ฟิทช์ปรับแนวโน้มอันดับเครดิต บมจ. ปูนซิเมนต์ไทย เป็นบวก; คงอันดับเครดิตที่ 'A(tha)’

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday February 9, 2017 15:42 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--9 ก.พ.--ฟิทช์ เรทติ้งส์ บริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด ประกาศปรับแนวโน้มอันดับเครดิตของ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCC เป็นบวก จากมีเสถียรภาพ และประกาศคงอันดับเครดิตภายในประเทศ (National Rating) ระยะยาว และอันดับเครดิตภายในประเทศของหุ้นกู้ไม่มีหลักประกันและไม่ด้อยสิทธิที่ 'A(tha)' และอันดับเครดิตภายในประเทศระยะสั้นที่ 'F1(tha)' ในขณะเดียวกัน ฟิทช์ประกาศจัดอันดับเครดิตภายในประเทศ (National Rating) ระยะยาวของหุ้นกู้ไม่มีหลักประกันและไม่ด้อยสิทธิชุดใหม่ ของ SCC มูลค่ารวมไม่เกิน 2.5 หมื่นล้านบาท ครบกำหนดไถ่ถอนปี พ.ศ. 2564 ที่ 'A(tha)' โดยเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ครั้งนี้จะนำไปใช้สำหรับชำระคืนหุ้นกู้ที่ครบกำหนดและใช้สำหรับการลงทุนในอนาคต หุ้นกู้ดังกล่าวได้รับการจัดอันดับเครดิตในระดับเดียวกันกับอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวของ SCC เนื่องจากมีสถานะเท่าเทียมกับหนี้ไม่มีหลักประกันและไม่ด้อยสิทธิของ SCC การปรับแนวโน้มอันดับเครดิตเป็นบวกสะท้อนถึงมุมมองของฟิทช์ต่อสถานะทางธุรกิจของ SCC ที่ดีขึ้นจากการขยายกำลังการผลิตและการลงทุนในภูมิภาค ซึ่งเมื่อสัดส่วนของกระแสเงินสดจากการดำเนินงานในภูมิภาคเหล่านี้เพิ่มขึ้นจนมีนัยสำคัญต่อกระแสเงินสดโดยรวมจะช่วยสนับสนุนให้สถานะทางธุรกิจและการเงินของ SCC แข็งแกร่งยิ่งขึ้น ทั้งนี้ ฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่งขึ้นของบริษัทฯ ในช่วงที่ผ่านมาเป็นผลมาจากกระแสเงินสดจากการดำเนินงานที่เติบโตสูงในธุรกิจเคมีภัณฑ์ ซึ่งเป็นธุรกิจที่ได้รับประโยชน์จากราคาน้ำมันที่ลดลง ดังนั้น ฟิทช์ยังคงเฝ้าติดตามความยั่งยืนของผลประกอบการที่แข็งแกร่งขึ้นในธุรกิจเคมีภัณฑ์ต่อไป ปัจจัยที่มีผลต่ออันดับเครดิต ฐานะการเงินที่แข็งแกร่ง – ฟิทช์คาดว่า SCC จะสามารถรักษาอัตราส่วนหนี้สินสุทธิที่ปรับปรุงแล้วต่อกระแสเงินสดจากการดำเนินงานก่อนการเปลี่ยนแปลงของเงินทุนหมุนเวียน (FFO adjusted net leverage) ไว้ได้ในระดับต่ำกว่า 2.8 เท่า แม้ว่าบริษัทฯ จะยังคงอยู่ในช่วงการขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทฯ มีแผนการใช้จ่ายเพื่อการลงทุนจำนวน 2.0-2.5 แสนล้านบาท ในช่วงห้าปีข้างหน้า ผลประกอบการที่แข็งแกร่งของธุรกิจเคมีภัณฑ์ได้ส่งผลให้กระแสเงินสดสุทธิ (Free Cash Flow) ของ SCC ปรับตัวสูงขึ้น และทำให้อัตราส่วนหนี้สินลดลงเร็วกว่าที่คาด มาอยู่ในระดับ 2.0 เท่า ณ สิ้นปี 2559 ซึ่งอัตราส่วนหนี้สินที่ต่ำจะช่วยทำให้ SCC สามารถรองรับค่าใช้จ่ายลงทุนในอนาคตได้โดยที่อัตราส่วนหนี้สินไม่เพิ่มสูงขึ้นจนกระทบอันดับเครดิต การกระจายความเสี่ยงในธุรกิจที่หลากหลาย – ฟิทช์มองว่าการขยายธุรกิจในภูมิภาคของ SCC ในช่วงสองถึงสามปีที่ผ่านมาจะส่งผลให้บริษัทฯ มีการกระจายความเสี่ยงและความสามารถในการทำกำไรที่ดีขึ้นในระยะยาว สัดส่วนของกำลังการผลิตปูนซีเมนต์นอกประเทศไทยต่อกำลังการผลิตทั้งหมดของ SCC จะเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ร้อยละ 25 ในปี 2560 จากร้อยละ 5 ในปี 2557 นอกจากนี้ อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินธุรกิจในภูมิภาคน่าจะอยู่ในระดับที่สูงกว่าอัตราส่วนกำไรจากการส่งออกจากประเทศไทย อันดับเครดิตของ SCC ยังได้รับการสนับสนุนจากการที่บริษัทฯ มีแหล่งที่มาของรายได้จากธุรกิจหลักที่หลากหลาย ได้แก่ ธุรกิจปูนซีเมนต์และวัสดุก่อสร้าง ธุรกิจเคมีภัณฑ์ และธุรกิจบรรจุภัณฑ์ ซึ่งมีส่วนช่วยให้กระแสเงินสดของบริษัทฯ มีความสม่ำเสมอมากขึ้น รวมถึงลดความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจากอุตสาหกรรมใดอุตสาหกรรมหนึ่ง ยกตัวอย่างเช่น ในปี 2558-2559 เป็นช่วงวงจรธุรกิจขาขึ้นของอุตสาหกรรมเคมีภัณฑ์ ซึ่งส่งผลดีต่อผลประกอบการของบริษัทฯ และช่วยชดเชยผลกระทบที่เกิดขึ้นจากอุปสงค์ที่อ่อนแอของอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ในประเทศ สถานะความเป็นผู้นำตลาด – SCC เป็นหนึ่งในกลุ่มบริษัทที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย อันดับเครดิตของ SCC ได้รับการสนับสนุนจากสถานะความเป็นผู้นำตลาดในธุรกิจหลักของบริษัทฯ โดย SCC มีกำลังการผลิตและส่วนแบ่งการตลาดที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยและบางประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สำหรับกลุ่มสินค้าปูนซีเมนต์ กระเบื้องเซรามิก เคมีภัณฑ์ขั้นปลาย (โพลีโอเลฟินส์และพีวีซี) และกระดาษบรรจุภัณฑ์ ฟิทช์คาดว่า SCC จะสามารถรักษากำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ได้ที่ระดับ 7.5-8.0 หมื่นล้านบาทต่อปี และอัตราส่วนกำไรดังกล่าวต่อรายได้ (EBITDA Margin) ได้ที่ระดับร้อยละ 15-17 ในปี 2560-2562 โดยกำไรส่วนใหญ่ของ SCC ในปี 2560 น่าจะยังคงมาจากธุรกิจเคมีภัณฑ์ ในขณะที่การฟื้นตัวของธุรกิจปูนซีเมนต์น่าจะชัดเจนขึ้นในปี 2561 ความผันผวนของธุรกิจ – อันดับเครดิตยังพิจารณารวมถึงการที่ SCC ต้องเผชิญกับความผันผวนของธุรกิจเคมีภัณฑ์ และธุรกิจบรรจุภัณฑ์ ทั้งนี้ SCC มีอิทธิพลในการกำหนดราคาที่จำกัด เนื่องจากสินค้าหลักส่วนใหญ่เป็นสินค้าโภคภัณฑ์ ซึ่งถูกกำหนดราคาโดยอุปสงค์และอุปทานในตลาดโลก การกำหนดอันดับเครดิตโดยสรุป SCC มีสถานะทางธุรกิจที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาบริษัทในกลุ่มอุตสาหกรรมวัสดุก่อสร้างในประเทศไทย