สภาปัญญาสมาพันธ์ ย้ำ 5 ยุทธ์ศาสตร์ ที่รัฐบาลต้องทำเพื่อสร้างชาติให้ยั่งยืน เผยการทำลายสิทธิเสรีภาพทางความคิด – ใช้ กม.ในทางที่ผิด คือต้นตอความวุ่นวายในสังคม

ข่าวทั่วไป Thursday June 22, 2017 17:20 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--22 มิ.ย.--เจซีแอนด์โค พับลิครีเลชั่นส์ · สภาปัญญาสมาพันธ์ ดึงนักวิชาการต่างชาติร่วมวิเคราะห์ความวุ่นวายในสังคม เผย 2 ปมสาเหตุสถานการณ์ความรุ่นแรงทั่วโลก ระบุ "หลักนิติธรรม" คือทางออกของการอยู่ร่วมกันได้อย่างสงบสุข สภาปัญญาสมาพันธ์ เผย 5 ยุทธ์ศาสตร์การสร้างชาติไทยให้มั่นคงและยั่งยืน ระบุต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกฝ่าย ทั้งจากภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม แนะรัฐบาลไทยวางกลยุทธ์ประเทศให้มีความเหมาะสมสามารถนำไปใช้งานได้จริงและเกิดประสิทธิภาพมากที่สุด ได้แก่ 1. กลยุทธ์ต้องเข้าใจได้ง่าย (Simplification Strategy) 2. กลยุทธ์การร่วมมือกัน (Collaboration Strategy) 3. กลยุทธ์กระจายอำนาจ (Decentralization Strategy) 4. กลยุทธ์ด้านระบบดิจิตอล (Digitalization Strategy) และ 5. กลยุทธ์การมองจากภายนอก (Outward-looking Strategy) พร้อมย้ำแนวทางแก้ปัญหาความไม่สงบของสังคมโลก ต้องใช้ "หลักนิติธรรม" (The Rule of Law) ควบคู่ไปกับการเปิดโอกาสให้ทุกคนมีสิทธิและเสรีภาพภายใต้กฏหมาย ศ.ดร.เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์ ประธานสถาบันอนาคตเพื่อการพัฒนา และประธานสถาบันการสร้างชาติ เปิดเผยว่า ประเด็นสำคัญที่ควรตระหนักเพื่อการสร้างชาติให้มั่นคงและยั่งยืน คือการกำหนดยุทธศาสตร์สำหรับพัฒนาประเทศ โดยคำนึงถึงโครงสร้างและความซับซ้อนของโลกปัจจุบัน อันเป็นผลมาจากปัจจัยในหลายๆ ด้าน อาทิ ความหลากหลายของมนุษย์ ทั้งด้านเชื้อชาติ เผ่าพันธุ์ สังคม เพศ และภาษา การพึ่งพาอาศัยซึ่งกัน ความคลุมเคลือด้านข้อมูลข่าวสาร เพราะข้อมูลจำนวนมากได้ทำให้เกิดความสับสนหรือความขัดแย้ง และ การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง ควบคู่ไปกับการที่รัฐบาลกำหนดยุทธศาสตร์และวางกลยุทธ์ที่ถูกต้องและเหมาะสม ในทางปฏิบัติจะสามารถพัฒนาประเทศชาติให้ก้าวหน้าได้อย่างไม่ยากนัก โดยหากดูตัวอย่างประเทศใกล้เคียงที่ประสบความสำเร็จ เช่น ประเทศสิงคโปร์ และประเทศเกาหลีใต้ จะเห็นว่าทั้งสองมีการกำหนดยุทธศาสตร์และจัดวางกลยุทธ์ในการพัฒนาประเทศที่ดีมาก ปัจจุบันสิงคโปร์จึงกลายเป็นศูนย์กลางในแถบภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ขณะที่เกาหลีใต้ซึ่งในอดีตเคยมีดัชนีผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศต่อหัว(GDP) เท่ากับประเทศไทย แต่ปัจจุบันดัชนีดังกล่าวได้เพิ่มขึ้นสูงกว่าไทย 4-5 เท่า อันเป็นผลมากจากการส่งเสริมและพัฒนาด้านเทคโนโลยีอย่างจริงจัง ศ.ดร.