ก้าวที่กล้าและยิ่งใหญ่สู่ทศวรรษใหม่ของ “นนทรีย์ นิมิบุตร” กับอภิมหาภาพยนตร์ไทยแอ็คชั่น-แฟนตาซีเรื่อง “ปืนใหญ่จอมสลัด”

ข่าวบันเทิง Thursday September 18, 2008 15:16 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--18 ก.ย.--สหมงคลฟิล์ม
ก้าวที่กล้าและยิ่งใหญ่สู่ทศวรรษใหม่ของ “นนทรีย์ นิมิบุตร” กับอภิมหาภาพยนตร์ไทยแอ็คชั่น-แฟนตาซีเรื่อง “ปืนใหญ่จอมสลัด” (Queens of Langkasuka)
กว่า 1 ทศวรรษบนเส้นทางภาพยนตร์ไทย ผู้กำกับภาพยนตร์คุณภาพ “นนทรีย์ นิมิบุตร” ได้สร้างผลงานและชื่อเสียงทั้งในฐานะโปรดิวเซอร์และผู้กำกับฯ ให้ภาพยนตร์ไทยเป็นที่รู้จักกันมากขึ้นในระดับสากล
ผลงานแต่ละเรื่องของเขาไม่ว่าจะเป็น 2499 อันธพาลครองเมือง, นางนาก, จันดารา, อารมณ์ อาถรรพณ์ อาฆาต และ โอเคเบตง ล้วนมีความโดดเด่น, เอกลักษณ์เฉพาะตัว และถึงพร้อมด้วยคุณภาพในทุก ๆ ด้าน แน่นอนว่า ทั้งหมดได้ผ่านสายตาและสร้างความประทับใจให้เกิดแก่ผู้ชมระดับนานาชาติเป็นจำนวนมากด้วย
มาปีนี้ เขาพร้อมแล้วที่จะพลิกโฉมภาพยนตร์ไทยในทุก ๆ ขั้นตอน ให้ก้าวไกลไปอีกระดับหนึ่งกับภาพยนตร์แอ็คชั่น-แฟนตาซีซึ่งมีตำนานแห่งความเสียสละเป็นแก่นของเรื่องใน “ปืนใหญ่จอมสลัด” (Queens of Langkasuka) และก่อนที่จะไปชมอภิมหาภาพยนตร์ไทยเรื่องนี้กันในวันที่ 23 ตุลาคมนี้ เราน่าจะไปเจาะลึกถึงเบื้องหน้าเบื้องหลัง ความเป็นมาเป็นไปกว่าจะกลายมาเป็นโปรเจ็กต์ทุนสร้างสูงกว่า 200 ล้านบาทเรื่องนี้กันก่อนดีกว่า
จุดเริ่มต้นในการหยิบจับเรื่องราวนี้ขึ้นมาทำเป็นโปรเจ็กต์บิ๊กเบิ้มขนาดนี้
ที่มาของเรื่องนี้จริง ๆ แล้ว เราคือผมและทีมงานหลาย ๆ ท่านนะครับ กับเพื่อนที่เคยได้ทำหนังร่วมกันมาแล้วหลาย ๆ เรื่อง จนร่วมครบรอบ 10 ปีแล้วนะครับ แล้วก็มีความคิดกันว่าถ้าเกิดเราจะทำหนังอีกซักเรื่องเนี่ย เราควรจะทำหนังที่มีขนาดที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เราเคยทำมา ด้วยเพราะว่าเรายังมีแรงอยู่ ไม่แน่ใจว่าถ้าเลยไปอีกสัก 3 ปี 5 ปีข้างหน้าเนี่ยเราจะมีแรงทำหนังขนาดใหญ่อย่างนี้ได้อยู่หรือเปล่า ก็เลยเป็นไอเดียที่ว่าเราควรจะเริ่มหาโปรเจ็กต์ใหญ่ ๆ โปรเจ็กต์หนึ่งเพื่อที่จะมาทำในช่วงนี้ เพราะตอนนี้หลัง ๆ ออกมาทำงานกองถ่ายก็เริ่มเหนื่อยมากขึ้น Energy ในการทำงานมันก็คงมีอยู่แหละ แต่กลัวว่ามันจะล้นออกไปเมื่อมีอายุมากขึ้น ผมว่าก็เริ่มมาทำอันนี้ซะก่อนเลยดีกว่า
แต่เมื่อเราจะทำหนังสักเรื่องผมก็คิดว่า ถ้าผมจะทำหนังประวัติศาสตร์เลย มันคงอาจจะกระทบกระเทือนในความมั่นคงบางอย่าง หรือว่าอาจจะทำมาไม่สนุกเท่ากับท่านมุ้ย (ม.จ. ชาตรีเฉลิม ยุคล) อะไรอย่างนี้นะครับ ผมก็เลยคิดว่าไหน ๆ เราก็น่าจะใส่อะไรเข้ามาเพิ่มเติมนิดหน่อย ตอนแรกก็เกิดแค่แอ็คชั่น มันน่าจะมีฉากรบแบบนี้ ๆ ๆ แต่พอได้คุยกับพี่วินทร์ (วินทร์ เลียววาริณ-ผู้เขียนบท) ก็เลยได้คิดเกินต่อไปว่า จริง ๆ แล้วถ้าเราเติมความเป็นแฟนตาซีเข้าไปในภาพยนตร์อีก มันก็จะยิ่งทำให้น่าสนใจมากขึ้นอีก สุดท้ายก็กลายเป็นหนังแอ็คชั่นแฟนตาซี โดยมีดรามาติกเป็นเรื่องของชีวิตตัวละครราชินีที่เราขอหยิบยืมมาครับ
ใช้เวลาในการค้นคว้าข้อมูลนานมากน้อยแค่ไหน
ใช้เวลาประมาณ 2 ปีในการ รีเสิร์ช ข้อมูลทั้งหมด คือจริง ๆ แล้วเรายอมรับว่าเราไม่ได้ไปรีเสิร์ชเจาะลึกในเรื่องประวัติศาสตร์นะครับ ประวัติศาสตร์เราเอามาน้อยมาก เราเอาตัวความรู้สึก เราเอาตัวความเสียสละขององค์ราชินีแต่ละองค์ นำตรงนั้นมามากกว่า คือเอาคอนเซ็ปต์ของราชินี วิธีการปกครองของแต่ละองค์มา ซึ่งน้อยองค์ที่จะได้แต่งงาน เพราะฉะนั้นแสดงให้เห็นเลยว่า ท่านต้องเสียสละมาก ๆ ในการที่จะต้องปกครองประเทศ หรือแม้กระทั่งการแต่งงานก็เป็นการแต่งงานที่มีเงื่อนไขนะครับ คือว่าเราพอจะนึกออกว่าไม่ได้เป็นไปในเรื่องของความรัก แต่เป็นการเสียสละเสียมากกว่า ไอ้ความเสียสละนี่เป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่มาก
แต่ว่าสิ่งที่เราไปรีเสิร์ชเพิ่มเติมก็คือว่า ตัวพระราชวังเอง ตัวชีวิตความเป็นอยู่เอง เสื้อผ้า หน้า ผม ไลฟ์สไตล์ของผู้คน เขากินอะไรกัน เขาอยู่กันยังไง อันนั้นน่ะเป็นตัวที่ต้องรีเสิร์ช เพราะว่าหลักฐานทางประวัติศาสตร์เรามีน้อยมากหรือแทบไม่มีเลย เพราะฉะนั้นเราจะไม่รู้เลยว่าหน้าตาของเมืองเป็นยังไง เสื้อผ้าเป็นยังไง ชีวิตความเป็นอยู่เป็นยังไง เคารพกันอย่างไร เขาทำอะไรกันอย่างไร พวกนี้จะต้องลงไปรีเสิร์ชมาทั้งหมดซึ่งใช้เวลานานมาก
แสดงว่าเวลาที่ไปค้นคว้าข้อมูลแต่ละครั้ง ก็ต้องลงพื้นที่กันจริง ๆ เลย
ลงพื้นที่จริงครับ คือเราลงไปที่แหลมมลายูทั้งหมดจริง ๆ ใช้เวลาหลาย ๆ เดือนที่ไปค้นคว้า ทั้งเสื้อผ้าทั้งอะไรทุกอย่างครับ เพราะฉะนั้นผ้าที่เราใช้ในหนังต้องทอขึ้นใหม่ทั้งหมด ทุกชุด ทุกอย่างเราต้องทอใหม่เพราะไม่มีแล้วในปัจจุบันนี้
เป็นยังไงมายังไงถึงได้กวีซีไรต์ 2 สมัยอย่างคุณวินทร์ เลียววาริณมาเขียนบทภาพยนตร์ให้
คือผมเป็นแฟนของหนังสือของพี่วินทร์มานานแล้ว อ่านทุกเล่ม ใช้คำว่าทุกเล่มเลย ในขณะที่อ่านไปก็ทำหน้าที่แฟนทั่วไป คือเขียนจดหมายหาแกบ้าง อีเมลหาแกบ้าง เพื่อจะชื่นชมและก็แลกเปลี่ยนความคิดเห็นในบางมุม แล้วหลังจากที่อ่านงานของพี่วินทร์มาเรื่อย ๆ ผมว่าพี่วินทร์เป็นคนที่เหมาะกับงานเขียนเรื่องประวัติศาสตร์ในเชิงข้อมูล เชิงวิเคราะห์ และก็ไม่ใช่แค่ประวัติศาสตร์ เราอย่าเรียกประวัติศาสตร์เลย เขานำเอาประวัติศาสตร์มาทำเป็นนิยายได้ดีและสวยงามและมีความกลมกลืน พี่วินทร์เป็นคนทำงานละเอียดมากนะครับ คือเราทราบดีเลยว่าจากการอ่านหนังสือของแกมาทุกเล่ม เราทราบดีเลยว่ากว่าเขาจะทำหนังสือเล่มหนึ่งเล่มใดขึ้นมาได้ เขาจะต้องมีข้อมูลมากมายขนาดไหน เพราะฉะนั้นไอ้ความที่เป็นแฟนหนังสือของเขา ชอบวิธีการเขียนของเขา ชอบงาน Creative ของเขาด้วย เพราะฉะนั้นเมื่อเราชื่นชอบเขา เราก็อยากร่วมงานด้วย ก็เลยตัดสินใจเชิญพี่วินทร์ รบกวนมาช่วยทำหน่อย พี่วินทร์ก็ใจดีมาก แบบยินดีให้ความช่วยเหลือ มาเขียนบทภาพยนตร์เรื่องนี้ให้ครับ คือเรื่องนี้มันจะต้องพูดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นมาสัก 3-4 ร้อยปีที่ผ่านมา มันเป็นเรื่องประวัติศาสตร์ เหมือนกับว่าเรามานั่งเขียนประวัติศาสตร์ มานั่งจินตนาการเรื่องประวัติศาสตร์กัน คนที่จะ
จินตนาการเรื่องประวัติศาสตร์ได้ดีจริง ๆ เนี่ยจะต้องคนที่ได้อ่านประวัติศาสตร์หรือเขียนเรื่องประวัติศาสตร์มาเยอะ ๆ เขาจะเข้าใจความเป็นมาทิศทางของการทำงานประวัติศาสตร์ และผมก็ว่าพี่วินทร์นี่แหละใช่ ถูกคนแล้วที่เราเลือกเขามาทำงานและที่สำคัญ อาจจะไม่ค่อยมีใครรู้ว่าพี่วินทร์ได้เรียนด้านภาพยนตร์มาด้วย ตอนที่เขาไปเรียนอยู่ต่างประเทศ เรียนคอมพิวเตอร์กราฟฟิก เรียนอะไรหลาย ๆ อย่าง และก็ภาพยนตร์ก็เป็นเมเจอร์หนึ่งที่พี่วินทร์เรียน เพราะฉะนั้นเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยมีใครรู้ ผมทราบเพราะว่าผมเป็นแฟนหนังสือของพี่วินทร์ ก็เลยเชิญพี่วินทร์มาลองเขียนดู พี่วินทร์ก็นึกสนุกอยากลองเขียนทดลองดูว่าเราจะทำงานกันได้ยังไงบ้าง หลังจากที่เราได้แลกเปลี่ยนข้อมูลค้นคว้าข้อมูลกันไปประมาณปีกว่า ๆ พี่วินทร์ก็รู้สึกว่า เออ...มันสนุก แล้วสิ่งที่ไม่น่าเชื่อก็คือว่าข้อมูลที่ผมคิดว่าผมหามาพอแล้วนี่ มันกลับไม่พอ ปรากฏว่าแกมีมากกว่าผมอีก 2 เท่า และพี่วินก็เป็นคนทำงานเร็วมาก มีระเบียบมาก มีวินัยมาก และน่าศรัทธามาก ๆ ก็ถือว่าเป็นโชคดีของผมที่พี่วินทร์ตอบรับที่จะทำงานนี้ด้วย
สรุปแล้วกว่าที่บทภาพยนตร์เรื่องนี้จะลงตัวอย่างที่เห็น มันผ่านมากี่ร่างกี่เวอร์ชั่น
โอ้โห! เป็น 10 เลยครับ หลายเวอร์ชั่นมากครับ คือกว่าที่เราจะลงตัวกันได้นี่ ผมก็ทำงานเยอะมาก พี่วินทร์ก็ต้องทำงานเยอะมาก แต่ว่าเป็นโชคดีของผมจริง ๆ ที่พี่วินทร์นั้นทำงานเร็วมาก มีวินัย มีระเบียบแบบแผน คือทุกอย่างมาแบบเสร็จสมบูรณ์พร้อมให้เราเลือก มีตัวเลือกให้ ไม่เคยให้เราต้องอับจนกับหนทางใดหนทางหนึ่ง แต่ว่าทุกครั้งก็จะมีตัวเลือกให้เราเลือก ก็ทำงานกันนานมาก ทำงานกัน 1 ปีเต็ม ๆ เลยครับ
การคัดเลือกนักแสดงในบทต่าง ๆ ในเรื่องนี้ ถือเป็นเป็นการรวมนักแสดงคุณภาพของไทยเลยทีเดียว
