ทาทา สตีล ปลื้มผลการดำเนินงานตลอดปี กำไรโต 113% พร้อมคาดยอดขายเหล็กเส้นก่อสร้างในประเทศโตครึ่งปีหลัง รับดีมานด์การก่อสร้าง

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday April 27, 2018 14:36 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--27 เม.ย.--เจซีแอนด์โค พับลิครีเลชั่นส์ บริษัท ทาทา สตีล (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยผลประกอบการปีงบประมาณ 2561 มีกำไรสุทธิหลังหักภาษี 455 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน ร้อยละ 113 โดยมียอดขายสุทธิ 22,246 ล้านบาท จากปริมาณการขาย 1,217,000 ตัน และมูลค่าตามบัญชีต่อหุ้น 1.1 บาท สำหรับผลประกอบการในไตรมาสที่ 4 ปีการเงิน 2561 มีปริมาณการขายรวม 316,000 ตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.43 จากไตรมาสก่อน โดยมียอดขายสุทธิอยู่ที่ 6,110 ล้านบาท สูงขึ้นร้อยละ 6 เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา และมีกำไรสุทธิหลังหักภาษี 75 ล้านบาท สำหรับในปี 2018 นี้ สินค้าโดดเด่นของบริษัท ได้แก่ เหล็กต้านแผ่นดินไหว เหล็กเส้นแรงดึงสูง และเหล็กเส้นขึ้นรูปตัดและดัด (Cut and Bend) โดยมีสัดส่วนรวมกว่า ร้อยละ 20-22 ของสินค้าทั้งหมด อย่างไรก็ตามคาดว่าความต้องการของเหล็กในประเทศจะดีขึ้นในครึ่งหลังของปี โดยประเมินปริมาณการใช้เหล็กทรงยาวก่อสร้างภายในประเทศปีนี้จะอยู่ที่ราว 5.9 ล้านตัน หรือเติบโตร้อยละ 5 ทั้งนี้ ทาทา สตีล ได้แถลงผลประกอบการปีการเงิน 2561 เมื่อเร็วๆ ณ บริษัท ทาทา สตีล (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) สำหรับนักลงทุนและผู้ประกอบการด้านการก่อสร้างที่ต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมสามารถติดต่อได้ที่ ฝ่ายสื่อสารและกิจกรรมองค์กร โทรศัพท์ 02-937-1000 หรือเข้าไปที่ www.tatasteelthailand.com มร.ราจีฟ มังกัล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทาทา สตีล (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ผลประกอบการล่าสุดในไตรมาสที่ 4 ปีการเงิน 2561 ระหว่างเดือน มกราคม-มีนาคม 2561 มีปริมาณการขายรวม 316,000 ตัน เปรียบเทียบกับปริมาณการขายในไตรมาสที่แล้ว เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.43 จากจำนวน 302,000 ตัน ทั้งนี้ปัจจัยส่วนหนึ่งของปริมาณการขายที่สูงขึ้นเป็นผลมาจากยอดขายที่ดีขึ้นของเหล็กลวดและการส่งออกที่เพิ่มมากขึ้น โดยมียอดขายสุทธิอยู่ที่ 6,110 ล้านบาท สูงขึ้นร้อยละ 6 เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา และสูงขึ้นร้อยละ 5 เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิหลังหักภาษี 75 ล้านบาท ทั้งนี้จะเห็นได้ว่าราคาขายปรับตัวดีขึ้นสะท้อนถึงแนวโน้มของราคาวัตถุดิบที่เพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้ผลประกอบการของปีการเงิน 2561 ระหว่างเดือนเมษายน 2560 - มีนาคม 2561 ในภาพรวมนั้น บริษัทสามารถทำกำไรเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง มียอดขายสุทธิ 22,246 ล้านบาท จากปริมาณการขาย 1,217,000 ตัน และมีกำไรสุทธิหลังหักภาษี 455 ล้านบาท กำไรเติบโตกว่าปีก่อน ร้อยละ 133 ซึ่งอยู่ที่ 214 ล้านบาท และมีกำไรก่อนหักภาษี 585 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน ร้อยละ 33 ในขณะที่ EBITDA (Earnings Before Interest, Taxes, Depreciation, and Amortization) ลดลงร้อยละ 23.99 เหลือ 1,318 ล้านบาท จาก 1,734 ล้านบาท เมื่อเทียบกับปีก่อน และมูลค่าตามบัญชีต่อหุ้น 1.1 บาท สำหรับ ในปี 2018 นี้ สินค้าโดดเด่นของบริษัทซึ่งได้แก่ เหล็กต้านแผ่นดินไหว เหล็กเส้นแรงดึงสูง และเหล็กเส้นขึ้นรูปตัดและดัด (Cut and Bend) โดยมีสัดส่วนรวมกว่าร้อยละ 20-22 ของสินค้าทั้งหมด ตลอดจนตั้งเป้าเพิ่มปริมาณการส่งออกเป็น 150,000 แสนตัน เพื่อหลีกเลี่ยงการแข่งขันหลังจากที่ตลาดเหล็กในประเทศทรงตัว ทั้งนี้แนวทางการพัฒนาสินค้า ของบริษัทมุ่งเน้นการพัฒนาเหล็กที่ตอบโจทย์ความต้องการของประเทศ รวมถึงสร้างนวัตกรรมและมาตรฐานของผลิตเหล็กให้อยู่ในระดับแนวหน้าของโลก มร.