อุตฯ นำทีม กสอ. - สสว. – เอสเอ็มอีแบงค์ ถก สภาพัฒนาการค้าฮ่องกง พร้อมเผยโอกาสทองนโยบายต่อยอด “เส้นทางสายไหม” เชื่อมผู้ประกอบไทยสู่ อาเซียน จีน ฮ่องกง

ข่าวทั่วไป Monday May 1, 2017 09:00 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--28 เม.ย.--เจซีแอนด์โค พับลิครีเลชั่นส์ ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีพร้อมด้วยผู้บริหารจากกระทรวงอุตสาหกรรม กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (กสอ.) สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) และธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ร่วมเดินทางเยี่ยมเยือนเขตบริหารพิเศษฮ่องกง เพื่อลงนามบันทึกความเข้าใจความร่วมมือในการส่งเสริมธุรกิจ SMEsกับองค์การสภาพัฒนาการค้าฮ่องกง (HKTDC) โดยความร่วมมือในครั้งนี้ทั้ง 2 ประเทศจะให้ความร่วมมือในการส่งเสริมธุรกิจ SMEs 3ด้าน คือ 1. การแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านการส่งเสริมพัฒนา SMEs 2.การจัดกิจกรรมส่งเสริม SMEs ร่วมกัน 3.การสัมมนาและประชาสัมพันธ์ รวมถึงการส่งเสริมสินค้าของประเทศไทยไปยังตลาดทั่วโลกผ่านเว็บไซต์ทางการค้าออนไลน์ www.hktdc.com ทั้งนี้ ยังจะมุ่งส่งเสริมให้ผู้ประกอบการไทยใช้ประโยชน์จากนโยบาย One Belt-One Road หรือ นโยบายหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง ซึ่งเป็นนโยบายที่พัฒนามาจากเส้นทางสายไหม เพื่อขยายไปยังประเทศอื่นๆ ในเอเชีย ดร.อุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า เนื่องด้วยสถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในโลกยุคปัจจุบันส่งผลให้เกิดการแข่งขันทางเศรษฐกิจในระดับที่สูงขึ้น จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ขณะนี้จะต้องมีการรวมตัวหรือรวมกลุ่มเพื่อสร้างความร่วมมือในการดำเนินกิจกรรมเศรษฐกิจในรูปแบบต่างๆ เพื่อที่จะส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในหลายๆ ด้านโดยเฉพาะด้านการพัฒนาอุตสาหกรรม ทั้งนี้ ประเทศไทยเองก็ถือเป็นประเทศหนึ่งซึ่งมีการรวมกลุ่มและได้รับความร่วมมืออันดีจากหลายๆ ภูมิภาคมาโดยตลอด และเพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรมไทยให้เจริญก้าวหน้ายิ่งขึ้น ล่าสุดหน่วยงานหลักที่เกี่ยวข้องซึ่งนำโดย ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยผู้คณะบริหารจากกระทรวงอุตสาหกรรม กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (กสอ.) สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) และธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME Development Bank) จึงได้มีการเดินทางเยี่ยมเยือนเขตบริหารพิเศษฮ่องกงแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ในระหว่างวันที่ 26 – 29 เมษายน 2560 นี้ ซึ่งจะได้ผลักดันให้มีการลงนามบันทึกความเข้าใจเรื่องความร่วมมือในการส่งเสริมธุรกิจ SMEs ของทั้งสองประเทศ รวมถึงการหารือในเรื่องกรอบการส่งเสริมSMEs กับองค์การสภาพัฒนาการค้าฮ่องกง (Hong Kong Trade Development Council: HKTDC) โดยข้อกำหนดต่างๆ ในการลงนามความร่วมมือในครั้งนี้จะถูกนำมาใช้ในการพัฒนาวิสาหกิจในระดับต่างๆ ของไทยในปีนี้และอนาคตข้างหน้า ดร.อุตตม กล่าวเสริมว่า การเชื่อมโยงและการสร้างความร่วมมือกับฮ่องกง ถือเป็นโอกาสทองในการทำธุรกิจของผู้ประกอบการไทย เนื่องจากฮ่องกงถือเป็นเมืองหน้าด่านที่สำคัญของจีนในฐานะตัวเชื่อมระหว่างจีนกับเขตเศรษฐกิจอื่น ๆ ในภูมิภาค ความพร้อมของฮ่องกงจึงเป็นโอกาสที่ดีอย่างยิ่งสำหรับผู้ประกอบการไทยที่กำลังมองหาช่องทางในการขยายธุรกิจไปยังระดับภูมิภาคและระดับโลก โดยเฉพาะหลังจากที่ประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ประกาศนโยบาย "One Belt-One Road" หรือ นโยบายหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง ซึ่งเป็นนโยบายที่สำคัญที่พัฒนามาจากเส้นทางการค้าอันเก่าแก่ของจีนที่ชื่อว่าเส้นทางสายไหม โดยนโยบายดังกล่าวจะมุ่งเน้นการเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจระหว่างจีนกับภูมิภาคอื่นๆ ของโลกทั้งทางบกและทางทะเล ซึ่งเป็นที่แน่นอนว่าเส้นทางทะเลนั้นมีผลโดยตรงในด้านการค้า