กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดย การยางแห่งประเทศไทย เปิดรับคู่สัญญา โครงการยางพาราประชารัฐ ส่งเสริมจัดการสวนยางอย่างยั่งยืน

ข่าวทั่วไป Thursday September 22, 2016 15:44 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--22 ก.ย.--สำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดย การยางแห่งประเทศไทย เปิดรับคู่สัญญา โครงการยางพาราประชารัฐ ส่งเสริมจัดการสวนยางอย่างยั่งยืน นำร่องให้ความรู้การจัดการสวนยางมาตรฐาน FSC และ PEFC ใน 4จังหวัด ภาคใต้ หวังเพิ่มมูลค่าไม้ยาง ขยายตลาดส่งออกสู่ระดับสากล นายระพีภัทร์ จันทรศรีวงศ์ รองโฆษกกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า ปัจจุบันทั่วโลกกำลังให้ความสำคัญเรื่อง การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม การส่งเสริมและสนับสนุนให้มีการปลูกไม้เพื่อใช้สอย เพื่อเป็นอาชีพ ซึ่งจะเป็นการสร้างความมั่นคงในการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ให้คงอยู่อย่างยั่งยืน ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา การส่งเสริมการปลูกยางพาราอยู่ภายใต้พระราชบัญญัติ กยท. ได้ดำเนินการอบรม ให้ความรู้ในการปลูกยางพาราอย่างถูกต้องตามหลักวิชาการ แต่เพื่อให้ไม้ยางพาราเป็นไม้ที่ถูกต้องตามกฎหมาย เกษตรกรที่ทำการปลูก และโค่น สามารถขายได้มูลค่าสูงขึ้น จึงจำเป็นต้องเข้าสู่กระบวนการการรับรองโดยมาตรฐานที่ยอมรับกันทั่วโลกในระดับนานาชาติ โดยมาตรฐานดังกล่าว เรียกว่า FSC (Forest Stewardship Council) และ PEFC (Programme for the Endorsement of Forest Certification) และเป็นโครงการนำร่องที่ กยท. จะออกใบรับรองไม้ยางพาราร่วมกับ TFCC (Thailand Forest Certification Council) ทั้งนี้ การยางแห่งประเทศไทย (กยท.) ได้ลงพื้นที่ จ.สุราษฎร์ธานี จัดอบรมถ่ายทอดองค์ความรู้การจัดการสวนยางที่ดีอย่างยั่งยืนตามมาตรฐาน FSC และ PEFC เพื่อให้ผู้ปลูกยางมีความรู้ความเข้าใจในการพัฒนาสวนยางของตนเองให้ได้มาตรฐาน โดยนำร่องพื้นที่ภาคใต้ตอนบน 4 จังหวัด ได้แก่ ระนอง ประจวบคีรีขันธ์ สุราษฎร์ธานี และ ชุมพร มีผู้นำเครือข่ายเกษตรกรชาวสวนยางและพนักงาน กยท. เข้ารับการอบรมประมาณ 250 คน โดยตั้งเป้า 3 เดือน พื้นที่ปลูกสร้างสวนยางใน จ.สุราษฎร์ธานี ต้องได้การรับรองจาก FSC และ PEFC ให้ได้เกือบ 100% ของพื้นที่ปลูกยางทั้งหมดในจังหวัด อีกทั้งเพื่อเป็นการสร้างความเชื่อมั่นในคุณภาพของไม้ยางพารา และผลิตภัณฑ์จากไม้ยางพาราของไทย รวมถึงขยายตลาดการส่งออกให้แก่กลุ่มสหกรณ์ สถาบันเกษตรกร และเกษตรกรชาวสวนยางทั่วประเทศ ที่ผ่านมาเกษตรกรเมื่อโค่นสวนยางพารา 1 ไร่ จะขายไม้ยางพาราได้ไร่ละ 70,000 – 80,000 บาท แต่ปัจจุบันขายได้เพียงไร่ละ 20,000 – 30,000 บาท เท่านั้น เนื่องจากตลาดต่างประเทศที่รับซื้อไม้ยางพารามีมาตรฐานการรับซื้อที่สูงขึ้น ส่งผลให้ไทยส่งขายไม้ยางได้เพียงบางประเทศเท่านั้น