SGF เปลี่ยนชื่อใหม่เป็น "เอสจีเอฟ แคปปิตอล" รุกหนัก! ผุดสาขาใหม่ 20 แห่ง มั่นใจครบ 60 สาขาในปีนี้ แย้มอยู่ระหว่างเจรจาซื้อกิจการ คาดได้ข้อสรุปเร็วๆ นี้

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday April 28, 2017 12:58 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--28 เม.ย.--IR network ผู้ถือหุ้น SGF ไฟเขียวเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น "เอสจีเอฟ แคปปิตอล" เดินหน้ารุก!! ผุดสาขาใหม่ 20 แห่ง เรียบร้อย มั่นใจครบ 60 สาขา -พอร์ตสินเชื่อรวมแตะ 2,000 ล้านบาท ภายในสิ้นปี"60 ตามเป้า "ดร.วิวัฒน์ วิฑูรย์เธียร" แย้มอยู่ระหว่างเจรจาซื้อกิจการ คาดได้ข้อสรุปชัดเจนเร็วๆ นี้ เชื่อรายได้และกำไรของบริษัทฯ ทำสถิติสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง ดร.วิวัฒน์ วิฑูรย์เธียร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สยามเจเนอรัลแฟคตอริ่ง จำกัด (มหาชน) (SGF) เปิดเผยว่า ที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2560 มีมติเห็นชอบเปลี่ยนแปลงชื่อบริษัทฯ จากเดิม "บริษัท สยามเจเนอรัลแฟคตอริ่ง จำกัด (มหาชน)" เปลี่ยนเป็น "บริษัท เอสจีเอฟ แคปปิตอล จำกัด (มหาชน)" สำหรับการดำเนินธุรกิจในปี 2560 ซึ่งเป็นปีที่บริษัทฯ เดินหน้ารุกธุรกิจสินเชื่อรายย่อยอย่างเต็มตัว ขณะนี้ถือว่ามีความคืบหน้าเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะการขยายสาขาใหม่เพื่อรองรับปริมาณความต้องการสินเชื่อที่มีอยู่สูง โดยขณะนี้มีจำนวนสาขาใหม่ทั้งสิ้นแล้ว 18 สาขา ส่วนใหญ่กระจายอยู่ในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งภายในสิ้นเดือนเมษายนนี้ คาดว่าจะมีสาขาเพิ่มไม่ต่ำกว่า 20 สาขาแน่นอน โดยภายในปี2560 นี้ บริษัทฯมีเป้าหมายขยายสาขาให้ได้ 60 สาขา ส่วนความคืบหน้าในการเข้าการซื้อกิจการหลังจากที่ประสบผลสำเร็จในการเข้าซื้อกิจการ "ปัญญามั่นคง" ผู้ประกอบกิจการเช่าซื้อจำนำรถจักรยานยนต์ รายใหญ่ ใน จ. สมุทรสาคร ไปแล้วนั้น ขณะนี้บริษัทฯอยู่ระหว่างการเจรจากันอยู่กับผู้ประกอบหลายราย ซึ่งคาดว่าจะมีความชัดเจนได้ในเร็วๆ นี้ ทั้งนี้ ในปี 2560 บริษัทฯ มีเป้าหมายเข้าซื้อกิจการให้ได้ 3- 4 แห่ง และมั่นใจจะสามารถทำได้ตามแผน "ตอนนี้เราเดินหน้าเต็มกำลังในการเจรจาเข้าซื้อกิจการ และขยายสาขาใหม่ ซึ่งเป้าหมายขยายสาขาให้ได้ 60 สาขา ภายในสิ้นปี 2560 การเข้าซื้อกิจการให้ได้ 3-4 แห่ง รวมถึงตัวเลขการปล่อยสินเชื่อคงค้างให้ได้ภายในปีนี้ที่ระดับ 2,000 ล้านบาท มั่นใจว่าจะเป็นไปตามเป้าหมายอย่างแน่นอน"ดร.วิวัฒน์กล่าว ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สยามเจเนอรัลแฟคตอริ่ง จำกัด (มหาชน) (SGF) กล่าวอีกว่า ขณะนี้บริษัทฯ มีตัวเลขสินเชื่อคงค้างทั้งรายใหญ่และรายย่อยจำนวน 800-900 ล้านบาท และแนวโน้มยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง จากความต้องการสินเชื่อรายย่อยยังเติบสูง ซึ่งแนวโน้มดังกล่าวจะช่วยผลักดันให้รายได้และกำไรทำสถิติสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง ส่วนเรื่องหนี้เสียนั้น มองว่าไม่ได้เป็นปัญหา เพราะบริษัทฯมีระบบ การบริหารจัดการและมีความมีความเชี่ยวชาญในการดูจัดการกับเรื่องนี้อยู่แล้ว

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