ราจีฟ กล่าว มร.ราจีฟ กล่าวต่อว่า ปัจจุบัน ทาทา สตีล มีโรงงานในเครือ 3 โรงงาน ซึ่งได้แก่ โรงงาน N.T.S. โรงงาน SISCO และโรงงาน SCSC ใน 3 จังหวัด คือ จ.ชลบุรี จ.ระยอง และจ.สระบุรี ซึ่งแต่ละโรงงานมีศักยภาพชัดเจน และผลิตสินค้าแตกต่างกันตามความถนัด รวมกำลังการผลิตกว่า 1.7 ล้านตันต่อปี ช่วยสร้างรายได้ให้แก่คนในพื้นที่และช่วยให้เศรษฐกิจในพื้นที่เติบโต นอกจากนี้บริษัทยังยึดมั่นในนโยบายบรรษัทพลเมืองดีให้ความสำคัญกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่ม การันตีได้จากรางวัลต่าง ๆ ที่ได้รับ อาทิ รางวัล "Thailand Sustainability Investment Award" (รางวัลรายชื่อหุ้นยั่งยืน) จากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และ รางวัลรายงานความยั่งยืน ปี 2560 รวมถึงรางวัลอุตสาหกรรมดีเด่นประจำปี 2560 ประเภทการบริหารความปลอดภัย และได้เลื่อนระดับโรงงานสีเขียวอยู่ในระดับ 4 ตามการคาดการณ์การเติบโตของ จีดีพี (GDP) ในปี 2561 อยู่ที่ประมาณร้อยละ 4 รวมถึงการอัดฉีดการก่อสร้างโครงการระเบียงเขตเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) ของรัฐบาล มูลค่า 8.89 แสนล้าน โครงการเมกะโปรเจค ทั้งรถไฟฟ้าสายต่าง ๆ และโครงการรถไฟทางคู่ เส้นทางถนน และการพัฒนาท่าเรือ จะเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนการเติบโตและการลงทุนของประเทศ คาดว่าจะส่งผลให้ความต้องการของเหล็กในประเทศดีขึ้นในครึ่งหลังของปี โดยประเมินปริมาณการใช้เหล็กทรงยาวก่อสร้างภายในประเทศปีนี้จะอยู่ที่ราว 5.9 ล้านตัน หรือเติบโตร้อยละ 5 จากปีที่ผ่านมา จากการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐหนุนช่วยกระตุ้นความต้องการ โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคตะวันออก ซึ่งได้แก่ ชลบุรี ระยอง จันทบุรี และตรชาด ซึ่งอยู่ในพื้นที่แผนระยะเร่งด่วนของโครงการ EEC มร.ราจีฟ กล่าวทิ้งท้าย ทั้งนี้ ทาทา สตีล ได้แถลงผลประกอบการปีการเงิน 2561 เมื่อเร็วๆ ณ บริษัท ทาทา สตีล (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) สำหรับนักลงทุนและผู้ประกอบการด้านการก่อสร้างที่ต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมสามารถติดต่อได้ที่ ฝ่ายสื่อสารและกิจกรรมองค์กร โทรศัพท์ 02-937-1000 หรือเข้าไปที่ www.tatasteelthailand.com เกี่ยวกับทาทา สตีล (ประเทศไทย) บริษัท ทาทา สตีล (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ "TSTH" ประกอบด้วยสามบริษัทย่อย ได้แก่ บริษัท เอ็น.ที.เอส.สตีลกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ("NTS") ตั้งอยู่ที่จังหวัดชลบุรี บริษัท เหล็กก่อสร้างสยาม จำกัด ("SCSC") ตั้งอยู่ที่จังหวัดระยอง และบริษัท เหล็กสยาม (2001) จำกัด ("SISCO") ตั้งอยู่ที่จังหวัดสระบุรี บริษัทเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายเหล็กทรงยาวรายใหญ่ที่สุดในประเทศไทย โดยมีกำลังการผลิต เหล็กแท่ง 1.4 ล้านตัน และเหล็กสำเร็จรูป 1.7 ล้านตัน ประกอบด้วย เหล็กเส้นก่อสร้าง เหล็กลวด เหล็กรูปพรรณขนาดเล็ก เหล็กเพลา และเหล็กเส้นตัดและดัดสำเร็จรูป โดยจำหน่ายผลิตภัณฑ์ผ่านเครือข่ายผู้จำหน่ายสินค้าทั่วประเทศ รวมถึงส่งออกเหล็กเส้น และเหล็กลวด ไปยังประเทศต่างๆ ทั่วโลก

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