัทวิจัยตลาดชั้นนำของโลก โดยสำรวจนักท่องเที่ยวชาวจีนจำนวน 3,000 คน ในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา นอกจากนี้ยังได้สำรวจความคิดเห็นของโรงแรมและที่พักซึ่งเป็นพันธมิตรของ Hotels.com จำนวน 5,800 แห่งทั่วโลก เพื่อให้ผลการสำรวจมีความรอบด้านมากขึ้น สาธารณรัฐประชาชนจีนยังคงเป็นประเทศที่มีการใช้จ่ายเพื่อการท่องเที่ยวสูงเป็นอันดับ 1 ของโลก และมีแนวโน้มที่จะเติบโตเพิ่มขึ้น เนื่องจากปัจจุบันจีนมีประชากรจำนวนมหาศาลถึงเกือบ 1.4 พันล้านคน แต่มีเพียง 5% เท่านั้นที่ทำพาสปอร์ตแล้ว ดังนั้นการเดินทางไปท่องเที่ยวต่างประเทศของชาวจีนจึงยังมีช่องว่างให้ขยายตัวได้อีกมาก ในปี 2558 มีชาวจีนเดินทางไปเที่ยวต่างประเทศจำนวน 120 ล้านคน ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 117 ล้านคนในปี 2557 ซึ่งเป็นปีแรกที่จำนวนชาวจีนซึ่งเดินทางไปเที่ยวต่างประเทศทะลุ 100 ล้านคน ดังนั้นจากผลการสำรวจของ Hotels.com ที่ระบุว่าชาวจีนจำนวนถึง 2 ใน 3 มองการท่องเที่ยวเป็นส่วนสำคัญของชีวิตและเตรียมที่จะใช้จ่าย 1 ใน 4 ของรายได้เพื่อท่องเที่ยวนั้น จึงเป็นสัญญาณที่ดีสำหรับผู้ประกอบการในธุรกิจท่องเที่ยวอย่างมาก จุดหมายปลายทางยอดนิยม จากสถิติการจองห้องพักผ่านเว็บไซต์ Hotels.com ในสาธารณรัฐประชาชนจีน พบว่าประเทศหรือภูมิภาคที่ชาวจีนนิยมเดินทางไปมากที่สุดในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาคือสหรัฐอเมริกา ตามมาด้วยไทย ส่วนเมืองที่ชาวจีนจองห้องพักมากที่สุดในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาใน 2 อันดับแรกคือฮ่องกง และกรุงเทพฯ ส่วนโตเกียวไต่จากอันดับ 9 มาอยู่ที่อันดับ 4 และเชียงใหม่ติดเข้ามาในเมืองยอดนิยม 10 อันดับเป็นครั้งแรก เมื่อสอบถามนักท่องเที่ยวชาวจีนว่าประเทศใดมีสถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจมากที่สุด ออสเตรเลียนำมาเป็นอันดับหนึ่ง ตามมาด้วยญี่ปุ่นและฮ่องกง ส่วนประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 6 และเมื่อถามว่าประเทศใดให้การต้อนรับแบบเป็นมิตรมากที่สุด นักท่องเที่ยวชาวจีนตอบว่าญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ฮ่องกง ออสเตรเลีย และไทย ตามลำดับ จากผลการสำรวจพบว่าพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวชาวจีนเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากเมื่อเทียบกับเมื่อเริ่มจัดทำ Chinese International Travel Monitor ครั้งแรกเมื่อ 5 ปีที่แล้ว โดยผู้ประกอบการโรงแรมที่ตอบแบบสำรวจในครั้งนี้ระบุว่าพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวที่เปลี่ยนไปมากที่สุดคือมีทักษะภาษาอังกฤษดีขึ้น และคำนึงถึงเรื่องความคุ้มค่ามากกว่าเดิม นอกจากนี้ยังมีความคาดหวังต่อบริการที่สูงขึ้น มีความต้องการที่จุกจิกมากขึ้น และต้องการราคาที่ถูกลง