คิตาโน่ เพิ่มน้ำหนักกว่า 10 กิโล พร้อมรับบทโหด เถื่อน ทั้งข่มขืนหญิง และกินเนื้อสด ๆ ใน Blood and Bones

ข่าวทั่วไป Wednesday January 19, 2005 13:53 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--19 ม.ค.--มงคลฟิล์ม
หลังจากประสบความสำเร็จกับงานรีเมกหนังซามูไรย้อนยุคเรื่อง Zatoichi ในปี 2003 ทาเคชิ คิตาโน่ ผู้กำกับชื่อดังก็เก็บตัวเงียบเพื่อเตรียมตัวสำหรับ รับบทนำในภาพยนตร์แอ็คชั่น-ดราม่า เรื่องเยี่ยม Blood and Bones โดยเขาต้องเพิ่มน้ำหนักตัวขึ้นกว่า 10 กิโลกรัมเพื่อรับบท ชุนเป หรือ จยอมเบียน-คิม หนุ่มเกาหลีที่เข้ามาสร้างตัวในญี่ปุ่น ก่อนที่จะผันตัวเองเป็นหัวหน้าแก๊งยากูซ่าที่ได้ชื่อว่าโหดและเลือดเย็นที่สุด โดยใน Blood and Bones นั้น คิตาโน่ต้องแสดงอารมณ์รุนแรง ทั้งในฉากซ้อมลูกชายตัวเอง กินเนื้อดิบ ๆ และข่มขืนผู้หญิง เพื่อแสดงให้เห็นถึงความปรวนแปรในจิตใจของผู้ชายที่ชื่อ ชุนเป
Blood and Bones เป็นภาพยนตร์เรื่องล่าสุดที่ ทาเคชิ คิตาโน่ นำแสดง โดยมี โยอิชิ ซาอิ (ผู้กำกับ Quill ) ทำหน้าที่ผู้กำกับ เรื่องราวของหนุ่มหัวรุนแรงชาวเกาหลีที่เดินทางมาญี่ปุ่นเพื่อชีวิตที่ดีกว่า ชุนเป ได้ทำงานในโรงงานขายส่งปลา และเมื่อโรงงานต้องปิดตัวลง เขาก็ผันตัวเองมาเป็นเจ้าพ่อปล่อยเงินกู้เพื่อเลี้ยงครอบครัว ก่อนที่จะก้าวไปสู่ตำแหน่งหัวหน้ายากูซ่าที่ได้ชื่อว่าโหดที่สุดในญี่ปุ่น ..
และสิ่งที่น่าสนใจในภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่แพ้การแสดงของ คิตาโน่ ก็คือ Blood and Bones ดัดแปลงนิยายขายดีเรื่อง "Chi no Hone" by Yang Sogiru นิยายญี่ปุ่นที่โด่งดังมาก ๆ ในเกาหลี ...ทำไมต้องเกาหลีนะหรือก็เพราะว่าตัวละครที่ชื่อ ชุนเป นั้นคือคนเกาหลีรุ่นแรก ๆ ที่เข้ามาใช้ชีวิตในญี่ปุ่น และผันตัวเองให้กลายเป็นคนญี่ปุ่นโดยสมบูรณ์แบบ ด้วยความรุนแรง อีกทั้งภาพยนตร์เรื่องนี้ยังได้รับกระแสวิจารณ์ในแง่บวกจากการเข้าฉายในเทศกาลภายนตร์นานาชาติเมืองปูซานครั้งที่ผ่านมา
นักแสดง
ทาเคชิ คิตาโน่ ,เคียวกะ ซูซูกิ , ฮิระฟูมิ
อาราอิ , โทโมโกะ ทาบาตะ
กำกับการแสดง โยอิจิ ซาอิ ( Quill )
กำหนดฉาย 3 กุมภาพันธ์
สถานที่ โรงภาพยนตร์ house
