การแก้ปัญหาราคาข้าวตกต่ำ มาตรการภาคเกษตรและความเดือดร้อนของชาวนา

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday November 1, 2016 09:05 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--1 พ.ย.--มหาวิทยาลัยรังสิต การใช้เม็ดเงินในโครงการจำนำยุ้งฉาง 2.4 หมื่นล้านบาทโดยจำนำตันละไม่ต่ำกว่า 1 หมื่นบาทนั้นจะช่วยบรรเทาปัญหาราคาข้าวเปลือกตกต่ำและความเดือดร้อนของชาวนาได้ระดับหนึ่งเท่านั้น แนะนำให้ใช้วิธีการแทรกแซงราคาโดยตรงด้วยการรับจำนำข้าวหรือประกันราคาจะมีประสิทธิภาพมากกว่า ข้าวเปลือกราคาตกต่ำ ราคาข้าวสารที่บริโภคและราคาข้าวส่งออกไม่ได้ปรับตัวลดลงมากนัก ส่วนต่างตรงนี้ไม่ตกถึงมือคนส่วนใหญ่ โครงสร้างตลาดไม่มีการแข่งขันดีนัก ชี้มาตรการแทรกแซงราคาสินค้าเกษตรช่วยลดความเหลื่อมล้ำและแก้ปัญหาความไม่เป็นธรรมทางเศรษฐกิจและสังคมได้ ข้อแนะทางนโยบายเพื่อแก้ปัญหาราคาข้าวตกต่ำและภาคเกษตรกรรมและข้อเท็จจริงพัฒนาการนโยบายข้าวไทย 16.30 น. 31 ต.ค. 2559 ที่มหาวิทยาลัยรังสิต คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต และ ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจเพื่อการปฏิรูป ผศ. ดร. อนุสรณ์ ธรรมใจ รองอธิการบดีฝ่ายวิจัยและบริการวิชาการ และ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต กล่าวถึง การใช้เม็ดเงินในโครงการจำนำยุ้งฉาง 2.4 หมื่นล้านบาทโดยจำนำตันละไม่ต่ำกว่า 1 หมื่นบาทนั้นจะช่วยบรรเทาปัญหาราคาข้าวเปลือกตกต่ำและความเดือดร้อนของชาวนาได้ระดับหนึ่งเท่านั้น แนะนำให้ใช้วิธีการแทรกแซงราคาโดยตรงด้วยการรับจำนำข้าวหรือประกันราคาจะมีประสิทธิภาพมากกว่า รัฐบาลควรมีมาตรการสนับสนุนชาวนาจัดตั้งบริษัทหรือสหกรณ์เพื่อการเกษตรในการเพิ่มอำนาจต่อรองในโครงสร้างตลาดและโครงสร้างการผลิต เพราะขณะนี้ ข้าวเปลือกราคาตกต่ำ ราคาข้าวสารที่บริโภคและราคาข้าวส่งออกไม่ได้ปรับตัวลดลงมากนัก ส่วนต่างตรงนี้ไม่ตกถึงมือคนส่วนใหญ่ โครงสร้างตลาดไม่มีการแข่งขันดีนัก มีอำนาจผูกขาดของกลุ่มทุนธุรกิจขนาดใหญ่อยู่ แต่รัฐบาลไม่ควรเข้าไปผูกขาดตลาดเองเพราะจะสร้างปัญหาไม่ต่างกันหรืออาจจะแย่กว่า จึงขอให้ "รัฐบาล" ศึกษาหามาตรการในการปรับโครงสร้างส่วนนี้ให้ดีขึ้นก็จะทำให้แก้ปัญหาได้อย่างแท้จริง ไม่สิ้นเปลืองงบประมาณและภาระทางการคลัง นโยบายแทรกแซงราคาหรือพยุงราคา ไม่ว่าจะเป็นนโยบายรับจำนำ นโยบายประกันราคาก็ตาม