นายอภิราม ชาวดรีย์ รองประธานและกรรมการผู้จัดการของ Hotels.com ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก กล่าวว่าผู้ประกอบการโรงแรมควรทำความเข้าใจว่านักท่องเที่ยวชาวจีนไม่ได้เหมือนกันไปหมด และควรนำเสนอบริการที่เหมาะกับแต่ละกลุ่ม จึงจะสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวชาวจีนได้มากขึ้น "ความเข้าใจแบบเดิมว่านักท่องเที่ยวชาวจีนต้องการอาหารเช้าแบบจีน และต้องการล่ามภาษาจีน เป็นสิ่งที่ล้าสมัย ผลการสำรวจของ Hotels.com แสดงให้เห็นว่าอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจำเป็นต้องก้าวไปอย่างมีทิศทางเพื่อพัฒนาสินค้าและกลยุทธ์การตลาดที่ตอบโจทย์นักท่องเที่ยวชาวจีนซึ่งมีความต้องการซับซ้อนขึ้นในปัจจุบัน" รูปแบบการท่องเที่ยวของชาวจีน เพื่อช่วยให้อุตสาหกรรมท่องเที่ยวได้เข้าใจวิธีบริหารจัดการกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวจีนที่มีความเป็นตัวของตัวเองและหลากหลายมากขึ้น ผลสำรวจ Chinese International Travel Monitor ในปี 2559 จึงได้แบ่งนักท่องเที่ยวชาวจีนออกเป็น 5 กลุ่ม ได้แก่ ท่องเที่ยวแบบเจาะลึก (สัดส่วน 25%) เป็นคนที่เกิดในยุคซิกส์ตี้ส์ถึงเซเวนตี้ส์ เป็นกลุ่มที่มองโลกในแง่ดีและมีความคิดสร้างสรรค์ ชอบเรียนรู้และสำรวจสิ่งใหม่ๆ และมักวางแผนการท่องเที่ยวอย่างละเอียด ท่องเที่ยวเป็นครอบครัว (สัดส่วน 25%) เป็นคนที่เกิดในยุคซิกส์ตี้ส์ถึงเซเวนตี้ส์ และมักไม่ได้อาศัยอยู่ในเมืองใหญ่ คนกลุ่มนี้มักมีหน้าที่ในการหาเลี้ยงครอบครัว และมองว่าการท่องเที่ยวเป็นการสร้างความสัมพันธ์กับคนในครอบครัว โดยจะเลือกที่พักที่ปลอดภัยและเหมาะสำหรับครอบครัวเป็นหลัก ท่องเที่ยวเพื่อเปิดประสบการณ์ (สัดส่วน 17%) เป็นคนที่เกิดในยุคเอทตี้ส์ถึงไนน์ตี้ส์ และอาศัยอยู่ในเมืองใหญ่ ชอบที่พักที่มีสไตล์ และมักฟังคำแนะนำจากมืออาชีพเกี่ยวกับสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจในพื้นที่ เป็นกลุ่มที่มีความเป็นตัวของตัวเองสูงและมุ่งมั่น มองการท่องเที่ยวเป็นการเพิ่มพูนประสบการณ์ให้กับชีวิต ท่องเที่ยวเพื่อความสุข (สัดส่วน 12%) เกิดในยุคเอทตี้ส์ ท่องเที่ยวเพื่อหาความสุขและเป็นการแสดงออกถึงสถานะของตนเอง ชอบที่พักระดับ 4-5 ดาว และไม่พลาดการท่องเที่ยวแบบผจญภัยในพื้นที่ ท่องเที่ยวแบบเรียบง่าย (สัดส่วน 21%) เกิดในยุคไนน์ตี้ส์ หรือยุคมิลเลนเนียล มีความแตกต่างจากกลุ่มอื่นๆ เพราะมักเป็นผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย มีอารมณ์สุนทรีย์ และมีความสุขกับการท่องเที่ยวโดยไม่ยึดติดกับวัตถุ มักเลือกที่พักที่มีราคาคุ้มค่า นายอภิรามกล่าวด้วยว่า "นักท่องเที่ยวชาวจีนกลุ่มใหญ่ที่สุดในปัจจุบัน คือกลุ่มที่ชอบท่องเที่ยวแบบเจาะลึก และกลุ่มที่ท่องเที่ยวเป็นครอบครัว แต่ผู้ประกอบการโรงแรมและท่องเที่ยวก็ไม่ควรมองข้ามกลุ่มใหม่ที่กำลังเติบโตขึ้น