คิม ซุนไป สัตว์ร้ายในคราบมนุษย์
ย้อนกลับไปในวันที่เกาหลีพ่ายแพ้สงครามและตกเป็นอาณานิคมของทหารญี่ปุ่น ชายหนุ่มเกาหลีชื่อ คิม ซุนไป ได้ตัดสินใจอพยพจากเกาะชีจู (ปัจจุบันคือเกาหลีใต้) มาแสวงโชคในญี่ปุ่น เขาเป็นหนึ่งในคนเกาหลีรุ่นแรกที่อพยพมาตั้งรกรากในดินแดนอาทิตย์อุทัย เป็นชนกลุ่มน้อยที่ถูกเหยียดหยามดูแคลน
ซุนไป มาถึงโอซากาในปี 1920 เขาทำงานในโรงงานผลิตขนมคามาโบโกะ และมีชีวิตอย่างอดอยากแร้นแค้น จวบจนไฟแห่งความโกลาหลของสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้สร้างโอกาสให้ซุนไปกลายเป็นนักธุรกิจผู้ประสบความสำเร็จ เป็นครอบครัวที่มั่งคั่ง และเป็นผู้นำของชุมชนเกาหลีในญี่ปุ่น
แต่สำหรับลูกเมีย และเพื่อนฝูงที่เติบโตมาด้วยกัน ทุกคนรู้ดีว่าซุนไปคือชายผู้เดือดดาลบ้าคลั่ง จิตใจคับแค้น อัดแน่นด้วยเกลียดชัง เขาข่มขืนเมีย ทุบตีเธอและลูกไม่เว้นแต่ละวัน หนำซ้ำยังคุยโอ่เรื่องเมียน้อย เสียเงินการพนันก็เอาเนื้อหมูเน่ามาให้ลูกเมียกินเป็นอาหารเย็น ถูกเพื่อนร่วมงานทวงหนี้ก็ข่มขืนซ้อมเสียปางตาย
ซุนไปสร้างฐานะด้วยการนำเงินเก็บมาลงทุนในการออกเงินกู้นอกระบบ การทวงหนี้ด้วยความรุนแรงยิ่งปลุกให้เลือดในตัวของเขาเดือดพล่าน เขากลายเป็นคนบ้าอำนาจ เป็นจอมเผด็จการ เป็นสัตว์ร้ายในคราบมนุษย์
ช่วงชีวิตกว่า 60 ปีของซุนไปถูกบันทึกไว้ในหนังสือ Blood and Bones ที่ยัน โซกิ ผู้เขียนกว่ามันเป็นนิยายกึ่งอัตชีวประวัติที่เล่าชีวิตพ่อแท้ๆ ของเขาเอง หรือพูดอีกอย่างก็คือ Blood and Bones เป็นบันทึกที่ลูกชายเขียนเล่าความเลวทรามต่ำช้าของพ่อตัวเอง!
มาบัดนี้เรื่องราวในหนังสือ Blood and Bones ก็ถูกแปรสภาพให้กลายเป็นสองชั่วโมงแห่งความรุนแรง กดดัน และเกลียดชังในหนัง Blood and Bones อันเป็นผลงานการแสดงนำชิ้นล่าสุดของ บีท ทาเคชิ คิตาโน
คิตาโนไม่เคยรับบทเป็นตัวละครเอกในหนังของผู้กำกับคนอื่นมากหลายปีแล้ว (อย่างมากก็รับแสดงบทสมทบ) และการมาสวมวิญญาณชายเกาหลีผู้เดือดดาลใน Blood and Bones ก็ทำให้นักวิจารณ์ต่างยอมรับเป็นเสียงเดียวกันว่า
“คิตาโนทำให้ซุนไปกลายเป็นตัวละครที่ชั่วช้าเลวทรามที่สุดเท่าที่เคยมีมาในหนังญี่ปุ่น”
เรื่องของคนเกาหลี
ผู้กำกับ Blood and Bones คือ โยอิจิ ซาอิ!!