รัฐบาลควรนำมาใช้ระยะหนึ่งเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของชาวนาหรือเกษตรกรเมื่อราคาพืชผลตกต่ำและผันผวนเท่านั้น ที่สำคัญ รัฐบาลต้องปรับเปลี่ยนวิธีการรับจำนำเสียใหม่ ไม่ให้กลายเป็น การผูกขาดการค้าข้าวโดยรัฐบาล หรือ ตั้งราคาจำนำสูงเกินกว่าราคาตลาดมากๆ ซึ่งอาจเป็นการส่งสัญญาณราคาที่บิดเบือน ทำให้มีการขยายพื้นที่ปลูกข้าวเกินพอดีเกินศักยภาพและเบียดบังพื้นที่เพาะปลูกพืชผลประเภทอื่น การแทรกแซงราคาที่ฝืนกลไกตลาดไม่สามารถทำได้ในระยะเวลานานๆเพราะจะส่งผลเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจ ระบบตลาด ระบบการผลิตและฐานะทางการคลังของรัฐบาล และไม่สามารถสร้างรายได้หรือชีวิตความเป็นอยู่ของชาวนาหรือเกษตรกรให้ดีขึ้น อย่างยั่งยืนได้ หลังจากที่รายได้เกษตรกรมีความมั่นคงด้วยการจำนำข้าวแล้ว ก็มุ่งไปที่การเพิ่มผลผลิตต่อไร่ ลดต้นทุนการผลิตและเพิ่มอำนาจของเกษตรกรในโครงสร้างการผลิตและโครงสร้างการตลาด ดร. อนุสรณ์ คาดการณ์อีกว่า ราคาข้าวและราคาสินค้าเกษตรอื่นๆที่ตกต่ำจะทำให้กำลังซื้อในภาคชนบทชะลอตัวลง ส่งผลต่อกิจกรรมเศรษฐกิจต่างๆในพื้นที่ภาคกลาง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคเหนือบางจังหวัด อย่างไรก็ตาม ภาคส่งออกที่กระเตื้องขึ้น ภาคท่องเที่ยวขยายตัวต่อเนื่องจะทำให้อัตราการขยายตัวเศรษฐกิจไทยทั้งปีนี้ไม่ต่ำกว่า 3% โดยจีดีพีไตรมาสสามน่าจะเติบโตสูงสุด ส่วนไตรมาสสี่เศรษฐกิจจะชะลอตัวลงเล็กน้อยจากไตรมาสสาม ดร. อนุสรณ์ กล่าวว่า ผมมีข้อเสนอในเรื่องนโยบายภาคเกษตรและแก้ปัญหาราคาข้าวตกต่ำดังต่อไปนี้ ข้อแรก ต้องมีการปฏิรูปที่ดินเพื่อการเกษตร เริ่มต้นตั้งแต่ปฏิรูประบบข้อมูลที่ดินเพื่อการเกษตร กำหนดเพดานการถือครองที่ดินอย่างเหมาะสม กำหนดเขตการใช้ที่ดินและแผนการใช้ที่ดิน จัดตั้งกองทุนที่ดินเพื่อเกษตรกร รวมทั้งการพลักดันให้มีการเก็บภาษีที่ดินเพื่อกระตุ้นให้นำที่ดินรกร้างว่างเปล่ามาใช้ประโยชน์ทางเศรษฐกิจและการผลิต ข้อสอง ไทยต้องมียุทธศาสตร์ที่ชัดเจนต่อ ไตรลักษณะของภาคเกษตรกรรมของไทย อันประกอบด้วย เกษตรดั้งเดิม เกษตรอุตสาหกรรมสมัยใหม่ เกษตรอินทรีย์ทางเลือก ในขณะที่โลกเผชิญความท้าทายทางด้านความมั่นคงอาหารและพลังงาน ข้อสาม ใช้ เทคโนโลยี การบริหารจัดการความรู้ เพื่อ เพิ่มมูลค่าด้วยการแปรรูปสินค้าเกษตร (ข้าวหรือสินค้าเกษตรอื่นๆ) ข้อสี่ เพิ่มรายได้เกษตรกรด้วยการเพิ่มผลผลิตต่อไร่ ลดต้นทุนการผลิต ลดค่าใช้จ่าย เพิ่มสวัสดิการให้ชาวนาและเกษตรกร ข้อห้า ทะยอยลดระดับการแทรกแซงราคาลง (แต่ต้องไม่ยกเลิกทันที) โดยนำระบบประกันภัยพืชผลและตลาดซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้ามาแทนที่ ทำให้ "ไทย" เป็นศูนย์กลางของตลาดซื้อขายล่วงหน้าสินค้าเกษตรของภูมิภาค ข้อหก พัฒนามาตรฐานสินค้าเกษตรและมาตรฐานความปลอดภัยด้านอาหาร ข้อเจ็ด จัดตั้งกองทุนช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจจากการเปิดเสรีภายใต้ WTO, FTA, AEC ข้อแปด ส่งเสริมการขยายฐานในรูป Offshore Farming เกษตรพันธะสัญญาโดยเฉพาะในกลุ่ม ประเทศ CLMV ข้อเก้า การปฏิรูปภาคเกษตรกรรมและเดินหน้าสู่ยุทธศาสตร์ ครัวของ ข้อสิบ จัดให้มีตลาดสินค้าเกษตรให้มากและหลากหลายและพัฒนาไทยสู่โลก รัฐควรลดบทบาทแทรกแซงกลไกตลาดสินค้าเกษตรลง ลดการบิดเบือนกลไกราคาการเป็น "ครัวของโลก" และทำให้ไทยเป็นผู้ผลิตอาหารปลอดภัยของโลก ข้อสิบเอ็ด ทำให้ ชาวนาหรือเกษตรกรทั้งหลายเข้าถึงแหล่งทุนได้ดีขึ้นปล่อยสินเชื่อถึงเกษตรกรโดยตรง ไม่ต้องผ่านคนกลาง โรงสี หรือ บริษัทค้าปัจจัยการผลิตทั้งหลาย บูรณาการการบริหารจัดการกองทุนที่เกี่ยวกับการแก้ไขหนี้สินเกษตรกรให้เป็นเอกภาพและเร่งรัดแก้ปัญหาหนี้สินเกษตรกร ข้อสิบสอง นำนโยบายรับจำนำข้าวกลับมาดำเนินการจนกว่าราคาข้าวในตลาดโลกปรับตัวดีขึ้นระดับหนึ่งและยกเลิกนโยบายแจกเงินให้ชาวนาเนื่องจากเป็นมาตรการตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ สิ้นเปลืองและไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อะไรนอกจากบรรเทาปัญหาความเดือดร้อนให้ชาวนาในระยะสั้นมากๆ เพราะเงิน 1,000 บาทใช้ไม่เกินสามวันก็หมดแล้ว นอกจากนี้การกำหนดมาตรการแบบนี้อยู่บนฐานคิดแบบสังคมสังเคราะห์และส่งเสริมวัฒนธรรมอุปถัมภ์อันไม่ได้ทำให้ชาวนาเข้มแข็งขึ้นในระยะยาวและยังเป็นการทำให้ประชาธิปไตยฐานรากอ่อนแอลงด้วย นอกจากนี้เรายังต้องเตรียมตัวรับมือกับข้อตกลงการเปิดเสรีต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นข้อตกลงว่าด้วยการใช้อัตราภาษีพิเศษที่เท่ากันสำหรับเขตการค้าเสรีอาเซียน (CEPT-ทำข้อตกลงตั้งแต่ปี พ.ศ. 2536) และข้อตกลง ATIGA ต่อข้าวไทย เช่น การปรับลดภาษี ไทยลดภาษีศุลกากรในสินค้าข้าวให้เหลือ 0% ตั้งแต่ปี 2553 ขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านอาเซียนอื่นๆได้จัดข้าวอยู่ในบัญชีสินค้าที่มีการอ่อนไหวสูง (Highly Sensitive List) จึงค่อยทยอยลดภาษี ประเด็นเรื่องกฎว่าด้วยถิ่นกำเนิดสินค้า ประเด็นเรื่องมาตรการสุขอนามัยและสุขอนามัยพืชที่เราทำข้อตกลงเอาไว้เรื่องมีผลต่ออุตสาหกรรมการผลิตข้าวในประเทศไทย