สธ. สืบสานพระราชปณิธาน ราชประชาสมาสัย “เปลี่ยนความโทมนัสเป็นพลัง” ชวนสังคมช่วยเหลือดูแลผู้พิการจากโรคเรื้อนให้อยู่ในชุมชนได้อย่างปกติสุข

ข่าวทั่วไป Wednesday January 18, 2017 09:11 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--18 ม.ค.--โฟร์ พี.แอดส์ (96) สธ. สืบสานพระราชปณิธาน ราชประชาสมาสัย "เปลี่ยนความโทมนัสเป็นพลัง" ชวนสังคมช่วยเหลือดูแลผู้พิการจากโรคเรื้อนให้อยู่ในชุมชนได้อย่างปกติสุข ไร้การตีตราที่ยั่งยืน กระทรวงสาธารณสุข น้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช สืบสานพระราชปณิธาน ราชประชาสมาสัย มุ่งเปลี่ยนความโทมนัสให้เป็นพลัง ทำความดีถวายเป็นพระราชกุศล และมอบโล่เชิดชูเกียรติผู้ทำคุณประโยชน์แก่งานโรคเรื้อน พร้อมสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการค้นหาผู้ป่วยโรคเรื้อนรายใหม่ รายละ 2,000 บาท ที่สถาบันราชประชาสมาสัย อ.พระประแดง จ.สมุทรปราการ นายแพทย์ธวัช สุนทราจารย์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยศาตราจารย์นายแพทย์ธีระ รามสูต ประธานมูลนิธิราชประชาสมาสัย ในพระบรมราชูปถัมภ์ นายแพทย์เจษฎา โชคดำรงสุข อธิบดีกรมควบคุมโรค และนายสิทธิผล พวงสุวรรณ ผู้ได้รับพระมหากรุณาธิคุณ ร่วมโครงการสืบสานพระราชปณิธาน ราชประชาสมาสัย "เปลี่ยนความโทมนัสเป็นพลัง" จัดกิจกรรมสาธารณะประโยชน์ เช่น การตรวจสุขภาพ บริการอุดฟัน ถอนฟัน และขูดหินปูนฟรี จัดบริการเรือโดยสารข้ามฟาก เดินทางมายังสถาบันราชประชาสมาสัย ฟรี แก่ประชาชนที่มารับบริการ พร้อมเชิญชวนประชาชนร่วมทำความดีด้วยการช่วยเหลือผู้พิการจากโรคเรื้อนให้สามารถอยู่ในชุมชนได้อย่างปกติสุข นายแพทย์ธวัช สุนทราจารย์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงรับโครงการโรคเรื้อนไว้เป็นโครงการในพระราชดำริ พร้อมทั้งพระราชทานพระราชทรัพย์เพื่อจัดสร้างอาคารสำหรับค้นคว้าวิจัย และอบรมบุคลากรเพื่อขยายโครงการควบคุมโรคเรื้อน โดยเสด็จพระราชดำเนินมาทรงวางศิลาฤกษ์ เมื่อวันที่ 16 มกราคม 2501 และได้เสด็จพระราชดำเนินมาทรงเปิดอาคาร เมื่อวันที่ 16 มกราคม 2503 และได้พระราชทานชื่อว่า สถาบัน"ราชประชาสมาสัย" อันมีความหมายว่า พระราชากับประชาชนอาศัยซึ่งกันและกัน ทั้งนี้ ด้วยพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทำให้ปัญหาโรคเรื้อนลดลงอย่างต่อเนื่อง จากเดิมที่มีอัตราความชุกของโรคเรื้อน 50 รายต่อประชากรหนึ่งหมื่นคน