ครับ นักแสดงหลาย ๆ ท่านถูกวางไว้ตั้งแต่แรกแล้วนะครับ ยกตัวอย่างกรณีของ พี่เอก สรพงษ์ ชาตรี ก็ถูกวางไว้แต่ต้น คือผมอยากทำงานกับพี่เอกมานานแล้วนะครับ พอได้มีโอกาสครั้งนี้ก็เลยวางตัวพี่เอกไว้เป็นตัวกระเบนขาว หรืออย่างพี่เปิ้ล จารุณี สุขสวัสดิ์ อันนี้เลือกเพราะว่าจริง ๆ แล้วเราคิดว่าคนที่เป็นราชินีในคาบสมุทรมลายูในช่วงนั้นน่ะ ก็ไม่น่าจะไทยมาก ไม่น่าจะมีลักษณะเป็นไทยจ๋า ๆ ขนาดนั้น น่าจะเป็นส่วนผสมของลูกครึ่งนิด ๆ อะไรทำนองนี้ ก็เลยคัดเลือกจนได้พี่เปิ้ล จารุณีมา แล้วก็มาได้คุณแจ๊คกี้ และก็ได้คุณแอนนา ริส ซึ่งหน้าตาเขาก็ออกจะโทนเดียวกันนะครับ ดูแล้วก็เป็นพี่น้องกันได้ น่าเชื่อถือว่าเป็นพี่น้องกันจริง ๆ ก็เลยมาเป็นราชินีทั้ง 3 องค์ แล้วก็มีคุณเจษฎาภรณ์ ผลดี ที่ถูกวางไว้แต่แรกเช่นกันในบทเจ้าชายปาหัง
หนังเรื่องนี้มันจะมี 2 พาร์ทใหญ่ ๆ ที่เป็นแอ็คชั่นและก็เป็นแฟนตาซี ตัวเดินเรื่อง 2 คนแรกที่ผมมองเห็นคือ เดี่ยว ชูพงษ์ ในพาร์ทของความเป็นแอ็คชั่น ในความที่เดี่ยว ชูพงษ์เขาเป็นคนที่เป็นแอ็คชั่น เล่นแอ็คชั่นได้ดี มีลีลาเฉพาะตัว มีท่าทางเฉพาะตัว มีรูปแบบในการต่อสู้เฉพาะตัว โดยเฉพาะหนังเรื่องนี้ต้องการดีไซน์การต่อสู้ที่เป็นแบบทางคาบสมุทรมลายูด้วย ไม่ใช่เป็นแบบไทยแท้ ๆ มันมีรูปลักษณ์เฉพาะตัวแล้วก็ดีไซน์เพิ่มเติม ผมก็นึกถึงเดี่ยว ชูพงษ์ และเขาก็มีวินัยในการทำงานสูงมาก ตั้งใจซ้อมมาอย่างดี
ส่วนพาร์ทที่เป็นแฟนตาซีผมนึกถึง อนันดา เอเวอริ่งแฮม เอาไว้ก่อนตั้งแต่แรกเหมือนกัน ตั้งแต่เริ่มเขียนบทผมก็คิดว่าเป็นตัวละครตัวนี้น่าจะเหมาะกับอนันดา ด้วยรูปลักษณ์ ด้วยบอดี้ ด้วย feeling ของหน้าตาอนันดาเขาไม่ได้เป็นคนไทยแท้ ๆ มันจะมีลักษณะความคมของหน้าที่แตกต่างจากคนไทยทั่วไป เป็นบุคลิกที่น่าสนใจ แล้วก็ตัวเขาเองเป็นคนที่พอเข้าใจตัวละครแล้วก็สามารถถ่ายทอดความรู้สึกต่าง ๆ เหล่านั้นได้ดี แล้วอนันดาเป็นคนที่มีวินัยในการทำงานมากเช่นกัน มีเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยเกี่ยวกับเขานิดหนึ่งตรงที่ว่า ก่อนที่เขาจะมาเล่นหนังเรื่องนี้ ผมได้ Test เขา เพราะว่ามันต้องถ่ายฉากใต้น้ำเยอะมาก ตอนแรกเขาสามารถดำน้ำอยู่ได้ครึ่งนาที แต่พอเราฝึกหัดเขาแล้วเราก็เริ่มถ่ายจริง พอถึงถ่ายทำจริง เขาสามารถดำน้ำได้ถึง 3 นาทีครึ่ง อยู่ใต้น้ำติดต่อกันโดยที่ไม่ขึ้นมาเลย มันเป็นความน่าตื่นตาตื่นใจว่าเขาสามารถ เขาเหมือนเป็นมนุษย์น้ำจริง ๆ พอเราทำให้เขาเป็นยังงั้น พอเรา Workshop เป็นอย่างนั้นได้ เขาก็รู้สึกว่าเขาเป็นมนุษย์น้ำที่แฟนตาซี เพราะว่าคนปกติอยู่ได้นาทีครึ่งก็อยู่ไม่ได้แล้ว แต่สำหรับอนันดาเขาสามารถที่จะฝึกฝนตัวเอง มีสมาธิที่ดีจนสามารถกระทั่งอยู่ได้เลยโดยไม่ต้องขึ้นมา ก็เป็นเซอร์ไพร์สของผมมาก
พวกนี้ก็เป็นข้อมูลที่เรามองมาตั้งแต่ต้นอยู่แล้วเพื่อที่จะให้พี่วินทร์สามารถจะทำงานตามคาแร็คเตอร์ เวลาทำเป็นบทแล้วก็จะเห็นคาแร็คเตอร์ของทุก ๆ คนได้ แล้วก็จะทำตามนั้นได้ เพราะฉะนั้นบทภาพยนตร์ที่เขียนขึ้นมาก็จะถูกเขียนขึ้นมา Support บุคลิกและลักษณะของตัวละครตัวนั้น ๆ เลยนะครับ
คัดเลือกกันอยู่นานมั้ยกว่าที่จะลงตัวในทุก ๆ คาแร็คเตอร์อย่างนี้
ก็นานครับ มันไม่ใช่แค่ตัดสินใจอย่างเดียว แต่มันเป็นเรื่องของการติดต่อด้วยว่า จะได้เขาอย่างที่เราวางหรือเปล่า คือตัวที่เราวางไว้แล้ว ถ้าเกิดเขาไม่ว่าง มันจะต้องทำยังไง แต่ปรากฏว่าโชคดีมาก ทุกตัวที่เราวางไว้ เขาพร้อมดีที่จะร่วมงานกับเรา ทุกท่านเลย ก็เป็นเรื่องที่น่ายินดีมาก ก็ไม่น่าเชื่อว่าจะได้ครบลงตัวขนาดนี้
การเลือกโลเกชั่นต่าง ๆ ในการถ่ายทำเรื่องนี้ก็เป็นอีกหนึ่งส่วนที่สำคัญมาก ๆ
คือโลเกชั่นจริง ๆ เนี่ยมันมีความยากลำบากอยู่นิดหนึ่งตรงที่ว่า ทุกวันนี้เราไม่สามารถจะลงไปถ่ายในโลเกชั่นจริง ๆ ได้ คือว่าเราไม่สามารถจะลงไปภาคใต้ขนาดนั้น แต่เราก็ลงไปถ่ายที่กระบี่ ที่พังงาเราก็ลงไปถ่าย แต่โลเกชั่นใหญ่ ๆ อยู่ทางภาคฝั่งตะวันออก เป็นทะเลทางตะวันออกมากกว่า คือไป ๆ มา ๆ กลับเห็นว่าทะเลฝั่งตะวันออกน่าสนใจ เพราะว่าจุดโลเกชั่นที่เราไปเลือกเป็นที่ที่ไม่เคยถ่ายหนังแทบทั้งสิ้นนะครับในฝั่งตะวันออก มันเป็นเพราะว่าอย่างกรณีเกาะสีชัง เราก็จะเห็นว่า เกาะส่วนใหญ่คือทราบได้เลยครับว่าด้านไหนเป็นด้านที่รับลมมรสุม คนก็จะไม่อยู่นะครับ คนส่วนใหญ่ที่อยู่เกาะสีชังก็จะอยู่ด้านหน้าเกาะหลบลมหลบมรสุม แต่สิ่งที่เราไปถ่าย สิ่งที่เราต้องการก็คือมรสุม เราต้องการด้านหลังเกาะเพราะเราต้องการหน้าผาหิน ต้องการคาแร็คเตอร์ของเกาะที่มีลักษณะที่แตกต่างออกไปจากสิ่งที่เราเคยเห็น คือเราไม่
อยากเห็นเกาะที่เขียว ๆ อะไรทำนองนั้น ตัวหินก็มีลักษณะมีคาแร็คเตอร์ที่แตกต่าง เป็นหินที่โดนมรสุม โดนพายุพัดกระหน่ำสาดซัด โดนคลื่นสาด มันก็จะมีคาแร็คเตอร์ของมันที่แตกต่าง หน้าตามันก็จะแปลก ๆ ไป
โลเกชั่นที่เราพยายามไปหา มันจะมีลักษณะพิเศษ เพราะว่ามันจะต้องต่อเนื่องกัน คือ สมมติเราเลือกคาแร็คเตอร์ที่เป็นหินทั้งหมด ทุกที่ก็จะเป็นลักษณะของหิน ถ้ำก็จะต้องเป็นถ้ำหิน ไม่ใช่ถ้ำต้นไม้ ถ้ำดิน คือเป็นลักษณะของที่เลือกมันก็จะต้องเข้ากัน สอดคล้องกัน เพื่อที่จะอยู่ในท้องทะเลเดียวกันได้ ทุก ๆ ที่เราก็ลงไปดู เราก็ลงไปกระบี่ ไปพังงา ไปโน่นไปนี่ เพื่อที่จะไปหาลักษณะของเกาะที่มันสมบูรณ์นะครับ ตอนแรกก็ดูที่ระยอง ดูที่ตราด ดูที่ภาคตะวันออกทั้งหมด สุดท้ายที่น่าสนใจที่สุดก็เป็นที่เกาะสีชังครับ
แต่ว่าเราก็ทราบดีนะครับทุกที่ต้องมีปัญหาอยู่แล้ว เพราะว่าถ้าเกิดคุณเลือกที่ที่โดนมรุสมขนาดนั้น คุณก็ต้องเตรียมป้องกันกับปัญหาเหมือนที่ฉากเราโดนลมพัดหายไปนะครับ (ฉากหมู่บ้าชาวเลบางส่วน) มันก็เป็นอุปสรรคที่เราต้องเจออยู่แล้ว แต่ว่าไม่คิดว่าจะเยอะขนาดนี้ เพราะดูจากหน้าผาก้อนหินมันคงจะโดนสาดซัดอย่างแรงอย่างแน่นอน แต่ว่าก็ผ่านพ้นไปด้วยดี ก็ได้ความสวยงามตรงนั้นมา ถ่าย ๆ อยู่คลื่นสาดกระเซ็นข้ามหัวไปเนี่ย ผมว่าหาไม่ได้ง่าย ๆ ที่จะมีโลเกชั่นที่จะมีลักษณะอย่างนี้นะครับ
ความยิ่งใหญ่ของการออกแบบงานสร้าง-ความพิถีพิถันในการสร้างฉาก และร่วมงานกันอีกครั้งกับพี่เอก เอี่ยมชื่น (ผู้ออกแบบงานสร้างคู่ใจผู้กำกับ)
คือผมร่วมงานกับเอกทุกเรื่องอยู่แล้ว ก็เพราะเป็นเพื่อนกันนะครับ พอเป็นเพื่อนก็ไม่ต้องพูดอะไรกันมาก ลักษณะของการทำงาน ก็คือเราตัดสินใจกันได้เร็วแล้วก็ทิศทางของไดเร็คชั่น ทางลักษณะของทางศิลปะการออกแบบ บรรยากาศก็ไปในทิศทางเดียวกันอยู่แล้ว เป็นทิศทางที่เราวางไว้ตั้งแต่แรกว่าเราอยากให้มันเป็นอย่างนี้ คือความเป็นแฟนตาซีมันก็ต้องเหนือจริงนิด ๆ ลักษณะของแอ็คชั่นมันก็ต้องทำฉากที่มันเอื้อต่อการทำบทแอ็คชั่นทั้งหมด แต่ว่าครั้งนี้เป็นการร่วมงานที่นานมาก เป็นงานที่หินมาก ๆ โหดมาก ๆ คือผมก็ทราบว่าเอกคงเหนื่อยมากกับเรื่องนี้ เพราะว่าเป็นงานใหญ่ทั้งหมดเลย ฉากก็ใหญ่อลังการหมด อุปกรณ์เครื่องไม้เครื่องมือก็ถูกดีไซน์ใหม่หมด เพราะคนที่เป็นโปรดักชั่นดีไซน์มันต้องควบคุมไปถึงเสื้อผ้า หน้า ผม รอยสัก คาแร็คเตอร์ บรรยากาศของเรื่อง และก็ฉาก คือเป็นการคอนโทรลศิลปะทั้งหมดที่เกิดขึ้นในหนังนะครับ ผมว่าก็เป็นงานหินพอสมควร เพียงแต่ว่าด้วยความเป็นเพื่อนกันเราก็เลยตัดสินใจได้เร็วและง่ายขึ้น ไม่ต้องเสียเวลากับการที่ต้องคุยอะไรกันมากมายเลย
ก็จริงครับ หนังของผมก็มี เอก เอี่ยมชื่น ทุกเรื่อง จริง ๆ แล้ว ก็อย่างที่บอกแหละครับ คือเป็นคนทำงาน เป็นเพื่อนกันมานานหลายสิบปีแล้ว ทำงานจนขนาดที่ว่ามองตาก็รู้ใจแล้ว ไม่ต้องพูดอะไรกันมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมันเป็นหนังมหากาพย์ขนาดนี้ มันจึง need ความเป็นโปรดักชั่นดีไซน์สูง มัน need การดีไซน์ มัน need การออกแบบ มัน need ยุคสมัย มัน need ทุกอย่างที่เป็นเรื่องของการออกแบบเกี่ยวกับงานศิลปะ เพราะฉะนั้นผมคิดว่าไม่มีใคร...และกล้าพูดด้วยว่ามันยากที่เมืองไทยจะมีใครที่จะเหมาะสมเท่าคุณเอก เอี่ยมชื่น อีกแล้ว ในรูปแบบโดยเฉพาะการทำงานของผมเอง
ด้วย ผมทำงานกับเอก ไม่ใช่เฉพาะแต่เรื่องศิลปะหรือเรื่องการดีไซน์อย่างเดียว เราทำงานกันตั้งแต่บทภาพยนตร์ ความเหมาะสมต่าง ๆ ความเชื่อถือต่าง ๆ อันนี้เป็นสิ่งที่เราเริ่มต้นดีไซน์ไว้ตั้งแต่แรก บรรยากาศของหนัง ทิศทางของหนังไดเร็คชั่นของหนังเนี่ย ถูกวางไว้ตั้งแต่บทภาพยนตร์ของหนังแล้ว เพราะฉะนั้นเนี่ยการที่เอกทำงานกับเรา ทำงานกับผมมาอย่างนี้ตลอด เริ่มตั้งต้นตั้งแต่ตัวหนังสือตัวแรกด้วยกัน มันก็ง่ายกับการที่เราจะจูนกัน คือผมเชื่อว่าในเมืองไทยมีคนเก่ง ๆ อย่างคุณเอกหลายคน เพียงแต่ว่าที่สามารถจะจูนให้เข้ากับเราได้ง่าย และเข้าใจในสิ่งที่เราต้องการได้ง่ายที่สุดเนี่ย ก็คือคนที่เคยทำงานกับเราได้นานที่สุด แล้วก็เป็นเพื่อนเราด้วยนี่แหละครับ