เราจึงต้องมีมาตรการรับมือเพื่อให้เกิดประโยชน์อย่างเต็มที่ต่อเกษตรกร ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมข้าวและประเทศโดยรวม ดร. อนุสรณ์ ธรรมใจ ในฐานะ อดีตกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะ กระทรวงการคลัง กล่าวให้ข้อมูลและข้อเท็จจริง อีกว่า มาตรการแทรกแซงราคาสินค้าเกษตรและการรับจำนำข้าวเป็นเครื่องมือหนึ่งในการลดความไม่เป็นธรรมทางเศรษฐกิจ เป็นวิธีการแก้ปัญหาราคาตกต่ำของราคาสินค้าเกษตรและราคาข้าวได้รวดเร็วที่สุด ต้องยอมรับภาระทางการคลังหรือการเกิดหนี้เนื่องจากการแทรกแซงหากเป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจและประชาชน เม็ดเงินที่ใช้ไปไม่ใช่ความเสียหายต้องถือเป็นส่วนหนึ่งของมาตรการที่ต้องจ่าย เป็นนโยบายควรนำกลับมาใช้ชั่วคราวเพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้าขณะนี้ซึ่งดีกว่าใช้วิธีแจกเงินให้เกษตรกรต่อไร่หรือจำนำยุ้งฉาง นโยบายรับจำนำข้าวย่อมดีกว่าและมีประสิทธิภาพสูงกว่าการแก้ปัญหาด้วยการแจกเงินต่อไร่ให้เกษตรกรหรือจำนำยุ้งฉาง การรับจำนำ รัฐบาลยังมีสต๊อคข้าว อย่างไรก็ตาม แผนการรับจำนำครั้งใหม่ต้องทบทวนจุดอ่อนในอดีต เช่น ไม่รับจำนำในราคาสูงเกินราคาตลาดมากเกินไป ไม่รับจำนำทุกเมล็ด แยกรับจำนำข้าวในราคาตามระดับคุณภาพ ตรวจสอบขั้นตอนการรับจำนำให้โปร่งใสและลดการรั่วไหลทุจริต เป็นต้น ต้องบริหารจัดการระบายข้าวในสต็อคของรัฐบาลอย่างมีประสิทธิภาพและโปร่งใสเพื่อให้ได้สภาพคล่องมาชำระหนี้ชาวนาและทำให้เกิดภาระทางการคลังให้น้อยที่สุด ขณะเดียวกันต้องสร้างความมั่นใจต่อระบบสถาบันการเงินเพื่อปล่อยกู้หรือชำระเงินให้ชาวนาที่ถือใบประทวน โดยสถาบันการเงินสามารถนำใบประทวนซึ่งเป็นหลักทรัพย์ในการค้ำประกันมารับเงินจากรัฐบาลได้ต่อไป ขณะเดียวกัน รัฐบาลควรใช้โอกาสนี้ในการศึกษาทบทวนปัญหาและข้อผิดพลาดจากนโยบายรับจำนำข้าวเพื่อนำมาสู่การพิจารณาว่า จะปรับปรุงนโยบายรับจำนำข้าวอย่างไรให้มีประสิทธิภาพดีขึ้น และ สามารถช่วยเหลือเกษตรกรรายได้น้อยซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศให้หลุดพ้นจากความยากลำบากทางเศรษฐกิจ นโยบายรับจำนำข้าวที่ผ่านมาได้ทำให้ชาวนายากจนจำนวนไม่ต่ำกว่า 3.45 แสนราย ได้รับเงินจำนำข้าวเฉลี่ยรายละ 94,579 บาท และชาวนาระดับกลางและรายได้สูงไม่ต่ำกว่า 2.69 แสนราย ได้รับเงินจำนำข้าวเฉลี่ยรายละ 405,937 บาท นอกจากนี้ยังทำให้ชาวนาบางรายที่มีที่ดินขนาดนา 100 ไร่ขึ้นไปมีรายได้ปีละ 2-3 ล้านบาท หรือ ชาวนาที่มีที่ดินขนาดใหญ่จะได้รายได้เฉลี่ย 4-6.6 แสนบาทต่อปี ด้วยระดับรายได้แบบนี้จึงทำให้ภาคเกษตรกรรมไทยเติบโตและขยายตัวได้อย่างมั่นคงต่อไป รายได้ที่เพิ่มขึ้นของชาวนาอย่างชัดเจนจะช่วยทำให้คุณภาพชีวิตและฐานะทางเศรษฐกิจของชาวนาจำนวนมากดีขึ้น ลดปัญหาความไม่เป็นธรรมทางเศรษฐกิจและทำให้ประชาธิปไตยฐานรากเข้มแข็งขึ้น ประชาธิปไตยรากฐานเข้มแข็งจากฐานะทางเศรษฐกิจและอำนาจต่อรองที่มากขึ้นไม่น้อยหลุดพ้นจากกับดักความยากจน นอกจากนี้การทำให้ "ผู้คนในภาคเกษตรกรรม" มีรายได้สูงขึ้นเท่ากับเป็นการสกัดกั้นการอพยพย้ายถิ่นของชาวชนบท และ รักษาสมดุลโครงสร้างเศรษฐกิจระหว่างภาคเกษตรกรรมและภาคอุตสาหกรรม รวมทั้งลดปัญหาสังคมและความแออัดของเมืองใหญ่ สต็อกข้าวของรัฐบาลที่สะสมเพิ่มขึ้นจากการรับจำนำต้องบริหารจัดการให้ดี (จำนวนนี้สามารถนำมาเป็นอาหารสำรองทางยุทธศาสตร์จากการขาดแคลนอาหารในอนาคตจากภาวะโลกร้อนได้แต่ต้องมีระบบเก็บรักษาคุณภาพดีๆ) การมีสะต๊อกจำนวนมากขึ้นจะทำให้การระบายข้าวบริหารยากขึ้น เมื่อปล่อยข้าวออกมาในตลาดจะกดราคาในตลาดให้ปรับตัวลดลง รัฐบาลก็จะขาดทุนเพิ่มเติมอีก ส่วนการเก็บข้าวไว้รอให้ราคาตลาดโลกสูงขึ้นค่อยทยอยขาย รัฐก็ต้องมีระบบการจัดเก็บสะต๊อกข้าวที่ได้มาตรฐาน รายละเอียดของนโยบายรับจำนำบางส่วนต้องมีการปรับเปลี่ยนเพื่อปิดจุดที่จะสร้างปัญหาและลดการรั่วไหล การทุจริตนั้นอาจเกิดขึ้นได้ในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การปลอมใบประทวน การนำข้าวมาเวียนเทียนสะต๊อกลม การสวมสิทธิ ตลอดจน การใช้บริษัทในเครือข่ายรับซื้อข้าวจากรัฐบาล จึงขอเสนอให้ "รัฐบาล คสช" ดูแลเรื่องเหล่านี้ให้ดี ดร. อนุสรณ์ ได้ให้ "ข้อเท็จจริงพัฒนาการนโยบายข้าวไทย" ว่า การค้าขายข้าวในอดีตก่อนที่จะเริ่มมีนโยบายรับจำนำข้าวตั้งแต่สมัยรัฐบาลเปรมนั้น เป็นตลาดที่ชาวนาในฐานะผู้ผลิตจะไปขายข้าวในพื้นที่ใกล้แหล่งผลิต เช่น ท่าข้าว ตลาดกลาง สหกรณ์การเกษตร และโรงสี ปัจจัยที่กำหนดการตัดสินใจขายข้าวให้กับแหล่งใดนั้นขึ้นอยู่กับราคาที่ให้และต้นทุนขนส่งจากนา (ระยะทางจากนาข้าวถึงแหล่งรับซื้อ) จากนั้นข้าวจะถูกแปรรูปเป็นข้าวสารเพื่อขายต่อไปยังนายหน้าหรือหยง พ่อค้าในประเทศและผู้ส่งออกข้าว แล้วจะมีเครือข่ายของผู้รับซื้อในต่างประเทศ ต่อมา เมื่อมีการใช้นโยบายรับจำนำข้าวต่อเนื่องมาตั้งแต่สมัยรัฐบาลเปรมจนถึงรัฐบาลยิ่งลักษณ์ มีเว้นระยะช่วงรัฐบาลอภิสิทธิ์ที่ใช้นโยบายประกันราคาได้ทำให้โครงสร้างตลาดของข้าวค่อยๆเปลี่ยนไป โดยเฉพาะเมื่อใช้นโยบายรับจำนำแทรกแซงราคาแบบตั้งเป้าหมายราคายิ่งทำให้โครงสร้างตลาดแบบเดิมเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก ข้าวเป็นสินค้าส่งออกที่สร้างรายได้ให้ประเทศมาตั้งแต่หลังสนธิเบาว์ริง แต่ทำไมชาวนาผู้ผลิตข้าวจึงเป็นกลุ่มคนที่ยังยากจนที่สุด เวลานี้ มีประชากรในภาคเกษตรประมาณ 6.8 ล้านคนยังอยู่อย่างยากจน ต้องมีความผิดปรกติในโครงสร้างตลาดอย่างแน่นอน ตลาดข้าวดูเหมือนเป็นตลาดเสรีแต่ไม่เป็นธรรม รัฐจึงต้องเข้าแทรกแซงเพื่อสร้างความเป็นธรรมทางเศรษฐกิจ แต่การแทรกแซงโดยรัฐในหลายกรณีก็ไม่มีประสิทธิภาพและเต็มไปด้วยการทุจริตรั่วไหลที่ควบคุมไม่ได้ ประกอบกับ ชาวนาต้องเผชิญกับสภาวะทางธรรมชาติและอากาศที่ไม่แน่นอน อย่างปีนี้ก็เกิดภัยแล้งอย่างรุนแรง การปลูกข้าวหรือพืชเกษตรอื่นๆที่ยังต้องอาศัยธรรมชาติเป็นด้านหลักจากการที่ระบบชลประทานยังไม่ได้มาตรฐานดีพอ ดีพอที่จะปลูกข้าวหรือพืชเกษตรต่างๆโดยไม่ต้องรอความเมตตาจากฟ้าฝน ปัญหาของข้าวไทยและพืชเกษตรบางตัวมีไล่เรียง ตั้งแต่ ต้นทุนการผลิตต่อไร่สูง ผลผลิตต่อไร่ต่ำ งบวิจัยพัฒนาการผลิตข้าวและพืชเกษตรน้อย ระบบชลประทานไม่ครอบคลุม (67% ปลูกข้าวนอกเขตชลประทาน – ข้อมูลปี 2554) เกษตรกรและชาวนาลดลงเพราะไม่มีความมั่นคงทางด้านอาชีพและรายได้ เป็นต้น นโยบายแทรกแซงราคาสินค้าเกษตรโดยเฉพาะข้าวนั้นเป็นมาตรการที่รัฐบาลใช้มาอย่างยาวนานหลายรัฐบาลหลังจากมาตรการกีดกันการส่งออกและเก็บค่าพรีเมียมข้าวได้ถูกยกเลิกไปตั้งแต่ปี พ.ศ. 2529 โดยนโยบายแทรกแซงราคาสินค้าเกษตรนี้มุ่งแก้ไขและบรรเทาปัญหาผลกระทบจากความผันผวนของราคาสินค้าเกษตรต่อเกษตรกร ภาคเกษตรกรรมและระบบเศรษฐกิจโดยรวม โครงการรับจำนำในหลายรัฐบาลที่ผ่านมาโดยเฉพาะสมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ได้เปลี่ยนแปลงโครงสร้างตลาด รัฐบาลได้มีบทบาทมาชี้นำตลาดมากขึ้นตามลำดับ ชาวนาส่วนใหญ่ขายข้าวผ่านโครงการรับจำนำทำให้ธุรกิจท่าข้าวและตลาดกลางข้าวซบเซา ในช่วงห้าหกทศวรรษที่ผ่านมา ภาคเกษตรกรรมของไทยได้มีพัฒนาการไปจากเดิมมาก โดยในช่วงปี พ.