MGT ตั้ง “โนมูระ” เป็นอันเดอร์ไรท์เตอร์ เคาะไอพีโอ 1.89 บาท คาดเทรด mai 23 ก.พ.นี้

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday February 14, 2017 11:47 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--14 ก.พ.--เดอะเวย์ คอมมิวนิเคชั่น "เมกาเคม (ประเทศไทย)" MGT แต่งตั้ง "โนมูระ พัฒนสิน" เป็นอันเดอร์ไรท์เตอร์ เคาะราคา1.89 บาท ขายหุ้นไอพีโอ 100 ล้านหุ้น ระดมทุนขยายสาขานครพนม หาดใหญ่พร้อมบุกเมียนมาร์ และกัมพูชา จองซื้อ 15-17 ก.พ. คาดเทรดเอ็ม เอ ไอ 23 ก.พ.นี้ นายนิมิต วงศ์จริยกุล กรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์ โนมูระ พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินของบริษัท เมกาเคม (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ MGT เปิดเผยว่า MGT ได้ลงนามในสัญญาแต่งตั้งบริษัทหลักทรัพย์ โนมูระ พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่าย และรับประกันการจัดจำหน่ายหุ้น (อันเดอร์ไรท์เตอร์) พร้อมด้วยบริษัทผู้ร่วมจัดจำหน่าย และรับประกันการจัดจำหน่ายอีก 6 แห่งอันประกอบไปด้วยบริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน), บริษัทหลักทรัพย์ เอเชีย เวลท์ จำกัด, บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด, บริษัทหลักทรัพย์ อาร์เอชบี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน), บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบี (ประเทศไทย) จำกัด และบริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด เพื่อเสนอขายหุ้นสามัญจำนวน 100 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ0.50 บาท โดยใช้ชื่อย่อในการซื้อขายหลักทรัพย์ "MGT" โดยมีการกำหนดราคาเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้กับประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) ของ MGT จำนวน100 ล้านหุ้นอยู่ที่ราคาหุ้นละ 1.89 บาท ราคาดังกล่าวตั้งอยู่บนพื้นฐานของธุรกิจที่มีโอกาสในการเติบโต และด้วยองค์ประกอบของบริษัทฯที่มีความเชี่ยวชาญ และมีประสบการณ์ในการเป็นผู้ให้บริการจัดจำหน่ายเคมีภัณฑ์ประเภทเคมีภัณฑ์ชนิดพิเศษ (Specialty Chemical) แบบครบวงจร ซึ่งการระดมทุนในครั้งนี้ MGT มีแผนที่จะใช้เงินเพื่อขยายสาขาในจังหวัดนครพนม และหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา รวมถึงการขยายสาขาในสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ และกัมพูชา ทั้งนี้หุ้นไอพีโอของ MGT จะเปิดจองซื้อระหว่างวันที่ 15-17 กุมภาพันธ์ 2560 และคาดว่าจะสามารถเข้าทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) ในวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2560 ซึ่งบล.โนมูระ พัฒนสิน ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่าย และรับประกันการจัดจำหน่ายมีความมั่นใจว่า MGT จะได้รับการตอบรับจากนักลงทุนอย่างดีเยี่ยม เนื่องจากในช่วงการนำเสนอข้อมูลบริษัทให้แก่นักลงทุน หรือ โรดโชว์ 3 จังหวัดที่ผ่านมา ได้แก่ เชียงใหม่ ขอนแก่น และหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ได้รับการตอบรับที่ดี "MGT ถือว่าเป็นหุ้นอีกตัวหนึ่งที่มีความน่าสนใจ เพราะอยู่ในธุรกิจให้บริการด้านเคมีภัณฑ์ชนิดพิเศษแบบครบวงจร ซึ่งถือว่าเป็นธุรกิจที่มีโอกาสเติบโตตามอุตสาหกรรมต่าง ๆ โดย MGT ก็มีกลุ่มลูกค้าในอุตสาหกรรมที่หลากหลาย