ใช้เวลาในการเตรียมงานแต่ละเซ็ตนานแค่ไหน
แต่ละเซ็ต โอ้โห! มันมีตั้งแต่ 1 เดือนจนถึง 6 เดือน ถึงหนึ่งปี มันมีเซ็ทที่สร้างเป็นปี สร้างเป็น 8 เดือน 6 เดือน 4 เดือน 3 เดือน 2 เดือน จนถึง 1 เดือน ไม่มีอะไรต่ำกว่า 1 เดือนเลย
หมู่บ้านชาวเลที่เกาะสีชัง จ. ชลบุรีเนี่ย ใช้เวลาสร้าง 3 เดือน สามเดือน 1 หมู่บ้านนะครับ แล้วมันมีหมู่บ้านข้าง ๆ ที่เป็นลักษณะของท่าเรืออีก อันนั้นประมาณเดือนกว่า ๆ นะครับ ซึ่งทั้งหมดก็ 4 เดือน แต่โดนพายุพังไปแล้วก็สร้างกลับมาอีก 2 เดือนที่จะต้องทำเพิ่ม คืออยากจะเรียนว่าทุก ๆ ฉาก มันใช้เวลายาวนานมาก เพราะว่าทุกฉากมันใหญ่หมด เมื่อเราขึ้นงาน พร้อมกันหมดทุก ๆ ฉากเนี่ย เราก็ต้องรู้ว่าฉากไหนจะเสร็จก่อน เราก็ต้องถ่ายฉากนั้นก่อน
แต่ฉากที่ยาวนานที่สุดก็เป็นปี คือฉากกำแพงวังนะครับ ใช้เวลาสร้างเป็นปีครับ ฉากกำแพงวังที่บ้านฉาง จ. ระยอง ก็เป็นลักษณะของเราก็ไปเช่าเอาลานตากมันใหญ่ ๆ แล้วก็สร้างเป็นกำแพงเมืองใหญ่ ๆ ซึ่งใหญ่มาก ใหญ่จนน่าตกใจ อันนั้นเราใช้เวลาเป็นปีที่จะถ่ายทำ
อย่างกรณีของถ้ำ ถ้ำที่เราไปเซ็ตติ้งนะครับ เราใช้ถ้ำลูกเสือที่พังงากับถ้ำที่กระบี่นะครับ เราใช้เวลาเซ็ตกันประมาณ 5-6 เดือน ทั้ง 2 ถ้ำเนี่ยทั้งหมดใช้เวลาประมาณ 5-6 เดือนในการเซ็ตฉากทั้งหมด เพราะว่ามันต้องไปสร้างเพิ่มนะครับ อย่างมันมีกรณีของบางถ้ำที่มันมีรู เราก็ต้องปิด เราก็ต้องฉีดโฟมทำ Texture ให้มันเหมือนกับหินตรงนั้น ทำรอยแยก ทำคาแร็คเตอร์ให้มันมีคาแร็คเตอร์เดียวกัน มาปิดรูนี้ เปิดรูนั้น คือมันต้องทำ มันไม่ใช่เข้าไปแล้วใช้ได้เลยนะครับ ทุกอย่างมันต้องถูกเซ็ตให้เป็นรังโจร เป็นคุก มันต้องมีที่ประชุมงาน ห้องทำงาน ที่พักผ่อน ที่นอน ทุกอย่างมันเหมือนจริงหมดเลย เพราะฉะนั้นมันใช้เวลายาวนานในการทำมาก แม้กระทั้งเรื่องของการดีไซน์อุปกรณ์ที่ใช้ อุปกรณ์เครื่องไม้เครื่องมือทั้งหมดที่เอาไปอยู่ในถ้ำมันก็จะถูกทำเป็นเหมือนซากเรืออะไรอย่างนี้ มันก็เหมือนทุกอย่างต้องถูกดีไซน์ขึ้นมาใหม่ทั้งหมด ดูแล้วเหมือนมันมีอยู่จริง แต่ถ้าเราดูรายละเอียดจริง ๆ เราจะเห็นว่ามันถูกดีไซน์ทั้งหมด แม้กระทั่งผ้าใบคลุมหลังคาก็ยังเป็นผ้าใบเรือนะครับ ทุกอย่างมันถูกใช้งานบนความรู้สึกเหมือนจริงของเรา
เครื่องแต่งกายในเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องสำคัญมาก
เสื้อผ้าเครื่องแต่งกายก็จะเป็นการแบ่งแยกคาแร็คเตอร์ของแต่ละส่วนให้มันแตกต่างกันนะครับ จริง ๆ แล้วเราจะแบ่งแยกง่าย ๆ ใน “ปืนใหญ่จอมสลัด” จะมีคนอยู่ 3 กลุ่ม คือกลุ่มหนึ่งก็จะเป็น “พวกลังกาสุกะ” เป็นกลุ่มพวกคนเมืองคนวัง กลุ่มที่สองจะเป็น “พวกกลุ่มโจรสลัด” นะครับ แล้วกลุ่มที่สามก็จะเป็น “พวกชาวน้ำชาวเล” นะครับ ก็จะแบ่งเป็นสามกลุ่มชัด ๆ นะครับ
คือคอสตูมเป็นเรื่องที่เรารีเสิร์ชยุ่งยากที่สุด มีทีมรีเสิร์ชเฉพาะของคอสตูมอย่างเดียว 6 คนออกไปกระจายกันตามแหล่งต่าง ๆ ที่เราคิดว่าน่าจะพบหลักฐานประวัติศาสตร์ทางเสื้อผ้าบ้าง เป็นทีมที่ทำงานกัน 3 เดือนในการรีเสิร์ชจริง ๆ ทั้งหมดกลับมาและได้ข้อมูลต่าง ๆ เราก็เอาข้อมูลต่าง ๆ เหล่านั้นเนี่ยออกไปพิพิธภัณฑ์ด้วย ก็จะเห็นอะไรที่หน้าตาประหลาดที่เราไม่เคยเห็นเหล่านั้นเยอะแยะไปหมดเลย เสร็จแล้วเราก็รวบรวมรูปถ่ายจากพิพิธภัณฑ์มาดีไซน์ขึ้นว่า ความน่าจะเป็นคนที่นั่น ณ สมัยนั้นประมาณไหน เป็นส่วนผสมเหมือนเดิมครับเป็นเหมือนฉาก เป็นส่วนผสมของมลายูกับไทย ชัดเจนว่าทางไทยจะน้อยหน่อย หลัก ๆ จะออกไปทางมลายูซะเยอะนะครับ ไม่ว่าจะเป็นการโพกผม การใส่เข็มขัดเส้นใหญ่ มีกริชเหน็บ คือมันต้องรีเสิร์ชขนาดกริชแต่ละเล่มหน้าตาเป็นอย่างไร กริชเล่มนี้ยศอะไร บ่งบอกฐานะของผู้ถือว่าเจ้าระดับไหนถือกริชแบบไหน เจ้าแบบไหนใช้ของแบบไหน โดยเฉพาะอย่างยิ่งราชินีแต่ละองค์ ฮีเจา, บีรู และฮูงู ก็เป็นชื่อสีนะครับ สีเขียว, สีน้ำเงิน, สีม่วง อะไรอย่างนี้ เราก็ต้องเอาคาแร็คเตอร์ของชื่อเขาเนี่ยมาร่วมในการดีไซน์ด้วย เพราะเราใช้คาแร็คเตอร์ดีไซน์ช่วยตั้งแต่แรก และก็ใช้เวลาประมาณ 6 เดือนที่จะแก้ไขปรับปรุงให้มันเหมาะสม และหลังจากนั้นก็จะมีการทำคอสตูมเพิ่มเติมจากคาแร็คเตอร์ดีไซน์นะครับ ก็กินเวลาเกือบปีเกี่ยวกับเสื้อผ้าอย่างเดียวเฉพาะดีไซน์นะครับ และก็ลงมือทำก็อีกหนึ่งปีครับ
อย่างกรณีของหมู่บ้านชาวเล บนเกาะเลดังอย่างนี้ เราก็ต้องดีไซน์โดยใช้ความน่าเชื่อถือ สมจริงสมจังของความเป็นไปได้ว่าคนที่อยู่ในทะเล ชาวน้ำชาวทะเลเนี่ย คนในหมู่บ้านเมื่อเขาเป็นชาวเล เขาก็ไม่น่าจะใส่กางกงกางเกงซับซ้อน ไม่ใส่เสื้อใส่กางเกงอย่างพวกเราหรอก เพราะว่ามันไม่มีความคล่องตัวที่จะลงน้ำหาปลาอะไรทำนองนี้ เพราะผมเชื่อว่าอาชีพที่เขาใช้ก็คือชาวประมงจับปลาอะไรทำนองนี้ เพราะฉะนั้นการดีไซน์มันก็เลยต้องเป็นเสื้อผ้าง่าย ๆ เขาน่าจะใส่เป็นแบบผ้านุ่งเพื่อจะลงทะเล แล้วมันไม่พันแข้งพันขา เพราะว่าเขาต้องไปมุดน้ำ เพราะเขาต้องอยู่กับทะเลตลอดเวลา เพราะฉะนั้นเราก็ดีไซน์อยู่บนความน่าเชื่อถือเหมือนกันว่าเขาน่าจะแต่งตัวประมาณนี้ มีผ้าเตี่ยวผืนเล็ก ๆ ปิดข้างหน้าปิดข้างหลังชิ้นหนึ่ง แล้วตรงกลางก็เหมือนกับผ้าพันอะไรอย่างนี้ แล้วก็คงไม่น่าจะใส่เสื้อเพราะว่าเป็นเมืองร้อน แต่ผมว่าเขาก็น่าจะมีรอยสักให้เป็นเอกลักษณ์นะครับ มันเป็นเหมือนมีชนเผ่าหลาย ๆ เผ่าที่เขานิยมรอยสัก ผมก็เลยคิดว่าถ้าพวกมนุษย์น้ำ เขาน่าจะมีรอยสักซัหน่อยเพื่อจะเป็นเอกลักษณ์ว่าเขาเป็นใคร เป็นเผ่าไหน เพราะว่าพูดจริง ๆ พวกนี้มีชนเผ่าหลาย ๆ
ชนเผ่านะครับ ลักษณะของการแบ่งแยกชนเผ่าก็คือลักษณะของรอยสัก เพื่อจะบอกว่าเผ่านี้เขาสักแบบนี้ นี่เผ่าอะไร นี่เผ่าอะไร นี่เป็นพวกไหน อะไรทำนองนี้ เป็นการแบ่งชนเผ่าพื้นเมืองนะครับ ก็เป็นการดีไซน์ที่อยู่บนความน่าเชื่อถือนะครับ
อย่างเรื่องของโจรสลัดก็เหมือนกัน ผมก็คิดว่าพวกโจรสลัดก็เป็นชาวน้ำชาวทะเล ก็มีชีวิตอยู่ในน้ำในทะเล เขาก็คงไม่น่าจะแต่งตัวอะไรที่พิสดารมาก นอกจากพวกนี้จะเป็นชาวทะเลแล้ว เขาก็ยังเป็นนักรบที่มีเสื้อที่เหมือนลักษณะเป็นหนังปลากระเบน หนังปลาต่าง ๆ เอามาทำเป็นเสื้อเพื่อเย็บต่อกันเป็นชิ้น ๆ อะไรอย่างนี้ ก็เป็นลักษณะที่เหมือนกับเสื้อเกราะลักษณะอย่างนั้น
กลุ่มโจรสลัดเนี่ยนอกจากจะเป็นกลุ่มโจรสลัดที่อยู่ในน่านน้ำทะเลนี้แล้ว ก็ยังมีกลุ่มโจรสลัดอื่น ๆ ที่มันยากขึ้นไปอีก เราจะมี “โจรสลัดวาโกะ” พวกญี่ปุ่นเขาก็จะแต่งตัวเป็นญี่ปุ่น เป็นโจรสลัดแบบญี่ปุ่นเลย ชุดรบของเขาก็จะเป็นแบบญี่ปุ่น มันก็จะมีชุดที่เหมือนนินจา ก็คือกลุ่มพวกนี้เป็นพวกซามูไรนักรบมาก่อน แล้วก็ออกมาเป็นโจรสลัดอะไรทำนองนี้นะครับ มันก็จะมีชุดที่เป็นดีไซน์ของเขานะครับ และก็มีสลัดกลุ่มอื่น ๆ อย่าง “สลัดชวา”, “สลัดยะโฮร์” คือพวกนี้ก็เป็นโจรสลัดที่มันต้องถูกดีไซน์เสื้อผ้าขึ้นมาใหม่ทั้งหมด แล้วก็เป็นเสื้อผ้าที่อยู่ยุคนั้น มันเป็นการดีไซน์ที่แม้หน้าตามันจะแปลก ๆ แต่ก็มีความสมจริงครับ
ปืนใหญ่จอมสลัด” เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับอะไร
เรื่องที่พี่วินทร์เขียนจากการรีเสิร์ชและจินตนาการนี้ก็จะเป็นเรื่องราวของราชินีสามองค์ (ฮีเจา, บิรู, อูงู) แห่งลังกาสุกะที่เมื่อมีการลอบสังหารกษัตริย์เกิดขึ้น เมืองลังกาสุกะก็จำเป็นต้องแต่งตั้งพระธิดาองค์โตขึ้นเป็นราชินี เนื่องจากไม่มีพระโอรส ก็เลยแต่งตั้ง “ฮีเจา” ขึ้นเป็นราชินี ซึ่งจริง ๆ แล้วมันไม่เคยถูกปกครองโดยราชินีมาก่อน และเมื่อผู้หญิงขึ้นมาเป็นราชินี ราชวงศ์อื่นก็เกิดความไม่พอใจ ก็พยายามแย่งชิงเอารัฐนี้เป็นของตัวเอง แย่งชิงเพื่อจะแย่งพระราชบัลลังก์ว่างั้นเถอะ ก็มีการต่อสู้กันระหว่างสายเลือดระหว่างราชวงศ์ ขณะเดียวกันราชวงศ์ที่พยายามจะมาตีลังกาสุกะก็ไปตั้งไปรวมกลุ่มกับพวกโจรสลัดเพื่อจะมาตีลังกาสุกะ และนี่ก็เป็นศึกภายในของเขา และลังกาสุกะก็ยังมีศึกภายนอกอีก ศึกภายนอกก็คือศึกจากกลุ่มประเทศต่าง ๆ ที่ต้องการเมืองนี้ ต้องการยึดเอาความมั่งคั่งของเมืองนี้เอาไว้ ไม่เว้นแม้อยุธยา สยามประเทศนะครับ คือว่าทุกคนต้องการเมืองนี้เพราะฉะนั้นลังกาสุกะก็จะเต็มไปด้วยความเสี่ยงที่จะเกิดสงครามนะครับ เรื่องราวมันก็จะรวมอยู่กับการรบพุ่ง