ศ. 2500 นั้นผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศหรือจีดีพีเกือบร้อยละ 40 มาจากภาคเกษตรกรรม มีประชากรอยู่ 27 ล้านคน ในจำนวนนี้อยู่ในภาคเกษตรกรรมร้อยละ 80 ขณะที่ปัจจุบัน ผลิตภัณฑ์มวลรวมจากภาคเกษตรกรรมอยู่ที่ หนึ่งล้านล้านบาท คิดเป็น ร้อยละ 11 ของจีดีพี โดยมีคนไทยหนึ่งในสามอยู่ในภาคเกษตรกรรม ตั้งแต่ทศวรรษ 2530 เป็นต้นมา แรงงานภาคเกษตรกรรมในชนบทหลั่งไหลสู่อุตสาหกรรมและภาคบริการ ผลจากการหลั่งไหลออกนอกภาคเกษตรกรรมเพราะภาคเกษตรกรรมมีรายได้ต่ำและไม่แน่นอน และในที่สุดประเทศไทยก็ขาดแคลนแรงงานภาคเกษตรและต้องอาศัยแรงงานต่างด้าวในการทำงาน ผลผลิตต่อไร่ของการปลูกข้าวในไทยไม่ได้ปรับตัวดีขึ้นเท่าไหร่ในช่วงที่ผ่านมา พื้นที่ปลูกข้าวทั้งประเทศร้อยละ 60 อาศัยน้ำฝนและปีนี้ (พ.ศ. 2558) ก็เผชิญภัยแล้งอย่างหนัก ทำให้ผลผลิตในปีนี้ออกมาต่ำกว่าค่าเฉลี่ยมาก ผลผลิตต่อไร่ของไทยต่ำมากเพียง 338 กิโลกรัมต่อไร่ แม้นกระทั่งผลผลิตต่อไร่ในพื้นที่ชลประทานของข้าวไทยเองก็ต่ำกว่าผลผลิตเฉลี่ยต่อไร่ของอาเซียนและโลก ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2524 สมัยรัฐบาลเปรมได้มีการรับจำนำข้าวตันละ 2,500-2,700 บาท เวลานั้นชาวนาส่วนใหญ่ยังมีที่ดินของตัวเอง รัฐบาลได้วางกฎเกณฑ์ในกฎหมายเช่านาให้สัญญาเช่าเป็นแบบ 6 ปีโดยให้จ่ายค่าเช่ารายปีเป็นหลักประกันให้ชาวนาในการประกอบอาชีพ มีการดำเนินนโยบายรับจำนำต่อในสมัยรัฐบาลชาติชายโดยที่ราคาข้าวขยับขึ้นมาจำนำที่ประมาณต้นละ 3,000 กว่าบาท ช่วงนั้นเศรษฐกิจขยายตัวสูงมาก ราคาที่ดินขยับตัวขึ้นสูงมากจนกระทั่งชาวนาและเกษตรกรจำนวนไม่น้อยตัดสินใจขายที่ดินของตัวเองออกมา และ ผืนนาหรือสวนเกษตรต่างๆถูกเปลี่ยนเป็นหมู่บ้านจัดสรรและโรงงานอุตสาหกรรม ต่อมาในยุครัฐบาลชวน รัฐบาลบรรหารและรัฐบาล พล.อ. ชวลิต ยังคงรับจำนำข้าวผ่านกลไก องค์การคลังสินค้า องค์การตลาดเพื่อเกษตรกร กระทรวงพาณิชย์ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร โดยมีคณะกรรมการนโยบายข้าว (กนข) กำกับดูแลนโยบายภาพรวม บางรัฐบาลรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจนั่งประธาน กนข สมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ตัวนายกรัฐมนตรีนั่งเป็นประธานเอง ในช่วงปี พ.ศ. 2550-2554 ผลผลิตเฉลี่ยต่อไร่ของไทยก็ต่ำสุดในกลุ่มประเทศผู้ผลิตข้าวหลักๆของโลกแล้ว แต่ความสามารถในการแข่งขันของข้าวไทยไม่มีปัญหาและการส่งออกข้าวมีปริมาณเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องระหว่างปี พ.