หลายคนอาจรู้จัก ซาอิ ในฐานะผู้กำกับเงินล้านจากหนังเจ้าตูบเรื่อง Quill (2004) แต่หากไล่ย้อนผลงานเก่าๆ ของเขาแล้วจะพบว่า ซาอิ เป็นผู้กำกับคนเดียวในญี่ปุ่นที่สามารถกำกับ Blood and Bones ได้
เหตุผลแรกคือ ซาอิ กับคนเขียนนิยายเรื่องนี้คือ โซกิ เคยมีสายสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นต่อกัน เมื่อซาอิเคยนำนิยายเรื่อง All Under the Moon ของโซกิ มาดัดแปลงเป็นหนังในปี 1993 จนกวาดหลายรางวัลในญี่ปุ่นมาได้หลายรางวัล หนำซ้ำยังเป็นหนังอินดี้ที่ฮิตจัดจนทำรายได้ไปกว่า 300 ล้านเยน
All Under the Moon เป็นเรื่องราวของชนกลุ่มน้อยในญี่ปุ่นเหมือนกัน แต่จะเป็นแนวสนุกสนานครื้นเครงผสมเสียดสีปะชดประชัน เมื่อคนขับแท๊กซี่ —ที่มีพ่อแม่เป็นคนเกาหลีแต่มาเกิดและโตในญี่ปุ่น บังเอิญมาพบรักกับสาวบาร์ชาวฟิลิปปินส์
ซาอิเข้าใจหัวอกของชนกลุ่มน้อยในญี่ปุ่นดี เพราะสาเหตุข้อที่สองก็คือ ซาอิเป็นคนเกาหลีที่เกิดและโตในญี่ปุ่นเหมือนกัน!
ซาอิ มีชื่อเกาหลีว่า ชอย ยังอิล เขาเป็นคนเกาหลีรุ่นที่สองที่มาเกิดและโตในญี่ปุ่น พ่อแม่ของเขาอพยพมาตั้งถิ่นฐานที่นี่เมื่อ 80 กว่าปีก่อน แต่ซาอิก็เหมือนกับคนเกาหลีอีก 7 แสนคนในญี่ปุ่น ที่ถือพาสปอร์ตเกาหลีเหนือมาตั้งแต่เด็ก (เขาเพิ่งเปลี่ยนพาสปอร์ตเป็นใต้ช่วงกลางยุค 90)
ด้วยเหตุที่ใช้ชีวิตในญี่ปุ่นมาตลอด ซาอิจึงพูดภาษาเกาหลีได้ไม่มาก และโตมาพร้อมกับความสงสัยในเชื้อชาติของตัวเอง เขาเคยเล่าว่า "ผมรู้สึกอึดอัดเสมอเวลาพ่อพาเพื่อนเกาหลีมาที่บ้าน" เพราะ "ผมอยากรู้จักพวกเขา แต่ก็ไม่อยากโตขึ้นมาเป็นเหมือนกับพวกเขา"
ซาอิ เคยเป็นผู้ช่วยของ ผู้กำกับนิวเวฟ’ 70 คนสำคัญของญี่ปุ่น นางิสะ โอชิมะ (In the Real of Senses) ก่อนจะกำกับหนังเรื่องแรกคือ The 10th Floor Mosquito (1983) จนเริ่มโด่งดังจาก All Under the Moon ซึ่งหนังเรื่องนี้ได้สร้างความอึดอัดใจให้กับเขาไม่ใช่น้อย เพราะเขาได้กลายเป็นกระบอกเสียงของคนเกาหลีในสายตาของสื่อมวลชนญี่ปุ่นไปเสียแล้ว
และนั่นก็เป็นสาเหตุให้ซาอิพยายามพลิกผันไปทำหนังแนวอื่นๆ หลายเรื่องพูดถึงตัวละครที่เป็นชนชั้นล่างของสังคมเพราะซาอิบอกเสมอว่า “ผมยกเรื่องราวเกี่ยวกับชีวิตเกริกเกียรติยศและครอบครัวสุขสันต์ให้ผู้กำกับคนอื่นทำแทนดีกว่า” หรือไม่ก็ “ผมสนใจชีวิตของคนที่ไม่สมบูรณ์พร้อมมากกว่า” แต่บางเรื่องก็ยังมีประเด็นของชนกลุ่มน้อยแทรกอยู่ เช่น Dog Race (1998) ที่เป็นหนังตลกร้ายระหว่างมาเฟียจีนกับตำรวจญี่ปุน
"ผมทำหนังมา 16 เรื่องแล้ว แต่ก็ยังรู้สึกว่ามีไม่กี่เรื่องที่พูดถึงเชื้อชาติของตัวเองอย่างจริงๆ จังๆ เสียที" เป็นคำพูดของซาอิ ก่อนที่จะตัดสินใจขุดคุ้ยถึงรากเง้าของตัวเองอย่างดุเดือดและถึงเลือดถึงเนื้อใน Blood and Bones…