โดยจากผลการสำรวจคาดว่ากลุ่มที่มีแนวโน้มจะเติบโตมากที่สุดในอนาคต คือกลุ่มที่ท่องเที่ยวเพื่อเปิดประสบการณ์ใหม่ เนื่องจากส่วนหนึ่งเป็นคนยุคมิลเลนเนียลซึ่งหลายคนใช้จ่ายเพื่อการท่องเที่ยวต่อวันสูงถึง 474 เหรียญสหรัฐ หรือราว 16,000 บาท เลยทีเดียว" ผลการสำรวจยังระบุว่า นักท่องเที่ยวชาวจีนที่เป็นกลุ่มมิลเลนเนียล (คนที่อายุต่ำกว่า 35 ปีลงมา) ใช้จ่ายเงิน 27% ของรายได้ต่อปีไปกับการท่องเที่ยว ซึ่งถือว่าเป็นสัดส่วนที่สูงที่สุดเมื่อเทียบกับชาวจีนกลุ่มอื่นๆ โดยจากการสำรวจผู้ประกอบการโรงแรมแสดงให้เห็นด้วยว่าผู้เข้าพักชาวจีนในกลุ่มมิลเลนเนียลมีจำนวนเพิ่มขึ้น 12% ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของผู้เข้าพักชาวจีนโดยรวมที่เพิ่มขึ้น 11% ถึงเวลาที่ผู้ประกอบการโรงแรมต้องปรับตัว ในส่วนความคิดเห็นของผู้ประกอบการโรงแรมในไทย 72% ระบุว่าผู้เข้าพักชาวจีนมีจำนวนเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ย 30% และส่วนใหญ่ยังตอบว่าชาวจีน 78% เป็นกลุ่มที่เดินทางมาท่องเที่ยวด้วยตนเอง และพบว่าผู้เข้าพักชาวจีนที่มีอายุไม่เกิน 35 ปีมีจำนวนเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ย 73% ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ชี้ให้เห็นว่ากลุ่มนักท่องเที่ยวชาวจีนที่กำลังเติบโตเป็นกลุ่มคนที่มีอายุน้อย และไม่ได้มาแบบกรุ๊ปทัวร์ รวมทั้งกลุ่มมิลเลนเนียล จึงถึงเวลาที่แล้วเราต้องปรับเปลี่ยนความเข้าใจที่มีต่อนักท่องเที่ยวชาวจีน ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อทางเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดของโลกในปัจจุบัน เมื่อพิจารณาถึงสิ่งที่นักท่องเที่ยวชาวจีนใช้เลือกโรงแรมที่พัก พบว่าความปลอดภัย ความสะดวกสบาย จำนวนดาว สิ่งอำนวยความสะดวก และราคา ยังคงมาเป็นอันดับต้นๆ แม้ว่าจะมีสัดส่วนลดลง 5% ในทุกหัวข้อเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ทั้งนี้มีหลายหัวข้อที่นักท่องเที่ยวชาวจีนอยากได้รับจากโรงแรมในไทย ซึ่งถือเป็นสิ่งที่สำคัญและควรได้รับการปรับปรุงเพื่อให้ตรงใจ ได้แก่ รองรับการจ่ายด้วยบัตรยูเนียนเพย์ (UnionPay) มีร้านอาหารจีนให้บริการในโรงแรม มีพนักงานที่สื่อสารภาษาจีนได้ และให้บริการลูกค้าผ่านแอพพลิเคชั่น ผลสำรวจยังชี้ให้เห็นว่านักท่องเที่ยวจีนมีการเชื่อมต่อและคุ้นเคยกับเทคโนโลยี โดย 99% มีอุปกรณ์ดิจิทัลติดตัวมาด้วยในระหว่างท่องเที่ยว เช่น โทรศัพท์มือถือ กล้องถ่ายรูป และแท็บเล็ต นอกจากนี้ยังเห็นได้จากช่องทางที่นิยมใช้จองห้องพัก โดย 74% จองผ่านผู้ให้บริการจองห้องพักออนไลน์ และอุปกรณ์ที่ใช้จองมากที่สุดคือโทรศัพท์มือถือมากถึง 62% ซึ่งเป็นสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 10%

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