ศ. 2520-2554 ปริมาณเพิ่มขึ้นเฉลี่ยถึงปีละ 2.2 แสนตัน ความสามารถในการแข่งขันของข้าวไทยในตลาดโลกและความร่ำรวยจากการส่งออกจึงเป็นผลมาจากการขูดรีดผลประโยชน์ส่วนเกินจากผู้ผลิต คือ ชาวนา เมื่อชาวนาสามารถขายข้าวได้ในราคาสูงจากราคารับจำนำจึงทำให้ปริมาณการส่งออกข้าวลดลงหลังใช้นโยบายรับจำนำข้าว 15,000 บาทต่อเกวียน สิ่งที่สะท้อนว่าความสามารถในการแข่งขันของข้าวไทยในตลาดโลกเป็นผลจากกลยุทธด้านราคาเป็นหลักและต้องกดราคาข้าวในประเทศให้ต่ำ ผู้ผลิตชาวนาจึงได้รับการแบ่งปันผลประโยชน์จากแรงงานของตัวเองไม่มากนัก หากการส่งออกข้าวไทยจะดีขึ้นหรือความสามารถในการแข่งขันดีขึ้นต้องเกิดจาก การลงทุนปรับปรุงพันธุ์ข้าว การเพิ่มผลผลิตต่อไร่และการลดต้นทุน เป็นต้น ราคาผลผลิตทางการเกษตรตกต่ำในปัจจุบันทำให้ภาคเกษตรกรรมหดตัวลงและไม่อยู่ในสภาพที่จะดูดซับแรงงานชนบทได้ ผู้คนในชนบทโดยเฉพาะคนรุ่นหนุ่มสาวค่อยๆถอยห่างจากชนบทและภาคเกษตรกรรมเพื่อหนีความไม่มั่นคงทางด้านรายได้และความยากจน ลูกหลานเกษตรกรไม่อยากเป็นเกษตรกรอีกต่อไป ภาวะดังกล่าวมีความจำเป็นต้องมีมาตรการหรือนโยบายเพื่อยกระดับรายได้เกษตรกรด้วยการแทรกแซงราคาโดยรัฐ ในกรณีของพืชผลเกษตรอย่างเช่น ข้าว ต้องจำเป็นต้องรับจำนำในราคาสูงเพื่อรักษาพื้นที่การผลิตข้าวเอาไว้ การเปลี่ยนแปลงของสภาวะอากาศส่งผลกระทบต่อการผลิตข้าวและพืชผลอื่นๆอย่างรุนแรงมาก มีความจำเป็นต้องสร้างระบบชลประทานทั่วถึงและทันสมัย ลงทุนทางด้านวิจัยและพัฒนาแปรรูปผลผลิตทางการเกษตร ลงทุนทางด้านเทคโนโลยีเพื่อยกระดับรายได้และประสิทธิภาพการผลิตภาคเกษตร ประเทศไทยมีปัญหาความเหลื่อมล้ำและความไม่เป็นธรรมทางเศรษฐกิจรุนแรง จึงจำเป็นต้องใช้นโยบายเชิงรุกด้วยการรับจำนำข้าวในราคาสูง จึงแก้ปัญหาได้รวดเร็วและแน่นอนย่อมมีผลกระทบบางด้านเกิดขึ้นและอาจเกิดแรงต่อต้านจากผู้มีแนวทางแตกต่างหรือผู้เสียผลประโยชน์ การกระจุกตัวของการถือครองที่ดินในสังคมไทยถือว่าเป็นปัญหาที่อยู่ในระดับรุนแรงมากๆเนื่องจากกลุ่มที่ถือครองที่ดินสูงสุด 20% แรกถือครองที่ดินมากกว่ากลุ่มที่ถือครองที่ดินต่ำสุด 20% ล่างสุดมากถึง 325 เท่า นอกจากนี้กลุ่มที่ถือครองที่ดินสูงสุด 20% แรกนี้ยังถือครองที่ดินคิดเป็น 80% กว่า และ คนที่ร่ำรวยที่สุดของประเทศนี้ 10% แรกถือครองที่ดินเกือบ 90% ของทั้งประเทศ นอกจากนี้จากผลการวิจัยทางเศรษฐศาสตร์ว่าด้วยความเหลื่อมล้ำในการถือครองที่ดินยังพบว่า มีค่าสัมประสิทธิ์ความไม่เสมอภาคหรือการกระจายการถือครองที่ดินสูงถึง 0.89 การที่ค่า Gini Coefficient มีค่าสูงเกือบ 0.9 สะท้อนถึงความไม่ธรรมและความไม่เท่าเทียมกันทางเศรษฐกิจที่รุนแรง

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