บล.ไทยพาณิชย์ คาดตลาดเคลื่อนไหวในกรอบแคบ เชื่อเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวต่อเนื่อง แนะกลยุทธ์ลงทุนหุ้น valuation ที่ถูกกว่า หรือที่ยังคงปรับตัวขึ้นช้ากว่ากลุ่ม

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday July 20, 2017 17:26 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--20 ก.ค.--ธนาคารไทยพาณิชย์ บริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จำกัด (SCBS) คาดการณ์ว่า ตลาดหุ้นไทยจะปรับตัวขึ้นในกรอบแคบ ในช่วงไตรมาส 3/60 โดยมองเป้าหมายดัชนีที่ 1,650 จุดก่อนที่ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 1,700 จุดในไตรมาสสุดท้ายของปี โดยเสนอแนะกลยุทธ์การลงทุน คือ การหมุนออกจากกลุ่มที่มี Valuation แพง ไปยังกลุ่มที่มีValuation ถูกกว่า และ/หรือ ไปยังบริษัทที่ราคาหุ้นปรับขึ้นช้ากว่าหุ้นในกลุ่มเดียวกัน โดยมี Top Picksสำหรับไตรมาส 3/60 ได้แก่ BDMS, CHG, PTT, IRPC, KCE, และ SVI นายอิสระ อรดีดลเชษฐ์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายกลยุทธ์กรลงทุน สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จำกัด (SCBS) กล่าวว่า เศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มจะเติบโตในอัตราที่ชะลอตัวลงเล็กน้อย หลังจากเติบโตดีมากในไตรมาส 1/60 โดยเห็นสัญญาณการชะลอตัวลงในสหรัฐฯ และจีน อย่างไรก็ดี โมเมนตัมการเติบโตที่ชะลอตัวลงในสหรัฐฯ คาดว่าจะเกิดขึ้นเพียงชั่วคราวเมื่อพิจารณาจากตลาดแรงงานที่อยู่ในภาวะแข็งแกร่ง และสัญญาณการฟื้นตัวของอุปสงค์ในประเทศในระยะหลังนี้ สถานการณ์เช่นนี้ทำให้มีแนวโน้มสูงที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือเฟด จะสามารถคงแนวโน้มการปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้น รวมถึงการเริ่มปรับลดขนาดงบดุลลงตามที่ได้ส่งสัญญาณไว้ก่อนหน้า ขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจจากยูโรโซนยังคงดูสดใส และคาดว่าจะมีโมเมนตัมเชิงบวกที่แข็งแกร่งจากการใช้จ่ายอุปโภคบริโภคและการลงทุน โดยความไม่แน่นอนทางการเมืองในยูโรโซนไม่ได้เป็นปัจจัยคุกคามสำคัญต่อแนวโน้มเศรษฐกิจยูโรโซนอีกต่อไป SCBS ประเมินว่า เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มแข็งแกร่งมากขึ้น แม้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยยังไม่ได้เกิดขึ้นในวงกว้าง อย่างไรก็ตามโมเมนตัมการเติบโตในปัจจุบันปรับตัวดีขึ้นในอัตราที่น่าพอใจโดยที่เศรษฐกิจไทยนั้นขยายตัวแข็งแกร่งกว่าคาดในไตรมาส 1/60 กระตุ้นให้สำนักวิจัยต่างๆ เริ่มปรับเพิ่มคาดการณ์อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจสำหรับปีนี้และปีหน้า ปัจจัยสำคัญที่ช่วยกระตุ้นให้เศรษฐกิจเติบโตยังคงเป็นการใช้จ่ายอุปโภคบริโภค การลงทุนภาครัฐ รวมถึงการส่งออกสินค้าและบริการ อย่างไรก็ตามการฟื้นตัวของปัจจัยดังกล่าวในปัจจุบันยังไม่เพียงพอที่จะลดกำลังการผลิตส่วนเกินลงสู่ระดับที่กระตุ้นให้เกิดการลงทุนภาคเอกชนรอบใหม่ การที่ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ของไทยนั้นเคลื่อนไหวในกรอบแคบๆ มาตั้งแต่ช่วงต้นปีท่ามกลาง EPS ที่ปรับตัวดีขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ทำให้ valuation ของตลาดไทยไม่ได้แพงอีกต่อไป เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยในอดีต และเมื่อเทียบกับตลาดอื่นๆ ในภูมิภาค SCBS คาดว่า ตลาดจะปรับตัวขึ้นได้ในกรอบแคบๆ ในไตรมาส 3/60 โดยชื่นชอบกลุ่มหรือหุ้น laggardที่มีปัจจัยเฉพาะตัวสนับสนุนให้กำไรเติบโต หุ้น Top Picks ประจำไตรมาส 3/60 เมื่ออิงกับการคัดเลือกหุ้น laggard และมุมมองแบบ Bottom-up จากนักวิเคราะห์ของ SCBS ทำให้บริษัทเลือกหุ้นในกลุ่มการแพทย์ พลังงาน และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เป็น อุตสาหกรรมเด่นสำหรับไตรมาส 3/60 ซึ่งประกอบด้วยบริษัท BDMS, CHG, IRPC, KCE, PTT, และ SVI โดยแต่ละตัวมีไฮไลท์ โดยสรุปดังนี้ · บมจ. กรุงเทพดุสิตเวชการ (BDMS): ราคาหุ้นร่วงแรงเกินไปจากกำไรที่ชะลอตัวลงในไตรมาส 1/60 Core EPSจะปรับตัวดีขึ้นในช่วงที่เหลือของปีนี้จากการควบคุมต้นทุน ตามด้วยการขยายตัว 20% ในปี 2561 จากผลการดำเนินงานโรงพยาบาลเดิมที่ดีขึ้นและโรงพยาบาลใหม่ที่ขาดทุนลดลง · บมจ. โรงพยาบาลจุฬารัตน์ (CHG): ราคาปรับตัวลงลึกจากการชะลอตัวของผู้ป่วยเงินสดในไตรมาส 1/60 Core EPS มีแนวโน้มดีขึ้นจากการปรับเพิ่มอัตราเหมาจ่ายรายหัวในระบบประกันสังคม (ไตรมาส 3/60) และจะขยายตัวได้ 31% ในปีหน้า · บมจ. ไออาร์พีซี (IRPC): ราคาหุ้น IRPC ลดลงมาแล้ว 11% จากกลางเดือน เม.ย. เทียบกับหุ้นโรงกลั่นตัวอื่นๆ ที่ราคาลดลง -2% ถึง -5% GRM น่าจะปรับตัวดีขึ้น ในภาวะราคาน้ำมันต่ำและความต้องการใช้น้ำมันเพิ่มขึ้น · บมจ. เคซีอี อีเลคโทรนิคส์ (KCE): หุ้น laggard Play ในอุตสาหกรรมที่อยู่ในวัฏจักรขาขึ้น กำไรมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นในครึ่งหลังของปีและขยายตัวได้ 34% ในปี 2561 จากอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้นจากอุตสาหกรรมรถยนต์ และต้นทุนทองแดงที่ดีขึ้น · บมจ. ปตท. (PTT): ราคาหุ้น PTT ที่ลดลงมาแล้ว 10% จากยอดสูงเดือน ม.ค. 60 น่าจะเป็นโอกาสซื้อ SCBS ชื่นชอบที่บริษัททำธุรกิจแบบครบวงจรและมีสัดส่วนกำไรจากธุรกิจที่มีเสถียรภาพอย่างสาธารณูปโภคเพิ่มขึ้น · บมจ. เอสวีไอ (SVI): ราคาหุ้นพลาดโอกาสในการวิ่งขึ้นพร้อมกับกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ในช่วงที่ผ่านมา เพราะอยู่ในกระบวนการควบรวมกิจการหลังจากเข้าซื้อกิจการครั้งใหญ่ในยุโรป กำไรจะเติบโตอย่างแข็งแกร่งในครึ่งปีหลัง เมื่อรับรู้ประโยชน์จากการควบรวมกิจการ ซึ่งจะช่วยสนับสนุนให้กำไรเติบโต 61% ในปี 2560 และ 21% ในปี 2561

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