เกรียงศักดิ์ กล่าวต่อว่า สำหรับการกำหนดยุทธศาสตร์และวางกลยุทธ์ของประเทศไทย เพื่อให้มีความเหมาะสมสามารถนำไปใช้งานได้จริงและเกิดประสิทธิภาพมากที่สุดนั้น จำเป็นต้องพัฒนา 5 ด้าน ได้แก่ 1. กลยุทธ์ต้องเข้าใจได้ง่าย (Simplification Strategy) เพื่อลดความไม่แน่นอนและช่วยผู้ที่เกี่ยวข้อง คาดการณ์สถานการณ์และตัดสินใจได้ง่ายขึ้น เช่น นโยบายด้านอัตราแลกเปลี่ยน 2. กลยุทธ์การร่วมมือกัน (Collaboration Strategy) โดยเพิ่มการสื่อสารให้มากขึ้นระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสัมคม เพื่อให้เกิดการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งด้านทรัพยากรมนุษย์และภาคธุรกิจ 3. กลยุทธ์กระจายอำนาจ (Decentralization Strategy) เพื่อช่วยให้การตัดสินใจนโยบายภาครัฐเกิดประสิทธิผลมากขึ้น เช่น การกระจายอำนาจด้านการศึกษาให้โรงเรียนต่างจังหวัด ได้รับการพัฒนาและส่งเสริมอย่างทั่วถึงมากยิ่งขึ้น 4. กลยุทธ์ด้านระบบดิจิตอล (Digitalization Strategy) โดยนำเอาระบบดิจิตอลมาช่วยการจัดอย่างเป็นระบบ เพื่อลดความซับซ้อนและจำนวนคนที่เกี่ยวข้อง เช่น ระบบการตรวจคนเข้าเมืองของประเทศสหรัฐอเมริกา ที่มีการแบ่งปันข้อมูลระหว่างหน่วยงานต่างๆ เพื่อให้การทำงานสะดวกมากขึ้น 5. กลยุทธ์การมองจากภายนอก (Outward-looking Strategy) โดยภาครัฐควรใช้นโยบายเชิงรุกในเวทีระหว่างประเทศ เช่น การเป็นผู้ริเริ่มจัดตั้งการรวมกลุ่มระหว่างประเทศ เป็นต้น ขณะที่ ศาสตราจารย์ ดร.โฮเซ สเตลเล่ ผู้เขียนหนังสือ 'บทเล็คเชอร์ที่จีน' กล่าวเพิ่มเติมว่า สถานการณ์เลวร้ายต่างๆ ที่เกิดขึ้นทั่วโลกในปัจจุบัน แสดงให้เห็นถึงความเคารพสิทธิมนุษยชน ความโอบอ้อมอารี ความมีมิตรภาพ ความอดทนที่ลดลง โดยเหตุการณ์เลวร้ายต่างๆ ที่เกิดขึ้นล่วนมีอิทธิพลมาจากแรงกดดันหลัก 2 ประการ ได้แก่ 1. ระบบสังคมนิยม ที่ถูกถ่ายทอดมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ด้วยแนวความคิดตามหลักประชาธิปไตยที่ไม่ใช่ประชาธิปไตยอย่างแท้จริง ไม่คำนึงถึงอุดมการณ์ ไม่คำนึงถึงความรุนแรงที่เกิดขึ้น และท้ายที่สุดเกิดการใช้อำนาจกดขี่ข่มเหง ซึ่งถือเป็นทางออกเดียวสำหรับปัญหาหรือภัยคุกคามที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน และ 2. แรงกดดันอื่นที่คล้ายกับระบบสังคมนิยม โดยมีจุดกำเนิดมาจากสภาพแวดล้อมทางจิตใจทางศาสนาและส่งผลให้เกิดความรุนแรงขึ้น ทั้งสองประเด็นมีวัตถุประสงค์เดียวกันคือการมีอำนาจเหนือบุคคลทั่วไป เพื่อทำลายสิทธิเสรีภาพทางความคิด และล้มล้างระบอบการไต่สวน หรือกระบวนการยุติธรรม ดังนั้นสิ่งที่จะช่วยให้สถานการณ์ต่างๆ ดีขึ้นได้นั้น จำเป็นต้องอาศัย "หลักนิติธรรม" (The Rule of Law) ประกอบด้วย 1. กฏหมายต้องถูกสร้างขึ้นเพื่อประโยชน์กับคนในประเทศโดยสถาบันที่มาจากการเลือกตั้ง 2. ต้องมีความเสมอภาคในการใช้กฏหมาย 3. ผู้บังคับใช้กฏหมายต้องเป็นกลาง และ 4. ต้องมีกระบวนการยุติธรรมและรัฐธรรมนูญที่ดี ควบคู่กับการเปิดโอกาสให้ทุกคนมีสิทธิและเสรีภาพภายใต้กฏหมาย เพื่อให้ประชาชนสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสงบสุขในสังคม ซึ่งในทางปฏิบัติจะก่อนให้เกิดความสามัคคีและประเทศชาติที่เข้มแข็ง สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ สภาปัญญาสมาพันธ์ (WISDOM COUNCIL) โทรศัพท์ 084-522-4424 อีเมล:wisdomcouncilthailand@gmail.com หรือเข้าไปที่ http://www.wisdomcouncilthailand.com

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