เบเคอร์ แม็คเค็นซี่ เผยกระแสการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีคือความซับซ้อนอันดับหนึ่งที่ส่งผลต่อธุรกิจในเอเชียแปซิฟิก คาดจะพลิกโฉมองค์กรธุรกิจในวงกว้าง

ข่าวทั่วไป Thursday March 30, 2017 12:55 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--30 มี.ค.--Baldwin Boyle Group เบเคอร์ แม็คเค็นซี่ บริษัทที่ปรึกษาด้านกฎหมายชั้นนำของโลก ร่วมกับ Mergermarket ผู้ให้บริการสำรวจและวิจัยตลาด เปิดเผยรายงานฉบับล่าสุด "The Asia Pacific Business Complexities Survey 2017" (การสำรวจความซับซ้อนของธุรกิจในเอเชียแปซิฟิกประจำปี 2560) โดยสำรวจความคิดเห็นผู้บริหารบริษัทชั้นนำที่มีสำนักงานอยู่ในเอเชียแปซิกจำนวน 150 คน พบว่า เทคโนโลยี ทั้งที่เป็น เทคโนโลยีที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างพลิกผัน (Disruption Technology) หรือ ความต้องการเทคโนโลยีเพื่อก่อให้เกิดนวัตกรรมใหม่ (Innovation) คือความซับซ้อนหลักที่ธุรกิจในเอเชียกำลังเผชิญอยู่ในปัจจุบัน โดยร้อยละ 44 หรือเกือบครึ่งหนึ่งของผู้ตอบแบบสำรวจ เป็นผู้บริหารขององค์กรธุรกิจไทยหรือบริษัทต่างชาติที่มีสำนักงานในประเทศไทย การสำรวจความซับซ้อนของธุรกิจในเอเชียแปซิฟิกประจำปี 2560 พบว่า ความซับซ้อนลำดับแรกที่บริษัททั่วทั้งภูมิภาคกล่าวถึง คือ ความต้องการที่จะขับเคลื่อนนวัตกรรมด้วยการใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ อันดับถัดมาได้แก่ ความกดดันด้านต้นทุนจากการดำเนินงานและกำไรขั้นต้นที่ลดลง และ การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีของคู่แข่ง ผู้ตอบแบบสำรวจทุกกลุ่มรวมกันร้อยละ 84 คาดว่าธุรกิจที่ให้บริการ Disruption Technology จะเข้ามาสร้างความท้าทายให้กับธุรกิจของพวกเขาภายในเวลาเพียง 2 ปี ในขณะที่ตัวเลขนี้เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 97 ในกลุ่มสถาบันการเงิน และร้อยละ 96 ในกลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวกับผู้บริโภคและค้าปลีก การที่เทคโนโลยีได้รับการจัดอันดับให้เป็นความซับซ้อนในอันดับแรก อาจไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจนัก หากพิจารณาจากจำนวนบริษัทที่คาดว่าจะต้องเผชิญหน้ากับความพลิกผันจากเทคโนโลยีในอีก 2 ปีข้างหน้านั้น ส่วนบริษัทที่คิดว่าตนเองมีภูมิต้านทานและพร้อมรับมือกับเรื่องนี้ ต้องหยุดคิดอีกครั้ง ขณะเดียวกัน ความซับซ้อนด้านภูมิรัฐศาสตร์ก็เป็นอีกหนึ่งความกังวลของผู้บริหาร เนื่องจากประเด็นปัญหาของข้อตกลงหุ้นส่วนยุทธศาสตร์เศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (Trans-Pacific Partnership: TPP) ที่ส่งผลกระทบต่อผู้ตอบแบบสำรวจถึงร้อยละ 79 นอกจากนี้ ผลการสำรวจยังสะท้อนให้เห็นถึงแนวโน้มด้านภูมิรัฐศาสตร์ กล่าวคือ ผู้ตอบแบบสำรวจในสัดส่วนที่สูงถึงร้อยละ 95 คาดว่าเศรษฐกิจของอินเดียจะมีอิทธิพลต่อภูมิภาคนี้เพิ่มขึ้นใน 5 ปีนับจากนี้ ในขณะที่ร้อยละ 77 เห็นว่าเศรษฐกิจจีนจะยังคงมีอิทธิพลเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในทางตรงกันข้าม อิทธิพลของสหรัฐฯ ที่มีต่อเอเชียแปซิฟิกจะลดลง โดยมีเพียงร้อยละ 16 เท่านั้นที่คิดว่าเศรษฐกิจของสหรัฐฯ จะมีอิทธิพลต่อภูมิภาคนี้เพิ่มขึ้นในช่วง 5 ปีข้างหน้า ในขณะที่เกือบครึ่งหนึ่งหรือราวร้อยละ 48 ของผู้ตอบแบบสำรวจคาดว่าจะลดลง นายแกรี่ ซีพ ประธานบริษัทเบเคอร์ แม็คเค็นซี่ ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก กล่าวถึงผลการวิจัยว่า "ปัจจุบัน โลกธุรกิจมีความสลับซับซ้อนมากขึ้นกว่าที่ผ่านมา หากสามารถระบุและคาดการณ์ได้ว่า ความซับซ้อนที่จะส่งผลต่อบริษัทและภาคอุตสาหกรรมคืออะไร ก็จะช่วยให้ทั้งภาครัฐและเอกชนสามารถเตรียมความพร้อมเพื่อรับมือกับสภาวะแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วนี้ได้ดียิ่งขึ้น" สำหรับแนวโน้มสำคัญอื่นๆ ที่พบในการวิจัยครั้งนี้ เช่น ผู้ตอบแบบสำรวจจำนวนสูงถึงร้อยละ 94 ต่างเห็นตรงกันว่าจะมีการควบรวมกิจการในภูมิภาคเพิ่มมากขึ้น ในขณะที่ 2 ใน 3 ของผู้ตอบแบบสำรวจมองว่า ภาคธุรกิจจะมีการฟ้องร้องดำเนินคดีเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน ทั้งนี้ องค์กรธุรกิจในเอเชียแปซิฟิกให้ความสำคัญกับ 3 ประเด็นหลักเพื่อแก้ปัญหาความซับซ้อนในการดำเนินธุรกิจอย่างเร่งด่วน ซึ่งประกอบด้วย การเปลี่ยนแปลงด้านการกำกับดูแลที่เอื้อต่อการทำธุรกิจ การปรับปรุงโครงสร้างภาษีให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับองค์กร และการนำนวัตกรรมมาใช้ในการดำเนินธุรกิจ นายทินวัฒน์ พุกกะมาน กรรมการผู้จัดการ เบเคอร์ แม็คเค็นซี่ ประเทศไทย กล่าวว่า "ประเทศไทยกำลังตื่นตัวด้านฟินเทค โดยองค์กรขนาดใหญ่หลายแห่งหันมาให้การสนับสนุนผู้ประกอบการธุรกิจสตาร์ทอัพ (Start-up) นอกจากนี้ การควบรวมกิจการในปี 2559 มีการขยายตัวเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในภาคการผลิต ธุรกิจค้าปลีก ธุรกิจอาหาร รวมทั้งธุรกิจการเงินและการประกันภัย และคาดว่าจะยังคงขยายตัวต่อเนื่องในปี 2560 โดยดีลใหญ่ๆ จะมาจากธุรกิจไทยที่ขยายกิจการไปยังประเทศต่างๆ ในประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน และนักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในประเทศไทย"
แท็ก เอเชีย  

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