ซึ่งรวมถึง บริษัท ปูนซีเมนต์นครหลวง จำกัด (มหาชน) (SCCC, 'A(tha)'/เครดิตพินิจแนวโน้มเป็นลบ) และบริษัท ทิปโก้แอสฟัลท์ จำกัด (มหาชน) (TASCO, 'A-(tha)'/แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ) โดย SCCC และ TASCO ประกอบธุรกิจหลักเพียงอย่างเดียว และ SCCC มีส่วนแบ่งการตลาดในประเทศต่ำกว่าบริษัทฯ ในแง่ของสถานะทางการเงิน SCC มีอัตราส่วนหนี้สินที่สูงกว่า อย่างไรก็ตามประเด็นดังกล่าวสามารถชดเชยได้ด้วยขนาดธุรกิจของ SCC ที่ใหญ่กว่าและการกระจายความเสี่ยงในธุรกิจที่หลากหลายกว่า สมมุติฐานที่สำคัญ สมมุติฐานที่สำคัญของฟิทช์ที่ใช้ในการประมาณการ - รายได้เติบโตในอัตราร้อยละ 10 ต่อปี ในปี 2560 โดยมาจากธุรกิจเคมีภัณฑ์เป็นหลัก และร้อยละ 5 ต่อปี ในปี 2561 โดยมาจากธุรกิจปูนซีเมนต์และวัสดุก่อสร้างเป็นหลัก - EBITDA Margin ลดลงมาอยู่ที่ระดับร้อยละ 15-17 ในปี 2560-2561 - ค่าใช้จ่ายเพื่อการลงทุน 5-6 หมื่นล้านบาทต่อปี ในปี 2560-2561 - อัตราการจ่ายเงินปันผลต่อกำไรสุทธิ (Dividend Payout) ที่ระดับร้อยละ 40-50 ปัจจัยที่อาจมีผลกับอันดับเครดิตในอนาคต ปัจจัยบวก: - กระแสเงินสดจากการดำเนินงานในภูมิภาคเพิ่มขึ้นจนมีสัดส่วนที่มีนัยสำคัญต่อกระแสเงินสดรวม โดยยังคงรักษา FFO adjusted net leverage ให้อยู่ในระดับต่ำกว่า 2.8 เท่า อย่างต่อเนื่อง ปัจจัยลบ: - แนวโน้มอันดับเครดิตอาจถูกปรับเป็นมีเสถียรภาพ หากปัจจัยบวกดังกล่าวข้างต้นไม่เกิดขึ้น สภาพคล่อง สภาพคล่องอยู่ในเกณฑ์ดี: สภาพคล่องของ SCC ได้รับการสนับสนุนจากเงินสดและเงินลงทุนเทียบเท่าเงินสด (ได้รับการปรับปรุงตัวเลขโดยฟิทช์) จำนวน 3.9 หมื่นล้านบาท ณ สิ้นปี 2559 กระแสเงินสดจากการดำเนินงานที่แข็งแกร่งกว่า 5 หมื่นล้านบาทต่อปี และความสามารถในการเข้าถึงแหล่งเงินทุน ผ่านตลาดทุนและตลาดตราสารหนี้ในประเทศ รวมถึงสินเชื่อจากสถาบันการเงิน ณ สิ้นปี 2559 บริษัทฯ มีหนี้ทั้งหมดจำนวน 1.9 แสนล้านบาท โดยร้อยละ 86 เป็นหุ้นกู้ไม่มีหลักประกันและไม่ด้อยสิทธิ สกุลเงินบาท ประมาณร้อยละ 34 ของหนี้ทั้งหมดจะถึงกำหนดชำระในช่วง 12 เดือนข้างหน้า รายละเอียดของอันดับเครดิตทั้งหมด มีดังนี้ SCC - คงอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาว (National Long-term Rating) ที่ 'A(tha)'; ปรับแนวโน้มเครดิตเป็นบวก - คงอันดับเครดิตภายในประเทศระยะสั้น (National Short-term Rating) ที่ 'F1(tha)' - คงอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวของหุ้นกู้ไม่มีหลักประกันและไม่ด้อยสิทธิ ที่ 'A(tha)' -จัดอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวของหุ้นกู้ไม่มีหลักประกันและไม่ด้อยสิทธิชุดใหม่ มูลค่ารวมไม่เกิน 2.5 หมื่นล้านบาท ที่ 'A(tha)'

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