ขณะเดียวกันก็อีกฝั่งหนึ่งก็เป็นมนุษย์ชาวน้ำชาวเลเนี่ย ก็มีวิชาพิเศษที่เรียกว่า “วิชาดูหลำ” ก็มาช่วยลังกาสุกะเพื่อจะต่อสู้กับพวกราชวงศ์ที่ไปรวมตัวกับโจรสลัด คือเรื่องราวจริง ๆ แล้วมันก็ไม่ได้ซับซ้อนอะไรมาก มีแค่นี้ เพียงแต่ว่าความน่าสนใจมันอยู่ที่แอ็คชั่นของหนัง ในความน่าสนใจอยู่ที่ความเป็นแฟนตาซีของหนัง คือเราไม่เคยมีหนังไทยแบบนี้มาก่อน ในลักษณะความเป็นแฟนตาซีแบบนี้ เราสามารถจะติดต่อสื่อสารกับสัตว์ใต้ทะเลทุกอย่างได้อะไรทำนองนี้ และที่สำคัญคือการพูดถึงความเสียสละของราชินีแต่ละองค์ ท่านต้องเสียสละความรัก ไม่มีความรัก เสียสละชีวิต เสียสละเลือดเนื้อ เสียสละความคิดทุ่มเทให้กับการปกครองบ้านเมือง เพื่อจะให้บ้านเมืองอยู่ในความอุดมสมบูรณ์ ผู้คนอยู่สุขสบาย และก็ยังต้องปกป้องบ้านเมืองจากสภาวะจากสงครามทั้งภายในและภายนอก ซึ่งความเสียสละนี้เป็นอะไรที่ยิ่งใหญ่มาก ๆ สิ่งเหล่านี้ที่ประกอบกันเป็นเรื่องย่ออันนี้ถือเป็นความแข็งแรงของเรื่องราวทั้งหมดครับ
หนังเรื่องนี้จัดอยู่ในแนวแอ็คชั่น-แฟนตาซี? และเป็นแฟนตาซีที่เข้มข้น
แอ็คชั่น-แฟนตาซีครับ เพราะว่าทุกอย่างมันเกือบจะถูกสมมติขึ้นทุกอย่าง แต่มันจะมีตัวละครที่ขอหยิบยืมมาโดยมีความใกล้เคียงความจริงมาก ความเป็นแฟนตาซีของเรา ก็แค่ว่าเราขอยืมวิชาดูหลำ ซึ่งมีอยู่จริงนะครับวิชานี้ ซึ่งเป็นวิชาที่คนทางภาคใต้เราใช้เรดาร์ในการหาปลา คือเขามีวิธีการฟังเสียงปลาเพื่อจะรู้ว่าเป็นปลาประเภทอะไร อยู่ที่ไหน จำนวนเท่าไหร่ คือเขาฟังได้อย่างนั้นจริง ๆ แต่ว่าสิ่งที่เป็นเรานำมาทำเป็นแฟนตาซีก็คือว่า เราเอาวิชานี้มาเพิ่มดีกรีของความเป็นแฟนตาซีขึ้นโดยการที่บอกว่า นอกจากการฟังเสียงปลาอะไรได้แล้ว ถ้าคุณฝึกมากขึ้นคุณจะสื่อสารกับปลาได้ หรือข้ามขั้นไปอีก คุณอาจจะสามารถไปอยู่ใต้น้ำได้อะไรอย่างนี้ ตรงนี้ก็คือความเป็นแฟนตาซีของเรื่องครับ
คือเราอาจจะเคยเห็นหนังแฟนตาซีในภาพยนตร์ไทยอยู่บ้าง แต่ผมเชื่อว่าในภาพยนตร์เรื่อง “ปืนใหญ่จอมสลัด” นี้ ความเป็นแฟนตาซีของเราแข็งแรงมาก ซึ่งเรียกได้ว่าไม่เคยเห็นในภาพยนตร์ไทย ในภาพยนตร์ต่างประเทศเองความเป็นแฟนตาซีมันจะก้าวล้ำไปสู่การดีไซน์ สิ่งที่มัน Create มันสร้างขึ้นใหม่ แต่การทำแฟนตาซีครั้งนี้ของเราเนี่ย เราสร้างอยู่บนพื้นฐานของเรียลิสติก ตั้งอยู่บนพื้นฐานความเป็นจริง ถ้าคนจะสามารถสื่อสารกับปลา ปลาเหล่านั้นก็จะเป็นปลาที่เราเคยเห็นอยู่ เพราะฉะนั้นการทำสิ่งที่เราเคยเห็นให้มันเหมือนแล้วก็ให้มันสามารถที่จะเคลื่อนไหวไปในทิศทางที่เราต้องการ มันยากมากแต่มันก็สนุก ซึ่งมันท้าท้ายในสิ่งที่เราอยากจะทำ แล้วมันไม่เคยเกิดขึ้นในภาพยนตร์ไทย เพราะฉะนั้นแฟนตาซีอันนี้เนี่ย มันจะเป็นความตื่นตาตื่นใจอันใหม่ มันไม่ใช่เหมือนกับการพยายามไปเลียนแบบหนังฮอลลีวู้ดอะไรอย่างงั้น มันแตกต่างกับหนังฮอลลีวู้ดโดยสิ้นเชิงเลยครับ
สำหรับในส่วนแฟนตาซีทั้งหมด เราจะจัดการกับมันยังไง ผมก็ต้องไปเรียนรู้ใหม่กับเรื่องพวกนี้ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเทคนิคทางคอมพิวเตอร์กราฟฟิกทั้งหมดที่มันเข้ามามีบทบาทช่วยเหลือเรายังไงได้บ้าง คือแน่นอนครับว่าเราไม่ได้ขายคอมพิวเตอร์กราฟฟิกแน่ ๆ เพราะว่าโดยสไตล์โดยเวลาแล้วนี่เราไม่คิดจะทำอย่างนั้นนอยู่แล้ว เพียงแต่เราจะเอาคอมพิวเตอร์กราฟิกมาช่วยในการทำให้สิ่งที่เราต้องการจะเห็นให้มันสมบรูณ์ขึ้น ให้มันน่าเชื่อถือขึ้น ให้มันมันจริงขึ้น เพราะฉะนั้นเราไม่ได้ตั้งใจจะขายคอมพิวเตอร์กราฟฟิกอย่างงั้นอยู่แล้ว หนังเรื่องนี้มันไม่ใช่หนังแบบนั้นอยู่แล้วนะครับ เราเอาคอมพิวเตอร์กราฟฟิกมาสนับสนุนให้หนังมันดูสมจริงสมจังขึ้นมากกว่า
ภาพยนตร์ที่มีความหลากหลายอย่างนี้ ส่วนไหนที่คิดว่ายากที่สุดในการทำ
ถ้าจะถามว่าพาร์ทไหนมันยากที่สุด ผมว่ามันยากทั้งหมดนะครับ มันยากหมดครับตั้งแต่วิธีการละ ตั้งแต่วิธีการเริ่มต้นว่าเราจะแบ่งเปอร์เซ็นต์ว่าเราจะอิงประวัติศาสตร์แค่ไหน เราจะพูดถึงแค่ไหน เราก็ต้องคำนึงถึงทางภาคใต้ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นอยู่ด้วย เราต้องคำนึงถึงทั้งหมด เพราะฉะนั้นมันมีความยากเย็นตั้งแต่การเลือกว่าเปอร์เซ็นต์ของการพูดถึงจะพูดถึงอะไรแค่ไหนมากน้อยเพียงไรแล้วก็นำเสนอออกไป และที่สำคัญที่สุด สิ่งที่เราขาดจริง ๆ ก็คือ การที่มีคนบันทึกประวัติศาสตร์จริงว่าวัฒนธรรมประเพณีในยุคนั้นเป็นอย่างไร มันไม่มีเหลือเลย ไม่มีใครรู้เลย เพราะฉะนั้นเราต้องค้น ต้องค้นคว้าตั้งแต่มาเลเซีย เอาชวา เอาทุกอย่างมาผนวกแล้วก็ดูความน่าจะเป็นว่า มันจะเป็นยังไง ถ้ามันเป็นของทางฝั่งเรามันจะเป็นยังไง ถ้าเทียบกับทางฝั่งมาเลเซียแล้ว มันจะเอาเปอร์เซ็นต์ดีกรีมามากน้อยเพียงใด แค่นี้ก็ยากมากแล้ว แม้แต่คนจะไหว้จะไหว้กันท่าไหน เพราะว่าเมื่อก่อนเขาก็ไม่ใช่มุสลิม เมื่อก่อนเขาเป็นฮินดู เป็นพุทธก็มี ฮินดูก็มี แล้วก็มาเปลี่ยนเป็นมุสลิมทีหลัง เพราะฉะนั้นมันจะเป็นมุสลิม 100 เปอร์เซ็นต์หรือเปล่า มันก็คงไม่ใช่นะครับ การขยับตัวของนักแสดง ทุกอย่างมันมีผล มีผลหมดเลย เพราะฉะนั้นเราจะต้องรีเสิร์ชอย่างหนัก แล้ววิธีการมันก็จะต้องดูดีด้วยใช่มั้ยครับ คือถ้าเหมือนเป๊ะแล้วก็ดูแปลก ๆ มันก็คงไม่ดี เพราะฉะนั้นมันยากมากครับ ทุก ๆ อันทุก ๆ อย่างที่เรากำหนด แม้กระทั้งพระราชวังที่เราใช้ถ่ายทำไปหมดแล้ว วิธีการต่าง ๆ ในวังมันก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้น มันก็ยากมากที่เราจะตัดสินใจเอายังไงดี ถ้าค้นคว้าทุก ๆ อย่างที่เขาทำ เราต้องค้นทั้งหมดแล้วก็ตัดสินใจเอา เราเชื่อว่าอย่างนี้ว่าจะถูก
นิยามหรือภาพรวมของเรื่องนี้เป็นอย่างไร
ประเด็นของหนังเรื่องนี้จริง ๆ แล้วเราจะพูดถึงเรื่องง่าย ๆ นะครับ พูดเรื่อง Simple มาก ๆ จริง ๆ สิ่งที่เรามักจะมองเห็นคือด้านดีกับด้านไม่ดี ด้านขาวกับด้านดำ คือหนังเรื่องนี้พยายามจะบอกว่าในมนุษย์คนเรามันมีทั้งด้านดำและด้านขาวปนกันอยู่ในตัวคนเรา คือไม่มีใครขาวจั๊วะ ไม่มีใครดำปี๋ คือผมรู้สึกว่าอย่างนั้นเสมอ และหนังเรื่องนี้เป็นการยืนยันความคิดอันนั้นอีกครั้ง จริง ๆ แล้วพูดถึงประเด็นนี้ในหนังหลายเรื่องแล้ว แต่เรื่องนี้จะเป็นเรื่องที่พูดถึงประเด็นนี้ค่อนข้างแข็งแรงและชัดเจนว่าคนเรามีสองด้าน เพราะฉะนั้นเราเลือกจะหยิบเอาด้านไหนมาใช้ ถ้าหยิบด้านดีมาใช้มันก็จะดี แต่ถ้าเราหยิบด้านดำมาใช้มันก็จะไม่ดี เพราะฉะนั้นมันจะ Simple มาก ๆ ตัวละครในหนังเรื่องนี้ทุกตัว มันจะมีสองด้านเสมอนะครับทุกคนเลย ไม่ว่าจะเป็นจากราชินีมาจนถึงคนธรรมดา สุดท้ายก็เท่ากันคือคนทุกคนก็เท่ากัน เพียงแต่ว่าคุณจะเลือกด้านไหนของชีวิตมาใช้นะครับ อันนี้เป็นจุดที่ชัดเจนที่สุด เราเปรียบเทียบด้วย Symbolic เรื่องนี้ เป็นเหมือนเป็นปลากระเบนราหูที่ด้านหนึ่งจะเป็นสีดำ ด้านล่างจะเป็นสีขาว เวลามันบินก็จะเห็นขาว ๆ ดำ ๆ เป็นลักษณะอย่างนี้ ถ้าเราอยู่ในสภาพดีพร้อมสมบูรณ์เราก็จะดึงด้านดีของชีวิตมาใช้ แต่ถ้าเราตกไปในด้านมืดเราก็จะดึงด้านมืดมาใช้ให้ชีวิตตกต่ำลงไปทำนองนี้นะครับ
การดีไซน์คาแร็คเตอร์หลัก ๆ ของเรื่อง
ตัวละครหลัก ๆ อย่างที่ผมอธิบายจากโครงสร้างของเรื่องก็จะมีตัวละครอยู่ 3 กลุ่มนะครับ คือกลุ่มที่หนึ่ง คือกลุ่มของพวกลังกาสุกะ กลุ่มที่สองคือกลุ่มพวกโจรสลัด กลุ่มที่สามคือกลุ่มของพวกที่เป็นแฟนตาซี ดูหลำ หรือพวกชาวน้ำ เพราะฉะนั้นเราจะเห็นชัด ๆ ว่า งานคาแร็คเตอร์ดีไซน์มันจะมีจุดออกมาเป็นสามกลุ่มใหญ่ ๆ กลุ่มแรกที่เป็นกลุ่มของลังกาสุกะก็จะมีการดีไซน์ที่เกิดจากการรีเสิร์ชไปทางแหลมมลายูทั้งหมดว่าเมื่อก่อนมันมีการแต่งตัวยังไง อะไรยังไง ผมกับคุณเอกได้ลงไปรีเสิร์ชทุกพิพิธภัณฑ์ ตั้งแต่เมืองยันปลายแหลมมลายู ไปดูทุก ๆ ที่ที่มันเกิดมาประมาณสัก 3-4-5 ร้อยปี มันมีอะไรที่เขาใช้งานบ้าง มีอาวุธอะไรบ้าง มีเสื้อเกราะยังไง การแต่งตัวเป็นยังไง ทั้งในฝั่งของราชวงศ์ และฝั่งของชาวบ้านทั้งหมด
แม้กระทั่งโจรสลัด หลักฐานของโจรสลัดทั้งหมดนั้นก็ถูกนำมาดีไซน์ใหม่โดยบวกความเป็นแฟนตาซีเข้าไป คือมันจะไม่เรียลิสติก 100 เปอร์เซ็นต์ ความเป็นแฟนตาซีมันจะทำให้ทุกอย่างมากกว่าปกตินิดนึง มันจะทำให้สนุกกับการดีไซน์ แล้วมันก็จะทำให้เกิดความสวยงามมากขึ้นนะครับ เหมือนกันกับทางฝั่งโจรสลัดก็จะรีเสิร์ชอย่างนี้ทุกอย่างเหมือนกันแล้วก็บวกการดีไซน์เข้าไปในชุดของคนปกติ ที่เป็นโจรสลัดปกติให้มันมากขึ้นกว่าปกติอีกนิดนึง มีรอยสักมีเรื่องของสัญลักษณ์ ของการดีไซน์ของอาวุธต่าง ๆ ที่มันแตกต่างออกไป
