TNR เร่งเครื่องดันผลการดำเนินงานไตรมาส 2-4 เติบโตตามแผน พร้อมรุกหนักเพิ่มรายได้ธุรกิจ OEM และถุงยางอนามัย 'Onetouch-Niptex’ คาดครึ่งปีหลังทยอยรับรู้รายได้จากแบ็กล็อกงานประมูลในมือเพิ่มขึ้น

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday May 9, 2017 11:45 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--9 พ.ค.--เอ็ม ที มัลติมีเดีย บมจ.ไทยนิปปอนรับเบอร์อินดัสตรี้ (TNR) ผู้ผลิตและจำหน่ายถุงยางอนามัยจากน้ำยางธรรมชาติรายใหญ่ที่สุดในไทยและรายใหญ่ของโลกรวมถึงผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องภายใต้แบรนด์ 'Onetouch' และ 'Niptex' เร่งดันผลการดำเนินงาน ไตรมาส 2-4 เติบโตได้ตามแผนงาน หลังผลการดำเนินงานไตรมาสแรกของปีนี้ชะลอตัว จากผลกระทบธุรกิจงานประมูลในต่างประเทศแข่งขันราคาสูงขึ้นและธุรกิจ OEM ที่มีรายได้ลดลง ด้านผู้บริหารวางแผนรุกขยายฐานลูกค้า OEM เตรียมเจรจาลูกค้าในจีนและญี่ปุ่นเพื่อร่วมมือวางแผนขยายตลาด และเร่งเพิ่มยอดขายสินค้าภายใต้แบรนด์ของตนเอง ทั้ง 'Onetouch' และ 'Niptex' คาดครึ่งปีหลังบริษัทฯ จะรับรู้รายได้จากแบ็กล็อกงานประมูลผลิตถุงยางอนามัยที่ได้งานเมื่อปีที่ผ่านมาจากองค์กร NGOs ของสหรัฐฯ ช่วยหนุนผลการดำเนินงานเติบโต นายอมร ดารารัตนโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยนิปปอนรับเบอร์อินดัสตรี้ จำกัด (มหาชน) หรือ TNR ผู้ผลิตและจำหน่ายถุงยางอนามัยจากน้ำยางธรรมชาติรายใหญ่ที่สุดในไทยและรายใหญ่ของโลกรวมถึงผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องภายใต้แบรนด์ 'Onetouch' และ 'Niptex' เปิดเผยว่า บริษัทฯ ตั้งเป้าผลักดันผลการดำเนินงานในไตรมาส 2-4 นี้เติบโตได้ตามแผนงานที่วางไว้ หลังจากที่ภาพรวมผลการดำเนินงานไตรมาส 1/60 ได้รับผลกระทบจากมาร์จิ้นและปริมาณการขายสินค้าที่ลดลง โดยมีปัจจัยหลักจากธุรกิจงานประมูล (Tender) ถุงยางอนามัยในต่างประเทศที่แข่งขันราคาสูงขึ้น ส่งผลให้ราคาเฉลี่ยของงานที่ชนะประมูลในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนธุรกิจรับจ้างผลิตสินค้า (OEM) ได้รับผลกระทบจากลูกค้าหลักในกลุ่มทวีปเอเชียโดยเฉพาะประเทศจีนที่ชะลอการสั่งสินค้า เนื่องจากลูกค้าได้เปลี่ยนนโยบายการบริหารสินค้าคงคลัง ซึ่งมีผลให้สัดส่วนการซื้อสินค้าเปลี่ยนไป โดยเป็นสินค้าที่มีอัตรากำไรต่ำกว่า นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยอื่น ๆ ที่มีผลกระทบกับผลการดำเนินงาน ได้แก่ เงินบาทที่แข็งค่าเมื่อเทียบกับไตรมาส 4 ของปีที่ผ่านมาและราคาน้ำยางพาราซึ่งเป็นวัตถุดิบในการผลิตเพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้บริษัทฯ มีรายได้รวมในไตรมาส 1/60 จำนวน 242.5 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 3.4 ล้านบาท ชะลอตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ทั้งนี้ แผนการดำเนินงานในไตรมาส 2-4 ของปีนี้ บริษัทฯ จะเร่งเพิ่มรายได้จากธุรกิจ OEM โดยมุ่งเน้นการขยายฐานลูกค้ารายใหม่และเจรจากับลูกค้ารายเดิมในประเทศจีนเพื่อร่วมมือวางแผนในการขยายตลาด ส่วนธุรกิจผลิตและจำหน่ายถุงยางอนามัยและเจลหล่อลื่นภายใต้แบรนด์ของบริษัทฯ จะเร่งเพิ่มยอดขายสินค้าแบรนด์ 'Onetouch' โดยเตรียมทำกิจกรรมการตลาดทั้งโปรโมชั่นส่งเสริมการขาย เนื่องจากผลกระทบจากไตรมาส 4 ที่ผ่านมา ทำให้บริษัทฯ ไม่ได้มีการทำกิจกรรมส่งเสริมการขายอย่างต่อเนื่อง โดยในไตรมาส 2 ของปีนี้ บริษัทฯ ได้ทำแคมเปญเพื่อรุกสร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะถุงยางอนามัย Onetouch รุ่น 003 ซึ่งเป็นถุงยางอนามัยรุ่นใหม่ที่ผลิตจากน้ำยางธรรมชาติที่มีความบางที่สุดเท่าที่บริษัทฯ เคยผลิต พร้อมทั้งจะเร่งสร้างยอดขายจาก 'Niptex' ซึ่งเป็นแบรนด์ใหม่ที่เริ่มเข้าไปรุกตลาดในประเทศเวียดนาม ส่วนธุรกิจ Tender นั้น หลังจากที่บริษัทฯ ชนะงานประมูลผลิตถุงยางอนามัยองค์กร NGOs ของประเทศสหรัฐฯ มูลค่าประมาณ 8 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 270-280 ล้านบาท) เมื่อปีที่ผ่านมา ปรากฏว่าในไตรมาส 4/59 และไตรมาส 1/60 มีการสั่งผลิตและส่งมอบสินค้าเพียง 0.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ อย่างไรก็ตาม คาดว่าจะเริ่มให้บริษัทฯ ผลิตและส่งมอบสินค้าเพิ่มขึ้นในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้ โดยคาดว่าจะมีการส่งมอบสินค้าส่วนใหญ่ในครึ่งปีหลัง ซึ่งจะส่งผลดีต่อผลการดำเนินงาน ขณะที่แนวโน้มการแข่งขันด้านราคาในธุรกิจ Tender นั้น คาดว่าจะทรงตัวและค่อย ๆ ลดระดับความรุนแรงลง "เรามีความมุ่งมั่นที่จะผลักดันผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ให้ดีขึ้นในไตรมาส 2-4 ของปีนี้ เพื่อให้เป็นไปตามแผนการดำเนินงานที่วางไว้ โดยสถานการณ์ค่าเงินบาทที่เริ่มทรงตัวและมีแนวโน้มอ่อนค่าลง จะส่งผลดีต่อมาร์จิ้นในการส่งออกสินค้า โดยบริษัทฯ ได้มีการป้องกันความเสี่ยงของอัตราแลกเปลี่ยนในสิ้นไตรมาส 1/60 อยู่ที่ 35.62 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ส่วนราคาน้ำยางพาราในปัจจุบันที่เริ่มปรับลดลง ก็จะเป็นผลดีกับการบริหารจัดการต้นทุนวัตถุดิบในการผลิตถุงยางอนามัย" นายอมร กล่าว

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