ลดลงเหลือ 0.8 ต่อประชากรหนึ่งหมื่นคนในปี 2537 และปัจจุบันเหลือเพียง 0.07 ต่อประชากรหนึ่งหมื่นคน โดยในปี 2558 มีผู้ป่วยใหม่ 187 ราย แต่ปัญหาความพิการระดับ 2 (ความพิการที่มองเห็นได้) ในผู้ป่วยโรคเรื้อนรายใหม่ยังคงสูงถึงร้อยละ 14 แสดงถึงการค้นพบผู้ป่วยล่าช้า ซึ่งทำให้มีการแพร่โรคต่อไปในชุมชน นอกจากนี้ยังพบผู้ป่วยชาวต่างชาติ 44 ราย ส่วนใหญ่เป็นสัญชาติเมียนมาร์ถึงร้อยละ 95 พบมากใน จ.เชียงใหม่ ตาก และแม่ฮ่องสอน ด้านศาตราจารย์นายแพทย์ธีระ รามสูต ประธานมูลนิธิราชประชาสมาสัย ในพระบรมราชูปถัมภ์ กล่าวว่า ในขณะนี้มูลนิธิราชประชาสมาสัยฯ ได้ดำเนินการจัดตั้งชมรมจิตอาสาราชประชาสมาสัย เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบปัญหาจากโรคเรื้อนและครอบครัว และเผยแพร่ความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับโรคเรื้อน นอกจากนั้นมูลนิธิยังได้สนับสนุนค่าใช้จ่ายในการค้นหาผู้ป่วยโรคเรื้อนรายใหม่ รายละ 2,000 บาท โดยจ่ายให้กับผู้ป่วยทั้งหมดหากเกิดความตระหนักและมาแสดงตัวรับการรักษาด้วยตนเอง และหากมีผู้นำพามารับการรักษา ผู้นำพาจะได้รับ 1,000 บาท และผู้ป่วยได้รับ 1,000 บาท โดยเริ่มตั้งแต่ 16 มกราคม 2560–15 มกราคม 2561 ส่วนนายแพทย์เจษฎา โชคดำรงสุข อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวเพิ่มเติมว่า ประเทศไทยประสบความสำเร็จในการควบคุมและกำจัดโรคเรื้อน และไม่เป็นปัญหาสาธารณสุข ตั้งแต่ปี 2537 แต่ไม่ควรประมาทและต้องเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่อง จึงได้เพิ่มมาตรการเพื่อดำเนินงานเร่งรัดกำจัดโรคเรื้อน ดังนี้ 1) รณรงค์เร่งรัดค้นหา ผู้ป่วยโรคเรื้อนโดยเน้นพื้นที่ที่ยังพบผู้ป่วย ในพื้นที่ 53 อำเภอ ใน 26 จังหวัด 2) การเฝ้าระวังโรคเรื้อนในกลุ่มประชากรต่างด้าว โดยพัฒนาแบบคัดกรองโรคเรื้อนภาษาต่างด้าว ได้แก่ เมียนม่าร์ กัมพูชา ลาว กะเหรี่ยง และยาวี 3) การพัฒนาระบบส่งต่อและระบบให้คำปรึกษาในการวินิจฉัย และรักษาโรคเรื้อน โดยพัฒนาสถานบริการสาธารณสุขเชี่ยวชาญโรคเรื้อน ในทุกเขตบริการสุขภาพ 20 แห่ง สนับสนุนระบบให้คำปรึกษา โดยใช้สื่อสังคมออนไลน์ การส่งต่อประสานงาน เพื่อลดความล่าช้าในการวินิจฉัยโรคเรื้อน และ 4) พัฒนาคุณภาพชีวิตผู้ประสบปัญหาจากโรคเรื้อน ด้วยการสำรวจความพิการ ปัญหาทางสังคมเศรษฐกิจ พร้อมทั้งพัฒนาเครือข่ายเพื่อให้การฟื้นฟูสภาพผู้พิการจากโรคเรื้อนในชุมชน