In Blood and Bones
“คิม ซุนไป คือชายที่ถวายตัวให้แก่ความปรารถนาของตัวเอง"
เป็นคำอธิบายของผู้กำกับซาอิ ถึงตัวละครเอกใน Blood and Bones
"แรงปรารถนาผลักดันให้เขาสร้างและทำลายโลกใบเล็กๆ ในสถานที่ที่เขาอาศัยอยู่ ถึงซุนไปจะเป็นคนที่อยู่ในต่างแดน แต่เขาก็ไม่ได้สร้างและขยายอาณาเขตของตัวเอง แต่เขาจะสร้างแล้วทำลายมันซ้ำแล้วซ้ำเล่า'
หลายคนอาจมองว่าซุนไปคือ สัญลักษณ์แทนความเศร้าโศกคับแค้นใจของคนเกาหลีในอดีต แต่ซาอิก็ยืนยันว่า "คุณอาจพลิกมองคิมในหลายๆ แง่มุม ก่อนจะพบกับความว่างเปล่า" เพราะ "เขาคือคนที่มีชีวิตอยู่เพื่อตัวเอง เขาเลือกทุกอย่างเอง เขาต่อสู้เพื่อสนองตัณหาของตัวเอง"
ซาอิยังอธิบายว่า Blood and Bones ไม่ได้เป็นแค่เรื่องของคนเกาหลีในญี่ปุ่น แต่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ในทุกประเทศที่ขยายอาณานิคม ถึงลัทธิล่าอาณานิคมจะเป็นสิ่งที่สร้างขึ้นโดยชาติตะวันตก แต่หลายประเทศในเอเชียก็นำมาใช้ต่อ และทุกที่จะต้องมีผู้อพยพและชนกลุ่มน้อย
ชนกลุ่มน้อยอาจเป็นปัญหา แต่สิ่งที่ร้ายยิ่งกว่ากลับเป็นทัศนคติของคนในสังคม เพราะซาอิบอกว่า "คนชอบทึกทักว่าเข้าใจชนกลุ่มน้อย" แต่จริงๆ แล้ว "มีคนเกาหลีกว่า 7 แสนคนในญี่ปุ่น แต่ละคนก็มีชีวิตแตกต่างกันไป ไม่มีเหตุผลว่าทำไมชีวิตของพวกเขาต้องเหมือนกันด้วย"
ส่วนการได้ตัว คิตาโน มารับบทซุนไปก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะซาอิเล่าว่า "ผมรอตั้ง 6 ปีกว่าคิตาโนจะยอมเล่นหนังเรื่องนี้” "ในนิยาย ซันโปจะตัวสูงใหญ่กว่า 2 เมตร ถึงคิตาโนจะรูปร่างไม่สูงใหญ่ แต่ก็มีเขาเพียงคนเดียวเท่านั้นที่จะระเบิดความรุนแรงและตัณหาของซุนโปออกมาได้” ซาอิถึงกับย้ำว่า “ถ้าคิตาโนไม่ยอมเล่น ผมก็ไม่ทำหนังเรื่องนี้แน่”
ทว่าคนที่ทีมงานพร้อมใจกันตั้งสมญานามว่า “ซุนโปจิ๋ว” กลับเป็นตัวซาอิเอง เพราะเขาติดนิสัยเฟอร์เฟ็คชันนิสต์ไม่น้อยหน้าอาจารย์ (โอชิมะ) จนก่อให้เกิดเหตุการณ์เผด็จการในกองถ่ายหลายครั้ง กระทั่งคิตาโนยังยอมรับว่าการได้ร่วมงานกับซาอิ เป็นทั้ง ”การเรียนรู้” และ “ฝันร้าย”
และเหตุการณ์ที่คิตาโนนำมาเล่าเป็นโจ๊กอยู่บ่อยครั้งก็คือ ตอนที่เขาหัวไหล่หลุดขณะแสดงฉากอาละวาด แต่ซาอิยังสั่งให้เขารีบกลับมาถ่ายต่อและจัดการต่อหัวไหล่ให้เข้าที่เองด้วย!
“หมอนี่มันปีศาจชัดๆ” คิตาโนเล่าอย่างติดตลก “น่าจะมีใครเรียกตำรวจมาจับเขาเข้าคุกได้แล้วนะ”
สามารถคลิกดูภาพประกอบได้ที่ www.thaipr.net--จบ--

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