การลงทุน และการเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจของจีน ฮ่องกง และภูมิภาคอาเซียน ดังนั้น เมื่อผู้ประกอบการไทยได้มองเห็นว่าฮ่องกงเป็นเมืองสำคัญเมืองหนึ่งบนเส้นทางดังกล่าวนี้แล้ว จึงต้องเร่งใช้ประโยชน์จากฮ่องกงทั้งจากการเป็นเมืองเอกลักษณ์ในการดึงดูดนักท่องเที่ยว ความสามารถเฉพาะตัวในการบริการทางการเงิน (Fintech) และการเป็นเมืองที่มีศักยภาพในการเชื่อมต่อเทคโนโลยีกับการค้าและการบริการ มาช่วยอำนวยความสะดวกในแง่การลงทุนระหว่างไทย โดยโอกาสที่สำคัญในครั้งนี้ยังจะมีผลต่อการขยายธุรกิจของไทยไปยังประเทศอื่นๆ ในเอเชียได้เป็นอย่างดีอีกด้วย ด้าน ดร.พสุ โลหารชุน อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กล่าวว่า นอกจากการหารือถึงความร่วมมือในการส่งเสริมและพัฒนา SMEs แล้ว ในการเดินทางเยือนฮ่องกงในครั้งนี้ ดร.อุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ยังได้ผลักดันให้มีการลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ระหว่าง กสอ. สสว. และ HKTDC โดย HKTDC ถือเป็นหน่วยงานหลักในการส่งเสริมเชื่อมโยงการค้าการลงทุนของฮ่องกง มีการจัดงานนิทรรศการในระดับสากลกว่า 30 งานต่อปี ทั้งยังมีการเชื่อมโยงธุรกิจ Business Matchingการสร้างช่องทางการขายผ่าน Online Marketplace รวมถึงการส่งเสริมพัฒนาศักยภาพของผู้ประกอบการให้เข้าสู่ตลาดสากล โดยรายละเอียดของการลงนามบันทึกความเข้าใจเรื่องความร่วมมือในการส่งเสริมธุรกิจ SMEs มีกรอบกิจกรรม 3 ด้าน คือ 1) การแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านการส่งเสริมพัฒนา SMEs 2) การจัดกิจกรรมส่งเสริม SMEs ร่วมกัน 3) การสัมมนาและประชาสัมพันธ์ นอกจากนี้ ยังมีการส่งเสริมสินค้าของประเทศไทยไปยังตลาดทั่วโลกผ่านเว็บไซต์ทางการค้าออนไลน์ www.hktdc.com โดยจะมุ่งส่งเสริมการค้าการลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ประกอบการในงานสร้างสรรค์และออกแบบ (CreativeStartup) อาทิ สาขาแฟชั่น เครื่องประดับแฟชั่น เครื่องใช้ในครัวเรือน ของขวัญและของชำร่วย ของเล่น งานหัตถกรรมและผลิตภัณฑ์ตกแต่งบ้าน อาหาร สินค้าการเกษตร และสินค้าไลฟ์สไตล์ โดย HKTDC จะมอบสิทธิ์ในการทดลองประชาสัมพันธ์ผ่านเว็บไซต์เป็นเวลา 12เดือนแก่ผู้ประกอบการไทย 200 ราย รวมถึง โอกาสเข้าร่วมการฝึกอบรมและพัฒนาธุรกิจ และหลังจากเสร็จสิ้นกิจกรรมอบรมดังกล่าวผู้ประกอบการที่ผ่านการคัดเลือกจะได้รับโอกาสเข้าร่วมจัดแสดงสินค้าในงานแสดงสินค้านานาชาติของ HKTDC เพื่อให้ได้เข้าถึงกลุ่มผู้ซื้อจากนานาชาติ นอกจากนี้ในส่วนของธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (SME Development Bank) จะเป็นหน่วยงานประสานให้เกิดความร่วมมือการพัฒนา SMEs โดยจะส่งเสริมให้เกิดความร่วมมือกับ HKTDC ในการเชิญวิทยากรผู้เชี่ยวชาญจาก HKTDC มาให้ความรู้หรือข้อมูลเกี่ยวกับฮ่องกงแก่ผู้ประกอบการไทยที่เป็นลูกค้าของธนาคาร เพื่อให้สามารถขยายช่องทางการตลาดไปสู่ต่างประเทศ และการเชื่อมโยงการค้าและการร่วมลงทุนระหว่างผู้ประกอบการ SMEs ไทย กับผู้ประกอบการ SMEsฮ่องกงด้วย อย่างไรก็ดี สำหรับความร่วมมือในการส่งเสริมพัฒนา SMEs ในอดีตที่ผ่านมา กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (กสอ.) และ สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ได้ร่วมมือกับองค์การสภาพัฒนาการค้าฮ่องกง (HKTDC) ผ่านการจัดกิจกรรมส่งเสริมเชื่อมโยงการค้ารูปแบบต่างๆ มาอย่างดีและต่อเนื่อง โดยเฉพาะการนำผู้ประกอบการ SMEs ไทยเดินทางไปยังฮ่องกงเพื่อไปทดลองตลาดในงานแสดงสินค้านานาชาติ เช่น งานแสดงสินค้า Food Expo ณ Hong Kong Convention and Exhibition Centre โดยมุ่งกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย เช่น แฟชั่นเครื่องนุ่งห่ม เครื่องประดับ อาหาร สินค้าการเกษตร และสิ่งทอ เป็นต้น ดร.พสุกล่าวปิดท้าย สำหรับผู้ที่สนใจรายละเอียด สามารถสอบสามข้อมูลเพิ่มเติมด้ที่ กรรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม โทรศัพท์ 02-2024414 – 18 หรือเข้าไปที่ www.dip.go.th

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