ส่วนฝั่งที่เป็นพวกดูหลำหรือชาวน้ำเนี่ย เป็นฝั่งที่ดีไซน์ 100 เปอร์เซ็นต์ โดยเหตุผลพื้นฐานแค่ว่ามนุษย์เหล่านี้ มักจะอยู่ทะเลเป็นส่วนใหญ่ อาชีพของเขาคือการจับปลา เป็นชาวประมง คือเขามีชีวิตอยู่บนบกน้อยกว่าอยู่ในทะเล เรียกอย่างนั้นดีกว่า เพราะฉะนั้นการดีไซน์อยู่บนพื้นฐานความจริงแค่ว่าเขาน่าจะมีเสื้อผ้าน้อยชิ้น เพราะว่าพอโดดลงทะเลแล้วเนี่ย ถ้ามีเสื้อผ้ามากชิ้นมันคงไม่สะดวกต่อการเคลื่อนไหวในทะเล เพราะฉะนั้นการดีไซน์น้อยชิ้นเนี่ยเป็นการดีไซน์ที่ยากแล้วทำให้สวยยาก เรียกว่ามีการดีไซน์เป็น 100 แบบกว่าจะถูกใจกัน แล้วก็อยู่บนพื้นฐานของความเป็นไปได้ว่ามนุษย์น้ำเนี่ยใช้เวลาทั้งชีวิตอยู่ในน้ำมากกว่าบนบกน่าจะแต่งตัวได้อย่างนี้จริง ๆ ครับ
ตัวละครทั้ง 3 กลุ่มล้วนมีความโดดเด่นและความสำคัญต่อเรื่องราวไม่แพ้กันเลย
ครับ เอาอย่างชัด ๆ เลยนะครับ เริ่มจากคาแร็คเตอร์ทางฝั่งลังกาสุกะ “ราชินีฮีเจา” (จารุณี สุขสวัสดิ์) เป็นเจ้าหญิงองค์แรกที่ขึ้นครองบัลลังก์ เพราะฉะนั้นคาแร็คเตอร์ของฮีเจาก็จะเป็นกษัตรีย์ที่แข็งแกร่งทั้งหัวใจ ทั้งความคิด ทำอะไรต่ออะไรที่มันชัดเจน เด็ดเดี่ยว และจริง ๆ แล้วตามบทเดิมมีอธิบายถึงคาแร็คเตอร์นี้ไว้ชัดเจนมาก ในลักษณะที่มีคนมาขอแต่งงานแต่ก็ปฏิเสธไปอะไรทำนองนี้เลย เพราะด้วยความที่การปกครองประเทศเป็นเรื่องที่สำคัญ ท่านพ่อได้ฝากประเทศไว้ที่เขา ฝากรัฐนี้ไว้ เขาจะต้องดูแลให้มันสมบูรณ์เท่าพ่อ เพราะฉะนั้นฮีเจานี่จะเป็นคนที่เสียสละอย่างสูงมาก ที่จะตัดสินและทำทุก ๆ อย่างเพื่อจะรักษาแผ่นดินเอาไว้นะครับ
องค์ต่อไป “เจ้าหญิงบิรู” (แจ๊คกี้ อภิธนานนท์) คาแร็คเตอร์ของบิรู ผมมองว่าเขาจะเป็นลักษณะทางการทูต ศึกษาลักษณะของภาษา ชอบเรื่องภาษา ชอบศิลปะนะครับ ไม่ได้เป็นคนที่ชอบการปกครอง และก็ไม่ได้เป็นคนที่ชอบการสงครามใด ๆ เลย จริง ๆ แล้วเป็นฝ่ายบุ๋น คือเป็นลักษณะของราชินีทางการทูต เป็นองค์หญิงทางการทูต ก็จะคอยติดต่อกับประเทศต่าง ๆ ที่เข้ามาในเมืองลังกาสุกะทำมาค้าขายหรืออะไรก็แล้วแต่ ก็จะส่งบิรูไปเจรจาทั้งหมด
ส่วนองค์สุดท้าย “เจ้าหญิงอูงู” (แอนนา ริส) จะเป็นตัวละครที่รวมเอาคาแร็คเตอร์ 2 คาแร็คเตอร์เอาไว้ด้วยกันนะครับ คือเป็นคนที่เด็ดเดี่ยวเข้มแข็งเหมือนกับองค์ฮีเจา แต่ว่าเชี่ยวชาญทางการรบมากกว่า คือชอบยิงธนูชอบฟันดาบ เรียนวิชาต่อสู้ 3 คนก็จะเป็น 3 คาแร็คเตอร์ที่ชัดเจนนะครับ
ทางฝั่งลังกาสุกะก็ยังมี “ยะรัง” (ชูพงษ์ ช่างปรุง) ก็จะเป็นทหารหลวงที่อายุยังไม่เยอะแต่ว่าเติบโตได้รวดเร็วเพราะว่าเป็นคนที่มีฝีมือดี มีฝีมือทางการรบดี สังเกตว่าการรบพุ่งที่มาจากฝั่งลังกาสุกะทั้งทางทหารทุกคนและตัวยะรังด้วยนั้นจะใช้วิชาดาบแบบปัญจสีรัต เราดัดแปลงเอาวิชาปัญจสีรัตมาเป็นวิชาดาบของเขา เพราะว่าจากรีเสิร์ช จากที่เราไปทางภาคใต้ คาบสมุทรมลายู การต่อสู้จะแตกต่างออกไป จะไม่เป็นการฟันดาบแบบธรรมดา มันก็จะมีท่าทางของเขา มีวิธีการของเขาที่แตกต่างออกไปจากเรา เราก็ไปขอยืมท่าทาง กระบวนท่าต่าง ๆ เหล่านั้นมาดัดแปลงเป็นของเรา ของเมืองลังกาสุกะเอง เพราะฉะนั้นยะรังก็จะมีท่าทางเวลารบที่มันสวยงาม มีการรบที่แปลกตาออกไป
ส่วน “เจ้าชายปาหัง” (เจษฎาภรณ์ ผลดี) พันธมิตรของลังกาสุกะ ก็จะเป็นเหมือนหนุ่มเจ้าสำราญอย่างนั้น เพราะว่าเมืองปาหังก็ถือว่าเป็นเมืองหนึ่งท่าค้าขายที่มั่งคั่งเหมือนกัน แล้วก็มีกองทัพใหญ่ มีแสนยานุภาพสูง เพราะฉะนั้นคนที่เป็นเจ้าชายจากปาหังต้องเป็นลักษณะของเจ้าชายรูปงามและก็มีฝีไม้ลายมือในการยิงปืน เพราะว่าจริง ๆ แล้วปาหังในยุคนั้น ถ้าจากการรีเสิร์ชเราจะทราบว่า เขาจะใช้อาวุธทางฝั่งฝรั่งมากกว่าทางลังกาสุกะ
มาทางฝั่งชาวเลหรือทางฝั่งดูหลำกันบ้าง
ครับ ทางฝั่งชาวเลชาวน้ำ เราก็จะเริ่มจาก “ปารี” (อนันดา เอเวอริ่งแอม) จริง ๆ แล้วเขาเป็นเด็กที่เกิดมาโดยยังไม่ถึงกำหนดคลอด เพราะเมื่อแม่เขารู้ว่าจะต้องตายจากเหตุการณ์เรือแตกตอนต้นเรื่อง แม่เขาก็เลยกรีดท้องเอาปารีออกมา ลักษณะพิเศษของเขา คือ เป็นเด็กชาวน้ำที่สามารถฝึกวิชาดูหลำขั้นสูงได้ จากคาแร็คเตอร์คนที่จะฝึกวิชาดูหลำได้จะต้องมีกำบังลมพิเศษ คือสามารถพูดทางท้องได้โดยไม่อ้าปาก เปล่งพลังออกจากท้องได้ ก็เป็นลักษณะพิเศษของคนที่จะฝึกวิชาดูหลำได้นะครับ เมื่อเขาเกิดมาเราก็เห็นเลยครับตั้งแต่เกิด เมื่อเด็กคนนี้ร้องไห้ออกมาเนี่ยก็จะมีปลาตัวเล็ก ๆ มาอยู่รอบ ๆ ตัว กระโดดกันขึ้นมา เหมือนเสียงเด็กคนนี้มีเอฟเฟ็คต์กับสัตว์ใต้ทะเลจริง ๆ มันเหมือนกับเป็นซาวน์เดอร์เปล่งเสียงออกไปถึงสัตว์แล้วมันสะท้อนกลับมาหาเราคล้าย ๆ ค้างคาวนะครับ ปารีก็จะมีลักษณะพิเศษตรงนี้ แล้วก็ได้ฝึกวิชาดูหลำทั้งด้านดีและไม่ดีทั้ง 2 ทางครับ
ตัวละคร “ลิ่มเคี่ยม” (จักรกฤษณ์ พณิชบย์ผาติกรรม) เนี่ย ตามที่เราได้ศึกษาประวัติของลิ่มเคี่ยมมา ที่ภายหลังเราเรียกเขาว่า “ลิ้มโต๊ะเคี่ยม” เพราะว่าตอนหลังเราค้นคว้าได้ว่าเขาไปแต่งงานกับผู้หญิงชาวมุสลิม ก็เลยมีคำว่า “โต๊ะ” เพิ่มขึ้นมา จริง ๆ แล้วเขาชื่อลิ่มเคี่ยม ชื่อภาษาจีนนะครับ ตามคาแร็คเตอร์ที่วางให้เขา ลิ่มเคี่ยมเขาเป็นโจรสลัดที่ดีหมายถึงปล้นเอาไปช่วยคนดี เราก็วางให้เขาเป็นช่างทำปืนใหญ่ที่เหมือนกับว่าเขาออกจากเมืองจีนแล้วก็ไปอยู่ฮอลันดาเพื่อที่จะทำปืนใหญ่ ลิ่มเคี่ยมมีคาแร็คเตอร์เป็นนักประดิษฐ์ชอบประดิษฐ์ คิดค้นค้นคว้าทำปืนใหญ่ ทำเครื่องร่อน ทำไอ้โน่นไอ้นี่ เป็นนักประดิษฐ์จริง ๆ และก็จับพลัดจับผลูระหกระเหินไปอยู่ที่หมู่บ้านชาวเลที่เกาะเลดัง และก็มีส่วนในการสร้างปืนใหญ่ให้กับฝ่ายลังกาสุกะครับ
คาแร็คเตอร์ของ “กระเบนขาว / กระเบนดำ” (สรพงษ์ ชาตรี) เป็นคาแร็คเตอร์ที่ชัดมากสำหรับหนังเรื่องนี้ คือมันเป็นคอนเซ็ปต์ของหนังเรื่องนี้ เมื่อมีขาวก็ต้องมีดำ คือลักษณะของกระเบนขาว / กระเบนดำ จะเป็นลักษณะของคนสองภาคที่ลักษณะแตกต่างกันสิ้นโดยเชิง กระเบนดำจะลุ่มหลงในพลังอำนาจ ส่วนกระเบนขาวจะเป็นอาจารย์กระเบนที่สงบแล้ว ไม่ได้มีส่วนในการรบราฆ่าฟันกับใคร เขาเรียกว่า “สันโดษ” เป็นเหมือนฤาษี สันโดษอยู่ในเกาะกระเบนเงียบ ๆ แล้วก็เป็นอาจารย์สอนวิชาดูหลำให้แก่ปารีตัวเอกของเรื่องนี้ครับ
ปิดท้ายที่ฝ่ายโจรสลัด
ครับ ฝ่ายนี้ก็จะเริ่มจาก “เจ้าชายราไว” (เอก โอรี) ก็อย่างทราบจากเรื่องราวคร่าว ๆ ไปนะครับว่า เจ้าชายราไวเป็นคนหนึ่งที่อยู่ในราชวงศ์แต่ก็ไม่ได้ขึ้นเป็นกษัตริย์ ซึ่งจริง ๆ แล้วเขาหมายมั้นปั้นมือว่าเขาจะเป็นกษัตริย์ แต่เมื่อเขาก็ไม่ได้ขึ้นเป็นกษัตริย์ เขาก็เลยหนีออกจากลังกาสุกะมารวมหัวกับพวกอีกาดำที่เป็นกลุ่มโจรสลัดนะครับ เพื่อที่จะรวมไพร่พลพรรคพวกปล้นเรือต่าง ๆ ที่ผ่านมาในแถบนั้นเพื่อที่จะสะสมเสบียง สะสมผู้คน สะสมอาวุธ สะสมทุกอย่างเพื่อจุดประสงค์หลักในการยึดครองลังกาสุกะคืนนะครับ จริง ๆ แล้ว ราไวไม่ได้เป็นคนเข้มแข็งหรือแข็งแรงอะไรมากนัก แต่ว่าเป็นนักคิดนักปกครองมากกว่า เป็นคนใช้ความคิดแต่จริง ๆ ร่างกายอ่อนแอกว่าคนปกติด้วยซ้ำ เป็นคาแร็คเตอร์ที่อ่อนแอทางร่างกายแต่ว่าแข็งแรงทางความคิดความอ่าน มีการตัดสินใจที่แข็งแรง ฉลาดแกมโกงว่างั้นเถอะ
“อีกาดำ” (วินัย ไกรบุตร) ที่พูดถึงเมื่อกี้เป็นลูกศิษย์ของอาจารย์กระเบนดำ คือได้ร่ำเรียนวิชาดูหลำมาแต่ว่าในระดับหนึ่งเท่านั้น ไม่ได้เรียนในขั้นสูงสุดจริง ๆ นะครับ และเขาก็มาอยู่กับเจ้าชายราไวเพื่อที่จะซ่องสุมไพร่พลเพื่อที่จะยึดลังกาสุกะ เป็นคนที่ลุ่มหลงมัวเมาในด้านมืด เป็นตัวอย่างที่ใช้วิชาดูหลำในด้านที่ผิด
ศาสตร์แห่งวิชาดูหลำ
“วิชาดูหลำ” มีอยู่จริงครับ เราจะเรียกว่า “ดูหลำ” หรือเรียกว่า “กาน้ำ” ก็แล้วแต่ วิชาพวกนี้มีอยู่จริง เพียงแต่ว่าวิชาที่มีอยู่จริงที่เขาใช้ในปัจจุบัน มันเป็นแค่เหมือนกับการบอก เหมือนกับเป็นตัวแทนของชาวประมงเพื่อไปดูว่ามันมีปลาอยู่ที่ไหนบ้าง มีจำนวนเท่าไหร่ ขนาดไหนและชนิดไหน นั่นคือสิ่งที่เขาบอกโดยการฟัง โดยการสัมผัสกับน้ำ โดยการรับสัญญาณความสั่นสะเทือนจากใต้ทะเล ปกติวิชาดูหลำหรือกาน้ำนี่จะมีแค่นี้เอง
แต่ว่าทางพี่วินทร์ผู้เขียนบทเองได้คิดว่า ถ้าแค่นี้มันไม่พอ มันไม่สนุกพอกับความเป็นแฟนตาซีนะครับ พี่วินทร์ก็เลยบวกเข้าไปว่า ถ้าเผื่อว่าพวกนี้พัฒนาวิชาเหล่านี้ขึ้นไป คือมีคนที่สามารถพัฒนาวิชาดูหลำเหล่านี้ขึ้นไปได้มากกว่านี้อีก ถ้าเขาสามารถจะเปล่งเสียงออกจากทางท้องเนี่ย ด้วยความสั่นสะเทือนจากทางท้องออกไปได้เนี่ย แสดงว่าการรับรู้ของปลามันก็สามารถจะโต้ตอบกันได้ด้วยแรงสั่นสะเทือนนะครับ เพราะฉะนั้นการที่เขาจะสื่อสารกับปลาได้ บังคับฝูงปลาได้ เรียกปลาได้อะไรต่าง ๆ เนี่ย มันอยู่ที่การใช้แรงสั่นสะเทือนในสมาธิขั้นสูง เรียกว่าเหมือนกับว่าเป็นการเรียนดูหลำที่สูงขึ้นไปซึ่ง มีถึง 6-7 ระดับในภาพยนตร์ เราจะเห็นว่าการเรียนมันจะขึ้นไปทีละระดับจนถึงระดับสูงสุดครับ