ซึ่งการรับรองการจัดการสวนยางอย่างยั่งยืนตามมาตรฐาน FSC และ PEFC จะเป็นการขยายตลาดการส่งออกไม้ยางพาราไปยังประเทศที่ต้องการการรับรองคุณภาพในระดับสากล เช่น ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ อเมริกา และประเทศในแถบยุโรป ดร. ธีธัช สุขสะอาด ผู้ว่าการการยางแห่งประเทศไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจุบัน กยท. ได้บันทึกข้อตกลงความร่วมมือในโครงการยางพาราประชารัฐ กับบริษัท สยามฟอร์เรสแมเนจเม้นท์ จำกัด เป็นหนึ่งในบริษัทเอกชนที่ให้ความร่วมมือสนับสนุนเกษตรกรชาวสวนยางในการเพิ่มมูลค่าในการขายไม้ยาง และผลิตภัณฑ์จากไม้ยางทั้งในและต่างประเทศ พร้อมรับซื้อไม้ยางพาราที่เหลือใช้จากการผลิตเฟอร์นิเจอร์ เช่น กิ่ง แขนง ราก เศษขี้เลื่อย เป็นต้น เพื่อนำมาใช้เป็นวัตถุดิบหลักในการผลิตแท่งเชื้อที่สะอาด อนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ซึ่งจะทำให้เกษตรกรชาวสวนยางได้รายได้เพิ่มจากการส่งขายไม้ยางพารา และวัสดุไม้อื่น ๆ ทั้งหมดได้อีกทางหนึ่งด้วยสิ่งสำคัญ กยท. จะเข้ามาสนับสนุนส่งเสริมและถ่ายทอดองค์ความรู้ให้แก่เกษตรกร ตั้งแต่การปลูก การกรีด และการโค่นยางพารา โดยให้ทุกกระบวนการอยู่ในขั้นตอนตามมาตรฐาน FSC และ PEFC นอกจากนี้ กยท.จะเร่งจัดอบรมพนักงานของ กยท. หลักสูตร Train the Trainer เพื่อให้พนักงาน กยท.ทั่วประเทศที่ดูแลและส่งเสริมสวนยางสามารถตรวจรับรองในทุกขั้นตอนของการจัดการสวนยางในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ นอกจากจะเป็นการเพิ่มรายได้สู่เกษตรกรชาวสวนยางแล้ว ตัวแทนภาคเอกชนอื่น ๆ ที่ดำเนินธุรกิจการแปรรูป หรือการนำไม้ยางพาราไปใช้ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ จะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน ดังนั้น การอบรมโครงการดังกล่าวใน จ.สุราษฎร์ฯ เป็นการนำร่องที่แรก และพร้อมจะขยายไปในทุกพื้นที่ปลูกยางทั่วประเทศ สำหรับการระบายสต็อกยาง 3.1 แสนตัน ที่มาจากโครงการพัฒนาศักยภาพสถาบันเกษตรกรเพื่อรักษาเสถียรภาพราคายาง และโครงการสร้างมูลภัณฑ์กันชนเพื่อรักษาเสถียรภาพราคายาง จำนวนประมาณ 3.1 แสนตัน นั้น กยท. เน้นการดำเนินงานตามนโยบายของรัฐบาล โดยจะนำยางในสต็อกดังกล่าวมาใช้ในโครงการส่งเสริมการใช้ยางในหน่วยงานภาครัฐก่อน จากนั้น จะนำยางไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์และนำมาใช้ภายในประเทศให้ได้มากที่สุด โดยในส่วนที่เหลืออาจจะต้องระบายขายเพื่อลดค่าใช้จ่ายในการเก็บรักษาและต้องคำนึงถึงคุณภาพยางควบคู่ด้วย อย่างไรก็ตาม มาตรการในการขายยางในสต็อกส่วนที่เหลือจากวัตถุประสงค์ข้างต้น ทาง กยท. ยืนยันจะไม่ขายยางแบบล็อตอย่างแน่นอน โดยจะดำเนินการแบ่งขายเป็นล็อตเล็ก ๆ และค่อย ๆ ระบายออกไป เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อราคายางพาราในตลาด และที่สำคัญการขายจะต้องไม่ส่งผลกระทบต่อพี่น้องชาวสวนยาง

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