พระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 มีผลบังคับใช้วันนี้ ย้ำไม่ส่งผลกระทบต่อราคาสินค้าส่วนใหญ่ เตือนผู้ประกอบการอย่ากักตุน

ข่าวทั่วไป Monday September 18, 2017 13:21 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--18 ก.ย.--กลุ่มสารนิเทศการคลัง กระทรวงการคลัง กฎหมายภาษีสรรพสามิตฉบับใหม่ มีผลบังคับใช้วันนี้ (16 กันยายน 2560) มุ่งสร้างความเป็นธรรม โปร่งใส เป็นสากล ลดการใช้ดุลพินิจของเจ้าหน้าที่ พร้อมกำชับเจ้าหน้าที่ ลงพื้นที่ติดตามดูสถานการณ์ราคาสินค้าอย่างเข้มข้น เพื่อไม่ให้มีการกักตุนสินค้า นายสมชาย พูลสวัสดิ์ อธิบดีกรมสรรพสามิต เปิดเผยว่า ในวันนี้ (16 กันยายน 2560) พระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 ได้มีผลใช้บังคับ พระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 เป็นการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของระบบกฎหมายภาษีสรรพสามิตและแนวทางการจัดเก็บภาษีแบบใหม่ เพื่อให้เกิดความเป็นธรรม โปร่งใส เป็นสากล และลดการใช้ดุลพินิจของเจ้าหน้าที่ ส่งผลให้กฎหมายภาษีสรรพสามิตสามารถแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น ในการบริหารการจัดเก็บภาษีได้ทั้งระบบ และทำให้การจัดเก็บภาษีเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทั้งนี้ กรมสรรพสามิตได้ออกกฎหมายลำดับรองประมาณ 80 ฉบับ เพื่อให้สอดคล้องกับกฎหมายแม่บท โดยเฉพาะอัตราการจัดเก็บภาษีสินค้าและบริการต่างๆ อธิบดีกรมสรรพสามิต กล่าวต่อว่า การเปลี่ยนแปลงอัตราภาษีสรรพสามิต ตามกฎกระทรวงกำหนดพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 โดยสรุปการจำแนกเป็นกลุ่มสินค้าและบริการ ดังนี้ 1. จัดเก็บภาษีสินค้าน้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมันในอัตราตามปริมาณเพียงอย่างเดียว 1.1 กำหนดอัตราเดิม ไม่มีการเปลี่ยนแปลง ได้แก่ น้ำมันเบนซินและดีเซล 1.2 กำหนดอัตราใหม่ ได้แก่สินค้า ดังนี้ - น้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับเครื่องบินไอพ่น - น้ำมันเตา 2. มีการปรับลดอัตราภาษีให้สอดคล้องกับราคาขายปลีกแนะนำ ได้แก่ สินค้าดังนี้ 2.1 รถยนต์ 2.2 แบตเตอรี่ 2.3 จักรยานยนต์ 2.4 ผลิตภัณฑ์เครื่องหอมและเครื่องสำอาง 3. จัดเก็บภาษีเครื่องดื่มตามปริมาณความหวาน 3.1 จัดเก็บอัตราตามมูลค่าและตามปริมาณความหวานของเครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์ รวมทั้งจัดเก็บภาษี ตามปริมาณความหวานของเครื่องดื่มผงและเครื่องดื่มเข้มข้นเพิ่มเติม เพื่อให้ประชาชนได้ตระหนักถึงผลกระทบต่อสุขภาพหากบริโภคเครื่องดื่มดังกล่าว โดยในระยะแรกจะไม่เพิ่มภาระภาษีมากนัก แต่หลังจาก 2 ปี ภาระภาษีจะเพิ่มขึ้น และปรับเพิ่มภาษีทุก 2 ปีจนถึงปี 2566 3.2 ดำเนินมาตรการที่ไม่ใช่ภาษีที่มีความร่วมมือกันระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนไปพร้อมกัน ซึ่งจะช่วยส่งผลให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการลดการบริโภคเครื่องดื่มที่มีความหวาน เช่น การจัดทำเครื่องหมายทางเลือกเพื่อสุขภาพ การผลิตเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลน้อยหรือไม่มีน้ำตาล การจำหน่ายสินค้าให้เข้าถึงง่าย การจัดทำฉลากโภชนาการแบบ GDA เป็นต้น 4. กำหนดอัตราศูนย์สำหรับสินค้าที่จัดเก็บรายได้น้อย เนื่องจากไม่มีความคุ้มค่าในการบริหารการจัดเก็บภาษีของกรมสรรพสามิต ได้แก่ สินค้าดังนี้ 4.1 เครื่องไฟฟ้า (โคมระย้าคริสตัล) 4.2 แก้วและเครื่องแก้ว 4.3 พรมและสิ่งทอปูพื้นอื่น ๆ 5. อัตราภาษีในหมวดบริการ 5.1 คงอัตราตามเดิม - ไนต์คลับ ดิสโกเธค ผับ บาร์ ค็อกเทลเลาจน์ โดยให้หมายรวมถึงสถานที่ที่จำหน่ายอาหาร และเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ โดยจัดให้มีการแสดงดนตรีหรือการแสดงอื่นใดเพื่อการบันเทิง ซึ่งปิดทำการหลังเวลา 24.00 นาฬิกา จัดเก็บจากรายรับ - สถานอาบน้ำหรืออบตัว และนวด จัดเก็บตามรายรับ - สนามแข่งม้า จัดเก็บจากค่าผ่านประตู และรายรับ - สลากกินแบ่ง ไม่มีการจัดเก็บภาษี (จากเดิมได้รับการยกเว้นปรับใหม่เป็นเสียภาษีในอัตราศูนย์) 5.2 กำหนดอัตราศูนย์เช่นเดิม ได้แก่ กิจการโทรคมนาคม 6. การจัดเก็บภาษีสุรา - คงการจัดเก็บภาษีแบบระบบผสม ทั้งในอัตราตามมูลค่าเพื่อสะท้อนถึงความฟุ่มเฟือย และอัตราตามปริมาณเพื่อสะท้อนถึงหลักสุขภาพ ซึ่งสร้างความโปร่งใสและเป็นธรรมในการจัดเก็บภาษีมากยิ่งขึ้น - ปรับลดภาษีตามมูลค่าและเพิ่มอัตราภาษีตามปริมาณ (แรงแอลกอฮอล์) เพื่อให้สอดคล้องกับหลักสากล โดยคำนึงถึงสุขภาพมากยิ่งขึ้น โดยอัตราภาษีใหม่จะไม่ทำให้มีภาระภาษีเพิ่มขึ้นมากนัก ตามหลักรายได้คงที่ (Revenue Neutrality) - ส่งเสริมให้ประชาชนบริโภคสุราที่มีดีกรีต่ำ และลดปัญหาสุราเถื่อน - ปรับลดอัตราภาษีตามมูลค่า เนื่องจากฐานภาษีได้ปรับจากราคาขายส่งช่วงสุดท้ายเป็นราคาขายปลีกแนะนำ 7. การจัดเก็บภาษียาสูบ - จัดเก็บภาษีแบบระบบผสม ทั้งในอัตราตามมูลค่าเพื่อสะท้อนถึงความฟุ่มเฟือย และอัตราตามปริมาณ เพื่อสะท้อนถึงหลักคุณภาพ จากเดิมที่จัดเก็บภาษีตามมูลค่าหรือตามปริมาณที่ให้ภาระภาษีสูงกว่าส่งผลให้ราคาขายปลีกบุหรี่มีความแตกต่างอย่างเห็นได้ชัด - จัดเก็บภาษีตามมูลค่าใน 2 อัตราที่แตกต่างกัน ระหว่างบุหรี่ที่มีราคาขายปลีกไม่เกิน 60 บาทต่อซอง และเกิน 60 บาทต่อซอง เป็นเวลา 2 ปี เพื่อให้เวลาในการปรับตัวของอุตสาหกรรมบุหรี่ หลังจากนั้นจะจัดเก็บภาษีตามมูลค่าในอัตราเท่ากัน - จัดเก็บภาษีตามปริมาณในอัตราเดียวกัน ซึ่งจะช่วยลดปัญหาการบริโภคบุหรี่ราคาถูก - ขยายฐานภาษียาสูบให้ครอบคลุมถึงยาเส้นพันธุ์พื้นเมือง - ลดการเข้าถึงการบริโภคยาสูบ โดยยึดหลักสากลในการสร้างความเท่าเทียมในการจัดเก็บภาษีของบุหรี่ อธิบดีกรมสรรพสามิต กล่าวทิ้งท้ายว่า การปรับอัตราภาษีครั้งนี้ไม่ได้ทำให้สินค้าส่วนใหญ่มีภาระภาษีเพิ่มขึ้น จึงไม่ควรส่งผลกระทบราคาขายปลีก และขอเตือนผู้ประกอบการอย่ากักตุนสินค้า ทั้งนี้ได้กำชับให้เจ้าหน้าที่สรรพสามิตลงพื้นที่ติดตามดูสถานการณ์ราคาสินค้าอย่างเข้มข้น เพื่อไม่ให้มีการกักตุนสินค้า ฝ่ายประชาสัมพันธ์ สำนักงานเลขานุการกรม กรมสรรพสามิต โทร/โทรสาร 0 2241 4778

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