การร่วมงานกับเหล่านักแสดงคุณภาพชั้นนำของเมืองไทย
จริง ๆ แล้วในเรื่องนี้เราใช้นักแสดงที่เป็นมือฉกาจฉกรรจ์ทั้งนั้นเลยนะครับ แล้วก็นักแสดงกลุ่มหนึ่งที่ผมยินดีมากและรู้สึกดีใจมากที่ได้ร่วมงานด้วย อย่างเช่นกลุ่มพี่เอก สรพงษ์, พี่เปิ้ล จารุณี พวกนี้คือเป็นกลุ่มที่ผมอยากร่วมงานมาด้วยนานมากแล้ว แล้วครั้งนี้มีโอกาสร่วมงานด้วยแล้ว ทั้งสองเป็นมืออาชีพมากยอมรับจริง ๆ ไม่ต้องพูดอะไรกันมาก คือเราแค่บอกความต้องการของฉากแต่ละฉากว่าเราต้องการอารมณ์นี้ในฉากนี้ ต้องการทำความรู้สึกในฉากนี้ว่าเราต้องการอะไรเขาก็จะนำเสนอตรงนั้นออกมาได้ ทุกครั้งที่มีการการเปลี่ยนแปลงส่วนใหญ่ผมก็จะเข้าไปบอกเขาว่ามันมากหรือน้อยเท่านั้นเอง แต่สิ่งที่พวกพี่ ๆ เขาทำให้นั้นมันถูกต้องเข้าทางอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นมันไม่ใช่เรื่องยากเลยครับที่จะทำงานกับนักแสดงยอดฝีมือทั้ง 2 คนนี้
และก็มาถึงกลุ่มที่สองคือกลุ่มราชินีอีก 2 คนก็คือ คุณแจ๊คกี้ กับ แอนนา ริส ทั้งสองคนนี้ค่อนข้างใหม่กับการแสดงหนัง เป็นสองคนที่ผมจะต้องเคี่ยวกรำเขามากหน่อย ก็จะส่งไปฝึกการแสดง ฝึก Workshop กับเราตลอดเวลานะครับและก็ให้เขาทำความเข้าใจกับบท ให้เขาตีความจากบทได้และก็แสดงให้เป็นธรรมชาติมากที่สุด คือพวกเขาก็ให้ความร่วมมือดี คือผมกลับมองว่าบางครั้งยิ่งใหม่ยิ่งดี ตัวละครบางตัวที่ต้องการ ไม่ได้ต้องการความเชี่ยวชาญทางการแสดงมากผมต้องการตัวเขาเปล่า ๆ ที่เราต้องการใส่อะไรให้ไปก็ได้ เพราะว่าทุกคนมีคาแร็คเตอร์ที่ชัดเจนอยู่แล้ว
ไล่มาถึงเดี่ยว ชูพงษ์ เป็นการร่วมงานกันครั้งแรกก็จริง แต่ว่าเหมือนร่วมงานกันมานานแล้วเลย คือไม่ต้องพูดเยอะ ไม่ต้องพูดอะไรกันมาก ก็จะมีความเข้าใจ เดี่ยวก็ได้รับการฝึกการแสดงกับครูเล็กภัทราวดีเหมือนกัน คือกลุ่มเหล่านี้ถ้าเผื่อเป็นนักแสดงที่ค่อนข้างใหม่ก็จะถูกส่งไปฝึกการแสดงทุก ๆ คนเลยนะครับ และเมื่อไปฝึกการแสดงออกมาปรากฏว่า
ก็จะพบว่า เดี่ยวจะไม่ใช่นักแอ็คชั่นอย่างเดียว คือในบทบาทของเดี่ยวเนี่ยเป็นเรื่องของความรักด้วย เป็นดรามาติกอยู่ในบทบาทของเดี่ยวด้วย ซึ่งก็น่าสนใจเลย ผมก็ไม่ได้พยายามให้เขาทำอะไรมากมาย เป็นแบบเล่นอะไรเยอะแยะเต็มไปหมด ผมจะให้เขาแสดงความรู้สึกจากข้างในมากกว่า เป็นความรู้สึกภายในที่ต้องเก็บเอาไว้ คือเขากับราชินีองค์หนึ่งมีความชอบพอกัน แต่เขาก็รู้ฐานะของตัวเขาดี เขาก็ไม่บังอาจเอื้อมไปรักหรือคิดอะไรที่เกินเลยตัวตนได้ เพราะทุกอย่างเขาต้องเก็บความรู้สึกหลาย ๆ อย่างไว้ข้างใน ซึ่งมันน่าสนใจสำหรับผม ผมว่าคนเล่นแอ็คชั่นมาตลอดแล้วต้องมาเล่นความรู้สึกแบบนี้ มันน่าสนใจนะครับ เดี่ยวเคยมีจุดที่น่าเป็นห่วงอยู่จุดหนึ่งก็คือการใช้น้ำเสียงของเดี่ยว ถ้าเผื่อว่าไม่คอนโทรลให้ดีเนี่ย Voice เขาจะแปลก จะสูงมาก ๆ และเสียงเขาก็จะบางเพราะฉะนั้นก่อนที่เราจะถ่ายทำ เราต้องฝึกการใช้น้ำเสียง การออกเสียงของเขาค่อนข้างมาก พูดให้ช้าลงแล้วก็ควบคุมโทนเสียง ซึ่งพอถึงเวลาถ่ายทำจริง ๆ เขาก็ทำได้ดีครับ
ส่วน อนันดา เอเวอริ่งแฮม เรียกว่ายังไงดีล่ะ คือแคสมาไม่ผิดเลยครับ คือผมกลับมองว่าตัวอนันดา ถ้าเราทำให้เขาเป็นคนใส ๆ ผมกลับดูเขาเฉย ๆ แต่เมื่อเราทำให้เขาเป็นคนเซอร์ ๆ เป็นคนที่สกปรก ๆ พูดง่าย ๆ เขากลับดูดีกว่า ผมว่าการที่ผมเขาดูแข็ง ๆ กระด้าง ๆ เหมือนคนไม่อาบน้ำ อยู่กับลมทะเล เนื้อตัวดำทาตัวดำ และก็มีรอยสัก ฟันดำ ๆ ผมว่าเขาดูดี ผมว่าเขาดูเป็นแมน และก็ดูเป็นผู้ชายที่ดูเป็นผู้ชาย ๆ และในเรื่องเขาก็ต้องถอดเสื้อทั้งเรื่อง จำเป็นที่ต้องมีกล้ามเนื้อที่สวยงาม และอนันดาก็มีกล้ามเนื้อที่สวยงาม ผมก็ให้เขาเข้าฟิตเนส เพราะก่อนหน้านั้นอนันดาอ้วน อ้วนและขาวมาก ก็ต้องให้เขาเข้าฟิตเนสเพื่อที่จะลดน้ำหนักแล้วก็ให้มีกล้ามเนื้อมากขึ้น จริง ๆ แล้วผมก็ไม่ต้องการให้เขามีกล้ามเนื้อล่ำ ๆ มากมาย เพียงแต่ว่าให้กล้ามเนื้อมันแข็งแรง ให้กล้ามเนื้อมันชัดเจนแข็งแรงเท่านั้นเอง ซึ่งผมว่าบท “ปารี” มันถูกเขียนขึ้นมาเพื่ออนันดาเลย เพราะตั้งแต่แรกเราก็เลือกเขาไว้แต่แรกทุกคนอยู่แล้ว แต่สิ่งที่ผมภูมิใจและพอใจมากที่สุด มันไม่ได้อยู่ที่ว่าคนไหนเล่นเป็นอย่างไรหรอกครับ แต่มันอยู่ที่ว่าหนังเรื่องนี้เป็นหนังที่ใหญ่มาก ๆ เป็นหนังที่มันมีฉากมีการถ่ายทำที่ทุ่มเทพลังมหาศาล มันมีเรื่องเยอะแยะมาก ในเรื่องของคอมพิวเตอร์กราฟฟิก เรื่องของเอฟเฟ็คต์ต่าง ๆ ทุกเรื่อง Element มันเยอะมาก แม้กระทั้งการถ่ายทำบนเรือมันเป็นเรื่องที่ยุ่งยากมาก แต่ว่านักแสดงเหล่านี้แหละครับที่สามารถทำให้งานของผมมันเบาลงไปเยอะมาก คืองานผมเบาเพราะว่าไอ้ความสามารถของเขา ความตั้งใจของทุก ๆ คน
นอกจากนี้ยังมีเอ็กซ์ จักรกฤษณ์, แก๊ง 2499 ทั้งหลาย คุณเจษฏาภรณ์ ผลดี, วินัย ไกรบุตร และก็ทุก ๆ คนที่มาร่วมงาน ทุกคนทำให้งานของเราง่ายขึ้นเยอะ ก็อย่างที่ผมบอกนะครับมันมีงานอื่น ๆ ที่ต้องดูแลรับผิดชอบ เข้าไปดูแล เข้าไปควบคุม เข้าไปทำงานกับมันอีกมากมายในเรื่องของภาพ เรื่องของแสง เรื่องของการถ่ายทำฉากอะไรต่าง ๆ มันเป็นเรื่องยุ่งยาก การระเบิด การถ่ายแอ็คชั่นซีนไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ว่านักแสดงเหล่านี้สามารถทำให้งานผมง่ายขึ้น เมื่อเรื่องการแสดงผมไม่ต้องห่วงแล้ว ผมก็มีเวลาที่จะมาห่วงอะไรอย่างอื่นมากขึ้นนะครับ และก็คอมพิวเตอร์กราฟฟิกที่ผมไม่เคยทำเนี่ย เมื่อต้องมาทำมันก็ต้องมีการเรียนรู้ทำความเข้าใจกับมัน ก็ต้องมีการประชุมบ่อย ๆ ครั้ง นักแสดงเหล่านี้ทำให้ผมมีเวลามากขึ้นที่จะมาทำงานทางนี้ได้สมบูรณ์แบบมากขึ้นครับ
การถ่ายทำบนเรือเป็นอย่างไรบ้าง
การถ่ายทำบนเรือเป็นอะไรที่ยุ่งยากที่สุดนะครับ คือนึกถึงว่าจะต้องเอากล้องไปอยู่บนเรืออีกลำและก็ถ่ายบนเรืออีกลำหนึ่งซึ่งไม่สามารถจะคอนโทรลอะไรมันได้นะครับ คือระหว่างถ่ายทำเนี่ยผมไม่สามารถจะกางใบเรือได้ เพราะว่ายิ่งกางมันจะยิ่งกินลม มันยิ่งควบคุมทิศทางลมไม่ได้ และการคอนโทรลมันไม่ใช่แค่ว่าคอนโทรลทางทิศไหนเท่านั้น มันต้องคอนโทรลเรื่องแสง คือถ้าเรือมันบิดนิดนึงแสงมันก็เปลี่ยน หรือว่ากระแสน้ำ ลมมันแรงพัดเรือไป มันเป็นการคอนโทรลที่ยากมาก นี่คือการแค่คอนโทรลเรือ ยังไม่ได้พูดถึงต่อสู้บนเรือเลยด้วยซ้ำ และทีนี้พอฉากต่อสู้บนเรือเนี่ยก็อย่างที่ว่านะครับเราก็จะต้องจำเป็นจะต้องมีเรือหลาย ๆ ลำที่จะมาช่วย Support ขนของขึ้น ขนคนขึ้นลง ฉากระเบิดบนเรืออะไรต่าง ๆ ทำนองนี้ มันเป็นเรื่องที่มหาหินที่สุด (หัวเราะ) เป็นเรื่องที่ถ่ายทำยากที่สุด ทำไมเราต้องใช้เวลาถ่ายทำเป็นปี ๆ เพราะว่าฉากต่าง ๆ เหล่านี้แหละครับ เกิดขึ้นบนเรือ บนแพ ปืนใหญ่อะไรต่าง ๆ เหล่านี้ มันคอนโทรลยากมาก
ผมยังนึกสงสัยกลับไปเสมอว่า โอ้โห! คือผมเคยดูเบื้องหลังของหนังต่างประเทศหลาย ๆ เรื่องนะครับ เขาใช้ผู้คนมหาศาลมาก ในขณะที่เราไม่ได้มีผู้คนมากมายขนาดนั้น เรือที่จะมา Support เราก็ไม่ได้มากมายขนาดนั้น เราไม่มีอุปกรณ์เครื่องมือที่สามารถประดิษฐ์ขึ้นมาใหม่เพื่อที่จะรองรับการถ่ายทำบนเรือได้มากขนาดนั้น เพราฉะนั้นสิ่งที่เราได้มาเป็นสิ่งที่เราทีมงานทุกคนนักแสดงทุกท่านร่วมมือกันมากที่สุดแล้ว ที่เราได้มาได้สมบูรณ์ขนาดนี้ มันเป็นเรื่องที่โหดหินมากและเหน็ดเหนื่อยมาก เรือมันก็ไม่สามารถจะมีร่มเงาให้ไปหลบซะด้วยซ้ำ เราก็เจอพายุเจอฝนอยู่ตลอดนะครับ มันเป็นเรื่องที่คอนโทรลยากมาก