อย่างไรก็ตาม ยังมีผู้ที่หายจากโรคเรื้อนแต่ยังมีความพิการ อาศัยอยู่ในชุมชนประมาณ 6,000 คน ซึ่งมีปัญหาด้านร่างกาย และสังคม เนื่องจากความพิการและการตีตราหรือความรังเกียจที่ยังมีอยู่ในชุมชน จึงขอเชิญชวนประชาชนร่วมทำความดีด้วยการแนะนำผู้มีอาการสงสัยเป็นโรคเรื้อนให้รีบไปรับการตรวจรักษา เป็นกำลังใจให้ผู้ป่วยและครอบครัวให้รับการรักษาอย่างต่อเนื่อง รวมถึงช่วยเหลือดูแลผู้พิการจากโรคเรื้อนให้สามารถอยู่ในชุมชนได้อย่างปกติสุข นำไปสู่การไร้ตีตราที่ยั่งยืน สำหรับอาการของโรคเรื้อน ได้แก่ ผู้ที่มีอาการผิวหนังเป็นวงด่างสีขาว หรือสีแดง ในวงด่างมีผิวแห้ง เหงื่อไม่ออก มีอาการชา หยิกไม่เจ็บ หรือผิวหนังเป็น ตุ่ม ผื่นนูนแดงไม่คัน ใช้ยากิน ยาทา 3 เดือน ไม่หาย ให้รีบไปพบแพทย์โดยเร็ว หากประชาชนมีข้อสงสัยหรือสนใจข้อมูลเพิ่มเติมสามารถติดต่อได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร 1422 ด้านนายแพทย์อาจินต์ ชลพันธ์ ผู้อำนวยการสถาบันราชประชาสมาสัย กรมควบคุมโรค กล่าวเสริมว่าปัจจุบันคนส่วนใหญ่ไม่ค่อยรู้จักโรคเรื้อนและให้ความสนใจเกี่ยวกับโรคนี้ลดลง เพราะคนเป็นโรคนี้น้อยลงเรื่อย ๆ แม้กระทั่งบางคนที่เริ่มมีอาการในระยะแรกก็ยังไม่รู้ว่าตัวเองเป็นโรคเรื้อน ไม่ทราบว่าตัวเองเป็นโรค เนื่องจากผื่นในระยะแรกมักมองเห็นได้ไม่ชัดเจน และไม่มีอาการเจ็บหรือคัน โดยเฉพาะการเกิดผื่นขึ้นในตำแหน่งที่ผู้ป่วยมองไม่เห็นเช่นที่หลังหรือก้น ผู้ป่วยส่วนใหญ่จึงไม่รู้ตัว หรือถ้ารู้ผู้ป่วยก็จะไม่กล้ามารับการรักษา เพราะกลัวว่าผู้อื่นจะรู้ว่าตัวเองเป็นโรคเรื้อนหรือกลัวว่าจะเป็นที่รังเกียจหรือถูกไล่ออกจากงาน จึงขอเน้นย้ำว่าผู้ที่มีอาการของโรคเรื้อนอย่ากลัวที่จะรักษา ไม่ว่าจะเป็นมากหรือน้อย ต้องรีบไปพบแพทย์ เพื่อรักษาได้ที่สถานพยาบาลทุกแห่งทั่วประเทศ เพื่อให้หายขาดจากโรคและลดการแพร่เชื้อในชุมชนต่อไป นอกจากนี้เพื่อลดหรือป้องกันความพิการในผู้ป่วยโรคเรื้อนขอแนะนำว่าถ้าพบว่าตนเองหรือคนในครอบครัวมีอาการน่าสงสัยเป็นโรคเรื้อน เช่น มีอาการชาบริเวณฝ่ามือ ฝ่าเท้า หรือกล้ามเนื้อมือ เท้า หรือกล้ามเนื้อหลับตาอ่อนกำลัง หรือไม่มีแรง อาการเหล่านี้เป็นสัญญาณเตือนว่าเริ่มมีการทำลายเส้นประสาทส่วนปลาย ขอให้รีบไปตรวจรักษา และสำหรับผู้ป่วยกำลังรักษาตัวอยู่ ถ้าปล่อยทิ้งไว้เส้นประสาทจะถูกทำลายอย่างถาวรทำให้มีความพิการได้

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