และที่สำคัญทีมงานผู้บริหารเป็นผู้ที่มีประสบการณ์ และมีวิสัยทัศน์ รวมถึงมีความมุ่งมั่นในการพัฒนาธุรกิจเพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มสูงขึ้น ตามการขยายตัวของตลาดในอนาคต ส่วนการโรดโชว์ทั้ง 3 จังหวัด ได้รับความสนใจจากนักลงทุนเป็นอย่างมากจากปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งของบริษัท) ยิ่งทำให้เรามั่นใจว่า MGT จะเป็นอีกหนึ่งบริษัทที่จะมีการเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคตและสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับนักลงทุน" นายนิมิตกล่าว ดร.วิทยา อินาลา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมกาเคม (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ MGT กล่าวว่า บริษัทฯประกอบธุรกิจจัดจำหน่ายเคมีภัณฑ์ประเภทเคมีภัณฑ์ชนิดพิเศษ (Specialty Chemical) สำหรับอุตสาหกรรมต่าง ๆ ซึ่งเป็นเคมีภัณฑ์ที่ใช้เป็นส่วนเติม (Additive) ในส่วนประกอบหลักเพื่อทำปฏิกิริยาเคมีให้ผลิตภัณฑ์มีคุณสมบัติ หรือคุณลักษณะตามที่ต้องการ โดยจัดจำหน่าย และให้บริการเคมีภัณฑ์แบบครบวงจรสำหรับอุตสาหกรรมต่าง ๆ ซึ่งบริษัทฯมีผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายมากกว่า 1,000 ชนิด จากผู้จัดจำหน่ายมากกว่า 400 ราย ครอบคลุมกลุ่มอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น อุตสาหกรรมพอลีเมอร์ (ซึ่งใช้เคมีภัณฑ์ของบริษัทในการบวนการสร้างพอลีเมอร์ หรือ Polymerization สำหรับผลิตภัณฑ์ต่างๆ เช่น พลาสติก เรซิ่น กาว หรือเส้นใยสังเคราะห์เป็นต้น) อุตสาหกรรมสี หรือ อุตสาหกรรมน้ำยาเคลือบผิวโลหะ เป็นต้น ซึ่งบริษัทฯมุ่งเน้นถึงการให้บริการด้านเคมีภัณฑ์ที่หลากหลาย การจัดส่งที่ตรงต่อเวลา มีการให้บริการของบุคลากรที่มีคุณภาพ เพื่อสร้างความสัมพันธ์อันดีให้กับลูกค้า ทั้งนี้บริษัทมีบริษัทร่วม 1 บริษัท คือ บริษัท เวอร์ทิส ลาเท็กซ์ จำกัด มีทุนจดทะเบียนชำระแล้ว 70.12 ล้านบาท ดำเนินธุรกิจผลิต และจำหน่ายหมอน และที่นอนยางพารา โดยบมจ.เมกาเคม (ประเทศไทย) ถือหุ้นในสัดส่วนร้อยละ 30 ของทุนจดทะเบียนชำระแล้ว "เรามีความเชี่ยวชาญในการให้บริการด้านเคมีภัณฑ์ชนิดพิเศษแบบครบวงจร ซึ่งการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ จะทำให้ MGT มีความแข็งแกร่ง มีความพร้อมทางด้านเงินทุน และจะสามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการขยายธุรกิจ และการแข่งขันได้ในอนาคต โดยที่ผ่านมาการทำงาร่วมกับที่ปรึกษาทางการเงินที่เป็นมืออาชีพ ทำให้ขั้นตอนต่าง ๆ เป็นไปตามที่ได้วางไว้ ทำให้เรามีความเชื่อมั่นว่าการเข้าเป็นบริษัทจดทะเบียน จะช่วยยกระดับ และมาตรฐานของบริษัท ให้เป็นที่ยอมรับ มีความน่าเชื่อถือมากขึ้น รวมทั้งแสดงถึงความโปร่งใสขององค์กร ให้กับทั้งคู่ค้าทางธุรกิจ และนักลงทุนอีกด้วย" ดร.วิทยากล่าว ขณะที่ผลการดำเนินงาน 3 ปีย้อนหลัง ในปี 2556 มีรายได้รวม 722.86 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 88.94 ล้านบาท ปี 2557 มีรายได้รวม 615.54 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 55.67 ล้านบาท ปี 2558 มีรายได้รวม 536.19 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 44.75 ล้านบาท ขณะที่ผลประกอบการงวด 9 เดือนแรกของปี 2559 มีรายได้รวม 438.40 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 25.19 ล้านบาท

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