ครั้งแรกเลยที่เราดีไซน์ตั้งแต่สตอรี่บอร์ดมาว่า เราจะมีการถ่ายทำกันในทะเลจริง ๆ มีเรือจริง ๆ ไปจอดหลาย ๆ ลำ มีการยิงปืนออกจากเรือจริง ๆ มีการรบพุ่งกันจริง ๆ ตอนแค่คิดโดยภาพที่เรานั่งนึกจินตนาการแล้วทำเป็นสตอรรี่บอร์ดจริง ๆ เนี่ย ผมคิดว่ามันไม่น่าจะยากเย็นอะไร ก็เอาเรือไปจอดแล้วก็เอากล้องไปตั้งแล้วก็ถ่าย แล้วก็คงจะแค่นั้นเอง แต่จริง ๆ แล้วในความเป็นจริงเนี่ย มันโหดหินกว่านั้นมหาศาล คือเวลาเราดูจากหนังต่าง ๆ ที่มีฉากรบทางเรือเนี่ย เราอาจจะจินตนาการว่ามันก็แค่เอาเรือมาวิ่ง แล้วก็รบกันไปอะไรกันไป แต่จริง ๆ แล้วแค่เรือลำหนึ่งไปจอดอยู่กลางทะเลเฉย ๆ เนี่ย มันก็หมุนรอบทิศด้วยตัวของมันเอง ด้วยคลื่น ด้วยลม ด้วยอะไรต่าง ๆ การที่จะบังคับเรือให้อยู่ตรง ๆ นิ่ง ๆ อยู่กลางทะเล แค่นั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่ายแล้ว มันต้องใช้เรือไม่รู้กี่ลำประกบ ประกบเรือหนึ่งลำแล้วก็ดึงเชือกกันไปให้มันอยู่ในสภาวะที่มันตรงนิ่งพอทำได้ แล้วแถมยังมีเรือที่ต้องมีกล้องอยู่บนเรือ แล้วก็คอนโทรลเรือลำนั้น ขนาดความห่างของเรือแต่ละลำ ๆ มันต้องคอนโทรลให้ได้ความห่างระยะที่เท่า ๆ กัน ผมไปลองทำครั้งแรกที่ลองเอาเรือลงไปในน้ำเนี่ย 2 วัน ก็แค่หมุนเรือกันไปหมุนเรือกันมายังไม่ได้ทันถ่าย เพราะว่าแค่พยายามจะบังคับเรือให้ได้ทิศทางก็ยากพอแล้ว ต้องเลิกแล้วกลับมาวางแผนกันใหม่ทั้งหมดว่าเราจะทำงานแบบนี้ยังไงดีอะไรอย่างนี้ คือถ้าเผื่อว่าเรามีงบประมาณอีกแบบหนึ่ง เราก็จะเลือกทำฉากแบบนี้ในสตูดิโอเหมือนกับต่างประเทศเขา ไม่ได้ถ่ายกันในน้ำจริงนะครับ เขาทำสตูดิโอน้ำขึ้นมาแล้วก็ถ่าย เขาจะบังคับเรือในทิศทางใดก็ได้ มันจะโยกไปในทิศทางใดก็ได้ด้วยไฮโดรลิก ด้วยอะไรต่ออะไร แต่ของเราต้องถ่ายจริง ๆ บนทะเลจริง ๆ
เท่านั้น มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เราใช้เวลาไปกับมันประมาณ 2 เดือนกับการถ่ายเรือ ซึ่งจริงแล้วมันเกิดขึ้นในหนังอยู่เพียง 2-3 ฉากเองอะไรอย่างนี้ มันหินจริง ๆ ครับกับการถ่ายทำบนเรือทั้งหมด
แล้วฉากใต้น้ำล่ะยิ่งยากกว่าเป็นหลายเท่าหรือเปล่า
(หัวเราะ) แทบไม่ต้องพูดเลยครับ คือว่าใต้น้ำเนี่ย นักแสดงทุกคนจะต้องไปเรียนดำน้ำก่อนนะครับ ต้องไปเรียนดำน้ำเพื่อให้ชินกับการไม่หายใจหรือหายใจออกอย่างเดียวไม่หายใจเข้า แล้วก็อย่างที่บอกมันเป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจมากนะครับ โดยเฉพาะอนันดาเนี่ยก่อนที่จะไปเรียนกับเรา เขาเคยดำน้ำได้ครึ่งนาที แต่พอเรียนกับเราจนจบ คือมันเป็น Intensive Course มันเป็นคอร์สที่สั้นมาก ๆ แต่เราต้องการเคี่ยวเข็ญทุก ๆ คน เวลาเรียนแค่ 2 อาทิตย์เอง แต่เมื่อเรียนจบแล้วอนันดาดำน้ำได้ 3 นาทีครึ่ง เป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อมาก คือเขาสามารถจะฝึกการอยู่ใต้น้ำจนเหมือนปลาได้ นั่นเป็นเรื่องที่เซอร์ไพรส์จริง ๆ แต่ว่าสำหรับหลายๆ ท่านก็เป็นเรื่องที่ยุ่งยากไม่คุ้นชินกับการดำน้ำ อย่างพี่เอก สรพงษ์ไม่ต้องพูดถึง เคยเล่น “พลอยทะเล” เคยเล่นฉากใต้น้ำเรื่อง “ชู้” เรื่องอะไรใต้น้ำมาเยอะ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นแม้พี่เอก สรพงษ์ ถึงวันนี้ก็อายุมากขึ้นกว่าเดิมเยอะแล้ว แต่ก็ยังจะสามารถจะทำยังนั้นได้อยู่นะครับ ทุกคนต้องอยู่ใต้น้ำกันหมด ผมเองก็ต้องอยู่ใต้น้ำกำกับกันใต้น้ำลุยกันใต้น้ำเลย มีทั้งถ่ายทำในสระว่ายน้ำ มีทั้งถ่ายทำในทะเลจริงทั้งสิ้น โอ้โห! เป็นเรื่องที่ยุ่งยากมากนะครับที่จะทำงาน แต่ว่าโชคดีหน่อยที่ปัจจุบันนี้ยังมีกล้องใต้น้ำที่มันต่อสายมอนิเตอร์มาดูข้างบนได้ มันมีลำโพงที่พูดใต้น้ำได้ เครื่องมืออุปกรณ์เหล่านี้ก็ช่วยเราได้เยอะครับ การถ่ายฉากใต้น้ำทั้งหมดก็ 3 เดือนได้ครับ เพราะเรื่องนี้ฉากใต้น้ำจะเยอะมากครับ
แน่นอนครับ เพราะว่าเราต้องถ่ายใต้น้ำจริง ๆ ด้วยกล้องฟิล์มจริง ๆ แล้ว การที่ต้องหาโลเกชั่น สระที่มีขนาดใหญ่ เราก็ต้องเซ็ตอัพทั้งหมดอยู่ในสระนั้น แล้วแถมนักแสดงก็จะต้องจินตนาการเองด้วยว่าเขากำลังเล่นอยู่กับปลาขนาดไหน มีความเร็วของการว่ายน้ำเท่าไหร่อะไรอย่างนี้ เป็นเรื่องที่ยากมาก ๆ แล้วมันเป็นเรื่องที่ต้องจินตนาการสูงมาก และผมเองก็ต้องยอมรับว่าไม่เคยทำหนังเป็นคอมพิวเตอร์กราฟฟิกเลย เป็นการเรียนรู้ใหม่ ๆ ของผมซึ่งมันก็ยากมากทีเดียวสำหรับตัวเองนะครับ
อีกโลเกชั่นหนึ่งที่หินสมชื่อกับการถ่ายทำในถ้ำหินเป็นอย่างไรบ้าง
ก็หัวแตกไปหลายคนครับ (หัวเราะ) การถ่ายทำในถ้ำ มันก็แน่นอนครับ เราก็พยายามเซฟตี้ให้ทุกคนใส่ไอ้หมวกแข็ง ๆ ทุกคนนะครับเพื่อพยามยามจะเซฟ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น มันก็รำคาญนะครับ ผมเองก็รำคาญแต่ต้องใส่ไว้ จำเป็นที่จะต้องใส่เพื่อจะเซฟตี้ทุก ๆ คน มันก็มีเซอร์ไพร์กว่านั้นเวลาที่เราถ่ายในถ้ำบางครั้งเราต้องการให้มันมืดนะครับ เอาผ้าดำไปขึ้นขึง ปิดเสียงทั้งหมดไว้เพื่อจะให้มันมืดแล้วเราจะได้จัดแสงกันเอง ก็ปรากฏว่าเมื่อเราส่งคนขึ้นไปเดินข้างบน เขาก็พยายามระมัดระวังที่สุดแล้ว แต่ก็แน่นอนครับเขาถีบก้อนหินเล็ก ๆ ลงมาเหมือนภูเขาที่เศษหินมันหล่น ตุ๊บ ๆ ๆ ลงมา คือถ้าพวกเราไม่ใส่หมวกเนี่ยนะครับ คือพวกเราหัวร้างข้างแตกแน่นอนครับ เยอะแยะไปหมดครับ
แล้วเวลาเดินก็ต้องระวังเพราะว่าหลายถ้ำมันมืดมาก ต้องคอยระวัง เราไม่แน่ใจว่าอันไหนเป็นโฟมจริง เอ้ย อันไหนเป็นหินจริง ๆ อันไหนเป็นโฟม เราไม่สามารถจะคาดเดาได้ เพราะเขาทำเหมือนมาก เพราะเขาทำให้มันกลมกลืนกันจนไม่รู้ว่า อันไหนเป็นโฟมอันไหนเป็นหิน ฉะนั้นทุกอันเราต้องระวังหมด แล้วก็นักแสดงทุกคนก็ต้องได้รับการดูแลระมัดระวังกันเป็นอย่างดี มันทำให้งานช้าลงมากอากาศก็ไม่ค่อยพอ หายใจก็ไม่ค่อยออก มันอึดอัดพอสมควร เราต้องหาทางที่จะระบายลมให้มัน Flow ได้ ก็เป่าพัดลมกันเข้าไป พยายามที่จะทำงาน แต่ทุกคนก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีนะครับ คือทุกคนที่จะต้องเล่นฉากในถ้ำเนี่ยทุกคนกลัวหมดเลย (หัวเราะ) กลัวว่าจะเกิดอุบัติเหตุหรือเกิดอะไรขึ้น ซึ่งเราก็กังวลมากทีมงานก็ไม่ใช่น้อย ๆ เป็นร้อย ๆ คนเข้าไปอยู่ในถ้ำนะครับ มันก็ทำให้ต้องระวัง ต้องระมัดระวังตัวเองมากมาย
มีฉากที่ต้องมีการระเบิดที่เกิดขึ้นในถ้ำอีกด้วย พอมันระเบิดทีก็มองอะไรไม่เห็น ควันมันคลุ้งไปหมด มันเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยุ่งยากมากกับการถ่ายทำในถ้ำ ในเรื่องของการเซฟตี้ที่จะต้องระวังแล้วแล้วยังมีเรื่องของอากาศหายใจ เรื่องของการที่ต้องเอาน้ำ เอาอาหารลงมา โอ้โห! คือทุกอย่างมันยุ่งยากไปหมดเลยครับ แต่สุดท้ายก็ผ่านไปด้วยดีในทุก ๆ ฉากครับ
อุปสรรค-ปัญหาในการถ่ายทำ
ถ้าอุปสรรคสำคัญ ๆ เลยก็คือธรรมชาติ อุปสรรคหลัก ๆ ของเราเลยคือธรรมชาติ ผลของลมฟ้าอากาศในปีนี้ (2550) เนี่ยรุนแรงกว่าปีที่แล้วอีกครับ ทำให้เราคาดเดาอะไรได้ยากมากนะครับ แต่ทั้งหมดทั้งสิ้นก็ต้องใช้ทั้งพุทธศาสตร์ ไสยศาสตร์ทุกอย่าง ทำให้ทุกอย่างมันราบรื่นได้ จุดธูปจุดเทียนไหว้พระ เวลาที่มีปัญหาก็จะจุดธูปขอเทพยดาฟ้าดิน ทุกอย่างเอาทุกอย่าง ให้มันผ่านพ้นอุปสรรคต่าง ๆ ไปให้ได้ อุปสรรคอื่นๆ จริง ๆ แล้วมันก็คงจะเป็นอุปสรรคของผมเองแหละมั้งครับ หนึ่งก็คือ ผมไม่เคยทำหนังแอ็คชั่นฟันดาบ แอ็คชั่นขนาดที่จะต้องโลดโผนโจนทะยานขนาดนี้ไม่เคยทำมาก่อน ก็น่าจะเป็นอุปสรรคของตัวเองที่จะทำยังไง จะดีไซน์ยังไง ถ่ายทำยังไงดี เป็นอะไรที่ใช้เวลากับมันเยอะที่สุด คือผมจะต้องใช้เวลากับมันมากที่สุด และก็ต้องหาคนมาช่วยดีไซน์ มาช่วยวางแผนว่าจะต้องทำยังไง มาวางแผนกันล่วงหน้าทุกครั้งว่าจะต้องทำยังไง จะให้กี่กล้องถ่าย จะยืนถ่ายบนอะไร อะไรอย่างนี้ นั่นคืออุปสรรคของผมคือแอ็คชั่นซีน
อุปสรรคอีกอย่างของผมก็คือ คอมพิวเตอร์กราฟฟิกซีนทั้งหมด คือผมไม่ทราบเลยครับว่าอะไรอยู่ตรงไหน อะไรมันควรจะทำยังไง เพราะฉะนั้นทีมคอมพิวเตอร์กราฟฟิกของบลู แฟร์รี่ (Blu Fairy) ก็จะมานั่งประกบทุกครั้งที่มีฉากคอมพิวเตอร์กราฟฟิกซีน ทุกคนก็จะมานั่งอยู่ข้าง ๆ ผม 3-4 คนทุกครั้ง เพื่อจะอธิบายให้เราเข้าใจ อธิบายให้ทีมงานเข้าใจว่าเขาต้องการอะไร ทุกคนต้องทำอะไร ไม่ทำอะไรบ้าง ด้วยความเกรงใจอย่างมากผมก็จะแบบ เอาอย่างนี้ เอาอย่างนั้น คือผมจะเพิ่มงานให้เขาทั้งวันนะครับ (หัวเราะ) เขาก็จะบอกว่าเพิ่มงานทุกวันวันละ 10 ช็อตนี่ก็ตายแล้ว เพราะฉะนั้นงานของเขาก็จะมหาศาลมาก ๆ เพราะว่าไอ้ความต้องการของเรานี่แหละ แต่เขาก็จะน่ารัก เขาก็จะรับปากทุกครั้งว่า ก็ได้พี่ ก็ได้พี่ เดี๋ยวทำให้ อะไรประมาณนี้ (หัวเราะ)
ซีจีในเรื่องนี้ก็ถือเป็นเรื่องใหญ่อีกเรื่องหนึ่งเลย
ใช่ครับ เป็นพันกว่าช็อตถึงสองพันช็อตได้เลยครับ ซึ่งต้องถือว่าเยอะมาก ๆ มีทั้งที่ทำน้อยนิดเดียวจนถึงขั้นทำทั้งฉากนะครับ คือเขียนขึ้นมาใหม่หมดเลยก็มี ทำเล็ก ๆ น้อย ๆ คืออย่างเริ่มตั้งแต่ง่าย ๆ ลบโน่นลบนี่ ลบอะไรต่ออะไร และต้องมีลบและเพิ่ม ลบและเพิ่ม และยังเขียน โอ๊ย! มากมายมหาศาล อย่าให้พูดเลยครับ แค่สัตว์ใต้ทะเลทั้งหมดนี่ก็จำนวนมหาศาลแล้วนะครับ
