ทิสโก้ชี้หุ้นโลกปรับฐาน ราคาน้ำมันยังขาดปัจจัยหนุนใหม่ แนะถือเงินสดบางส่วนลดความเสี่ยง พร้อมทยอยเข้าลงทุนหุ้นญี่ปุ่น

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday March 13, 2017 09:00 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--10 มี.ค.--ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป นักลงทุนทยอยขายหุ้นที่ราคาปรับขึ้นสูง บวกกับราคาน้ำมันยังขาดแรงสนับสนุนใหม่ๆ เป็นปัจจัยฉุดตลาดหุ้นโลกเข้าสู่โหมดปรับฐาน แนะถือเงินสดบางส่วนเพื่อลดความเสี่ยง และทยอยลงทุนหุ้นญี่ปุ่นรับอานิสงส์ดอลลาร์ฯ แข็งค่า นายคมศร ประกอบผล หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ (Mr. Komsorn Prakobpol, Head of Strategy Unit, TISCO Economic Strategy Unit: TISCO ESU) กล่าวว่า นับตั้งแต่การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในวันที่ 8 พ.ย. ปีที่แล้ว ตลาดหุ้นทั่วโลกได้ปรับตัวขึ้นมาเป็นอย่างมาก จากความคาดหวังต่อนโยบายลดภาษีและแผนการลงทุนภาครัฐจากประธานาธิบดี Donald Trump โดยปัจจัยการปรับตัวขึ้นของราคาหุ้นทั่วโลกในช่วงที่ผ่านมา ทำให้ค่า P/E ซึ่งสะท้อนความคาดหวังของนักลงทุนเพิ่มขึ้นมาอยู่ในระดับสูง อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์ยังไม่ได้มีการปรับประมาณผลกำไรของบริษัทเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ และการแถลงนโยบายต่อรัฐสภาของประธานาธิบดี Trump (State of the Union) เมื่อวันที่ 28 ก.พ. ไม่ได้มีรายละเอียดด้านนโยบายเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นตามที่ตลาดคาดหวัง จึงทำให้นักลงทุนเริ่มทยอยขายหุ้นที่ราคาปรับตัวขึ้นมามาก นอกจากนี้ ตลาดหุ้นยังเผชิญแรงฉุดจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลงแรงในช่วงนี้ หลังจากสต็อกและปริมาณการผลิตน้ำมันดิบในสหรัฐฯ กลับมาเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง สวนทางกับความต้องการของกลุ่มประเทศผู้ผลิตน้ำมัน (OPEC) ที่ตกลงลดปริมาณการผลิตเพื่อควบคุมสต็อกน้ำมันดิบโลกที่อยู่ในระดับสูงให้กลับมาลดลงในปีนี้ โดยราคาน้ำมันที่ฟื้นตัวขึ้นมาราว 20% หลังจากข้อตกลงลดปริมาณการผลิตของกลุ่ม OPEC ในเดือน พ.ย. ได้ทำให้ผู้ผลิตน้ำมัน Shale Oil ในสหรัฐฯ เริ่มกลับมาลงทุนขุดเจาะน้ำมันอีกครั้ง ซึ่งจะเห็นได้จากจำนวนแท่นขุดเจาะน้ำมันดิบในสหรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้นถึงเกือบเท่าตัว และทำให้ปริมาณการผลิตน้ำมันดิบจากสหรัฐฯ กลับมาเพิ่มขึ้น โดยกระทรวงพลังงานสหรัฐฯ ประเมินว่า ปริมาณการผลิตน้ำมันจากสหรัฐฯ จะเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง และทำจุดสูงสุดใหม่ในปี 2018 ที่ 9.7 ล้านบาร์เรลต่อวัน เราจึงคาดว่า ราคาน้ำมันและตลาดหุ้นโลกยังอยู่ในช่วงปรับฐาน เนื่องจากยังขาดปัจจัยสนับสนุนใหม่ โดยนักลงทุนควรจับตาการรายงานตัวเลขสต็อกน้ำมันดิบของกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว (OECD) ในวันที่ 15 มี.ค. ที่จะถึงนี้ ซึ่งหากตัวเลขสต็อกน้ำมันดิบรวมของ OECD กลับมาเพิ่มขึ้นตามสต็อกในสหรัฐฯ ก็อาจเป็นปัจจัยชี้ว่าการลดปริมาณการผลิตของกลุ่ม OPEC ที่ผ่านมานั้นยังไม่เพียงพอที่จะกำจัดอุปทานส่วนเกินในตลาดโลก นอกจากนี้ เรายังต้องติดตามผลการประชุม OPEC ครั้งถัดไปในวันที่ 31 พ.ค. ซึ่งสมาชิกจะกลับมาหารือกันว่าจะต่ออายุข้อตกลงลดปริมาณการผลิตซึ่งจะหมดอายุลงในเดือน มิ.ย. ต่อไปอีกหรือไม่ ซึ่งหาก OPEC ไม่สามารถตกลงกันได้ ราคาน้ำมันก็มีความเสี่ยงที่จะกลับมาลดลงในช่วงครึ่งหลังของปี เราแนะนำให้นักลงทุนถือเงินสดบางส่วนเพื่อลดความเสี่ยงจากการที่ตลาดปรับฐานในช่วงนี้ และแนะนำทยอยเข้าลงทุนในตลาดหุ้นญี่ปุ่นซึ่งจะได้ประโยชน์จากแนวโน้มการแข็งค่าของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ตามการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed)

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