ผมมีโอกาสให้น้อง ๆ ที่ไม่เกี่ยวกับทางภาพยนตร์เข้าไปห้องตัดต่อแล้วก็ดูฉากบางฉากที่เขาทำซีจีสมบูรณ์แล้ว อย่างฉากที่กระเบนดำสอนปารีอยู่ ก็เรียกสัตว์ทะเลให้ดู ปรากฏว่ามีงู 5 ตัวว่ายเข้ามาหาตรงจุดที่เขาเอาไม้จิ้ม มันก็ว่ายเข้ามาชูคอ น้อง ๆ 4-5 คนนั้น เขาก็ถามว่าพี่ฝึกงูได้ยังไงอะไรแบบนี้ (หัวเราะ) ผมเลยมีความรู้สึกว่าผมมาถูกทางแล้วนะ เลือกเจ้าที่ทำงานไม่ผิดจริง ๆ เพราะผมเองดูครั้งแรกผมก็รู้สึกอย่างนั้นจริง ๆ เรามีงูมาถ่ายอย่างนั้นจริง ๆ เหรอ อ๋อ ไม่ใช่นี่นา คือไม่มีอะไรแต่มีงูมาว่ายใต้น้ำแล้วก็โผล่ขึ้นมา เอ๊ะ มันเหมือนจริงมาก ๆ ผมเชื่อว่าหลาย ๆ เจ้ามีฝีมือดีในการทำคอมพิวเตอร์กราฟฟิก การเขียนซีจีอะไรก็แล้วแต่ แต่สิ่งสำคัญมันไม่ได้อยู่ที่การเขียนซีจีใหม่อย่างเดียว มันอยู่ที่การเอามาประกอบกับภาพที่เราถ่ายไปด้วย ในเรื่องของแสง ในเรื่องของเงา ในเรื่องของความสมบูรณ์ ในเรื่องของความสว่าง ไม่ได้เด่นลอยออกมาจากภาพจนเกินไป มันสามารถจะกลมกลืนกันอยู่ได้ในภาพ ๆ นั้น อันนี้เป็นสิ่งสำคัญกว่าการเขียนให้เหมือนอย่างเดียว ผมว่าการที่เอามาประกอบและดูสมจริงมันเป็นเรื่องสำคัญ สำหรับผมสำคัญมาก และผมเคยเห็นหนังหลายเรื่องที่คอมพิวเตอร์กราฟฟิกเขียนออกมาได้ดี แต่สัตว์ต่าง ๆ อะไรต่าง ๆ เมื่อนำมาประกอบกัน ภาพที่มีอยู่แล้วมันกลับกระโดดออกมาชัดว่ามันไม่ได้อยู่ด้วยกัน มันเป็นวัตถุคนละชิ้นกัน แต่ว่าสิ่งที่ผมเห็นบลู แฟรี่เขาทำกันมาแล้วว่า มันสามารถจะกลมกลืนอยู่ด้วยกันได้ ซึ่งมันเป็นเรื่องที่ทำให้เรามั่นใจและก็พอใจมากยิ่งขึ้นครับ
เคยร่วมงานกันมาก่อนหรือเปล่า
ถ้าเป็นทางภาพยนตร์ก็ไม่เคยครับ ถ้าเป็นโฆษณาเราเคยร่วมงานกัน แล้วก็เพื่อน ๆ ผู้กำกับของผมหลาย ๆ คนนะครับที่ทำงานโฆษณาอยู่ที่สนิท ๆ กันก็ใช้บลูแฟร์รี่กันมาตลอด เราก็ได้เห็นฝีไม้ลายมือ เห็นการทำงานของเขา สำคัญที่สุดทีมงานบางคนเป็นรุ่นน้องผมที่ศิลปากรด้วย เมื่อได้คุยกันเขาแล้วมันก็คลิกกันง่าย ไม่ต้องเยอะมาก แต่ก็เข้าใจสิ่งที่เราต้องการได้ สิ่งที่เขาพรีเซ้นต์มาให้เราฟังมันก็ตรงกับสิ่งที่เราต้องการและก็ได้เห็นฝีไม้ลายมือเขามาจากหนังโฆษณาหลายเรื่อง ทำหนังด้วยกันผมก็เชื่อในตัวเขาพอสมควรในตอนแรก ๆ แต่ตอนนี้เชื่อมากว่าเขาจะทำได้ดีครับ
ความคาดหวังต่อภาพยนตร์เรื่องนี้
แน่นอนครับ จริง ๆ แล้วมันก็ครบรอบ 10 ปีแล้วกับการทำหนังใหญ่ คือผมถือว่าเรื่องนี้เป็นการทำหนังใหญ่ในโอกาสครบรอบ 10 ปีที่อยู่ในวงการภาพยนตร์มา สิ่งที่เราอยากจะคืนให้กับวงการภาพยนตร์ก็คือ ทำหนังที่มันมีความแตกต่างจากสิ่งที่เขาเคยมีอยู่มาโดยตลอด แม้กระทั่งหนังของตัวเองด้วยนะครับ คือเป็นการก้าวไปอีกขั้นหนึ่งของการทำงานที่มันเป็นโปรเจ็คต์ใหญ่มาก ๆ ที่มันมีความน่าตื่นตาตื่นใจ ในเรื่องของภาพ เรื่องของเรื่อง เรื่องของการแสดง เรื่องของอาวุธยุทโธปกรณ์ ทุก ๆ สิ่งทุก ๆ อย่างพยายามจะทำให้มันดูใหญ่ที่สุดเท่าที่ผมเคยทำมานะครับ ก็อยากจะให้หนังเรื่องนี้เป็นการคืนกำไรให้กับคนดูที่เขาสนับสนุนงานของเรามาตลอดและก็ถือว่าเรายอมเหน็ดเหนื่อย ใช้เวลาเต็มที่เวลา 5 ปีกว่า ๆ ยอมเหน็ดยอมเหนื่อยยอมทุกอย่าง เพื่อจะให้ผู้ชมได้รับสิ่งดี ๆ สิ่งที่แปลกใหม่นะครับ และก็สนุกสนานในการชมภาพยนตร์เรื่องนี้นั่นคือสิ่งที่ผมตั้งใจไว้
แต่ถามว่ากังวลมั้ยกับการคาดหวังของผู้ชม ผมเชื่อว่าสิ่งที่เราทำเป็นสิ่งที่เราเชื่อว่ามันดีที่สุดแล้ว แล้วก็พยายามกันทำทุกวิถีทาง ทำทุกอย่างให้มันออกมาสมบูรณ์ที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะฉะนั้นความพยายามความตั้งใจความทุ่มเทแรงใจแรงกายของผม, ทีมงาน และนักแสดงทุกคนเหล่านี้ ผมเชื่อว่าอย่างน้อยมันไม่น่าจะทำให้ใครผิดหวัง แต่ว่ามันจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับรสนิยมของผู้ชมแล้วล่ะครับว่าจะมาทางนี้หรือเปล่า เขาชอบดูหนังแบบนี้หรือเปล่าอะไรทำนองนี้ แต่ผมเชื่อว่าผมอยากทำในสิ่งที่ผมอยากทำ ทำภาพยนตร์อย่างที่ผมอยากดู แล้วผมก็เชื่อว่ารสนิยมของผมกับคนดูหลาย ๆ คนในเมืองไทย มักจะตรงกันเสมอนะครับ ก็คลายกังวลไปได้เยอะเลยตอนที่ถ่ายทำเสร็จ แล้ว เราก็ทราบว่าเราได้อะไรมาบ้างเมื่อตัดต่อหนังเสร็จแล้ว เราก็เห็นว่ามันถูกทาง มันไม่มีอะไรนอกเหนือออกไปหรือหลงทางออกไปจากสิ่งที่เราวางไว้ทั้งหมด
คือเราเห็นงบประมาณขนาดนี้ตั้งแต่เริ่มต้นแล้วว่า ถ้าเผื่อเราทำหนังเรื่องนี้แล้วในงบประมาณขนาดนี้ก็พอสมน้ำสมเนื้อเมื่อเทียบในมาตรฐานหนังไทยนะครับ แต่ถ้ามองกลับกันว่าภาพยนตร์แนวแอ็คชั่นแฟนตาซีประมาณนี้นะครับ หน้าตาประมาณนี้เนี่ย ถ้าเป็นงบประมาณของฮอลลีวู้ดก็น่าจะมีซัก 2,000 ล้านได้นะครับ ซึ่งก็มากกว่างบประมาณของเราไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่าแล้วล่ะก็...ถามว่ากดดันมั้ย จริง ๆ แล้วมันไม่สร้างความกดดันให้เรา เพียงแต่มันจะบอกว่า เราจะใช้งบประมาณทุกบาทอย่างไรให้คุ้มค่าที่สุด และก็ใช้ให้เหมาะสมกับงานเพื่อที่จะสร้างงานที่ดีที่สุดเท่าที่เราเคยทำมาให้กับผู้ชมให้ได้อะไรอย่างนี้ เพราะฉะนั้นแรงกดดันอะไรต่าง ๆ มันไม่ได้เกิดกับเราแล้วครับ มันน่าจะเกิดกับการที่หนังจะฉายแล้วจะได้รับการยอมรับ ตอบรับอย่างไรมากกว่า ซึ่งเมื่อเราไปถึงที่สุดของทุกอย่างที่เราตั้งใจทำไว้แล้ว มันก็สุดแล้วแต่หนังแล้วล่ะครับ
เสน่ห์หรือความน่าสนใจของหนังเรื่องนี้อยู่ที่ตรงไหนบ้าง
เสน่ห์ของมันจริง ๆ เลยนะครับ มันอยู่ที่ความเป็นหนังประเภทใหม่ของภาพยนตร์ไทยนะครับ คือเราจะมีหนังประเภทโน้นประเภทนี้แล้ว เราอาจจะเห็นหนังที่เป็นคอมพิวเตอร์กราฟฟิกมาแล้ว เป็นการผสมอย่างนั้นอย่างนี้มาแล้ว แต่ว่าแนวทางของภาพยนตร์เรื่องนี้ เรื่องของแฟนตาซีก็ตาม เรื่องของแอ็คชั่นก็ตาม เรื่องของดราม่าในเรื่องนี้ก็ตาม แน่นอนครับมันแตกต่างไปจากสิ่งที่เคยเกิดขึ้น คนมักจะถามผมว่าสนใจมั้ยว่าตลาดเขาต้องการอะไร ผมว่าผมสนใจ แต่ผมไม่ได้สนใจว่าตลาดต้องการอะไร แต่ผมสนใจว่าตลาดขาดอะไร คือคนผู้ชมเนี่ยเขายังไม่ได้ดูอะไรจากหนังไทย เพราะฉะนั้นผมมักจะไปเติมช่องว่างตรงนั้น และเราก็อยากเป็นคนที่เป็นก้าวแรกของอุตสาหกรรมภาพยนตร์เสมอ คืออะไรที่เขาทำไปแล้วเราก็ไม่ค่อยอยากทำ เพราะฉะนั้นถ้ามันมีอะไรใหม่ ๆ ที่มันน่าสนใจกว่า ยังไม่มีใครทำ ผมก็อยากจะทำตรงนั้นให้ดีครับ
ผมเชื่อว่าในความตื่นเต้นที่สุดของการทำงานหนังเรื่องนี้ของผม 20 นาทีสุดท้ายของหนังเนี่ยเป็น 20 นาทีสุดท้ายที่เรียกว่า ไม่มีโอกาสหยุดหอบหายใจเลยครับ คือมันเป็นความตื่นเต้นต่อเนื่องกันไปเรื่อย ๆ แล้วก็ในระหว่างทางมันก็มีความตื่นตาตื่นใจเกิดขึ้นอยู่เรื่อย ๆ คือการทำงานแบบแอ็คชั่น-แฟนตาซีแบบนี้ มันต้องมีการวางกราฟของหนังให้เหมาะสม เพราะฉะนั้นการที่จะให้คนเกิดความตื่นตาตื่นใจกับฉากแฟนตาซีต่าง ๆ แอ็คชั่นต่าง ๆ อยู่เรื่อย ๆ เนี่ย เราต้องกำหนดน้ำหนักและเส้นกราฟอารมณ์ของคนดูไปตลอดทาง เพราะฉะนั้นเนี่ยพออันหนึ่งมันเริ่มที่เบอร์ 10 อันที่สองมันก็ต้องเริ่มที่เบอร์ 20 อยู่เสมอ เพราะว่าไม่ใช่โทนหนังดราม่าที่เราจะต้องลากอารมณ์ของคนดูขึ้นไปแล้วก็ลงมาได้ แล้วก็ขึ้นไปแล้วก็ลงมาได้ ความเป็นแอ็คชั่นแฟนตาซีมันต้องการอะไรที่มากอยู่เรื่อย ๆ เพราะฉะนั้นแน่นอนครับ 20 นาทีสุดท้ายของหนังคือฉากที่พีคที่สุดของเรื่อง มันจะถูกดันไปถึง 100 เปอร์เซ็นต์เลยครับ ผมเองก็ต้องยอมรับว่าทึ่งกับคอมพิวเตอร์กราฟฟิกในเมืองไทยมาก ๆ ว่าเขาทำได้มากขนาดนี้เลย
ก็อยากบอกว่าด้วยงบประมาณมหาศาลขนาดนี้ ด้วยความกรุณาของสหมงคลฟิล์ม ด้วยทีมงานที่แข็งแรงขนาดนี้ ทีมนักแสดง ทีมงานทุกคนตั้งใจทำงานทุ่มเทแรงกายแรงใจทุกอย่าง เป็นเวลากว่า 5 ปีนะครับ ผมเชื่อว่าสิ่งที่เราทำคือสิ่งที่เราเต็มที่ที่สุด และก็ตั้งใจกับการทำงานเพื่อเป็นการคืนกำไรให้กับผู้ชม ในโอกาสครบรอบ 10 ปีของผม ก็ขอให้ทุกคนสนุกกับการชมภาพยนตร์เรื่องนี้ครับ ผมเชื่อว่าเรายังไม่เคยเห็นภาพยนตร์ไทยแบบนี้มาก่อนในเมืองไทยครับ
Kornpanut Chainichayakul .. moonOi
Online Marketing Executive
Sahamongkolfilm International Co., Ltd.
388 S.P. Building 9th B Fl. Phaholyothin Road
Samsennai Phayathai
Bangkok 10400 Thailand
Tel. 0-2273-0939 - 9 ext. 135
Fax. 0-2273-0989
Mobile. 08-1580-3266
E-Mail : kornpanut@sahamongkolfilm.com
msn : jackanapes_noi@hotmail.com
http://www.sahamongkolfilm.com

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