ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กร “บ. เนชั่นแนล เพาเวอร์ ซัพพลาย” ที่ “BBB” และหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน ที่ “BBB-” แนวโน้ม “Stable”

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday December 17, 2014 18:42 —ทริส เรตติ้ง

ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท เนชั่นแนล เพาเวอร์ ซัพพลาย จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ “BBB” และคงอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของบริษัทที่ระดับ “BBB-” โดยแนวโน้มยังคง “Stable” หรือ “คงที่” ทั้งนี้ อันดับเครดิตสะท้อนถึงกระแสเงินสดที่สม่ำเสมอจากสัญญาขายไฟฟ้าระยะยาว (Power Purchase Agreement – PPA) ภายใต้โครงการผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก (Small Power Producer – SPP) ที่มีกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาวกับกลุ่มบริษัท ดั๊บเบิ้ล เอ (1991) จำกัด (มหาชน) อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตดังกล่าวมีข้อจำกัดบางส่วนจากอัตราการก่อหนี้ในระดับสูง รวมถึงการทำรายการระหว่างบริษัทในกลุ่ม นอกจากนี้ อันดับเครดิตดังกล่าวยังมีข้อจำกัดจากอันดับเครดิตองค์กรที่ระดับ “BBB” ของบริษัทดั๊บเบิ้ล เอ (1991) ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัทในสัดส่วน 36.2% ณ เดือนพฤศจิกายน 2557 ในขณะที่แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนถึงความคาดหมายของทริสเรทติ้งว่าโรงไฟฟ้าของบริษัทยังคงมีการดำเนินงานที่ราบรื่นซึ่งทำให้บริษัทได้รับกระแสเงินสดที่สม่ำเสมอจากธุรกิจไฟฟ้า ทริสเรทติ้งคาดหวังว่าบริษัทจะรักษาความสามารถในการชำระหนี้และรักษาโครงสร้างเงินทุนให้อยู่ในระดับเหมาะสมในขณะที่มีการขยายธุรกิจในอนาคต
บริษัทเนชั่นแนล เพาเวอร์ ซัพพลายเป็นผู้นำในธุรกิจโรงไฟฟ้าที่ใช้เชื้อเพลิงชีวมวลในประเทศไทย ตั้งแต่ปี 2553 เป็นต้นมา บริษัทดั๊บเบิ้ล เอ (1991) และบริษัทในกลุ่มได้ปรับโครงสร้างภายในกลุ่มโดยบริษัทเนชั่นแนล เพาเวอร์ ซัพพลายถือเป็นบริษัทหลักในธุรกิจไฟฟ้าของกลุ่มดั๊บเบิ้ล เอ ปัจจุบันบริษัทเป็นเจ้าของและดำเนินงานโรงไฟฟ้าชีวมวลและถ่านหินรวม 9 โรงภายใต้โครงการ SPP ด้วยกำลังการผลิตไฟฟ้ารวม 503 เมกะวัตต์ และกำลังการผลิตไอน้ำ 1,180 ตันต่อชั่วโมง โรงไฟฟ้าของบริษัทตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมในจังหวัดปราจีนบุรีและฉะเชิงเทรา นอกจากธุรกิจไฟฟ้าแล้ว บริษัทยังได้ขยายการลงทุนไปยังธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับพลังงานและธุรกิจสนับสนุนการผลิตไฟฟ้าเพื่อสร้างความมั่นคงทางด้านแหล่งเชื้อเพลิงและเพื่อลดต้นทุนการผลิตไฟฟ้าด้วย โดยบริษัทได้ลงทุนในธุรกิจเอทานอลจากมันสำปะหลังขนาดกำลังการผลิต 500,000 ลิตรต่อวัน ลงทุนในธุรกิจน้ำมันรำข้าว และธุรกิจผลิตและจำหน่ายน้ำให้แก่ลูกค้าในนิคมอุตสาหกรรม นอกจากนี้ ยังได้ลงทุนในธุรกิจสนับสนุนการปลูกต้นยูคาลิปตัส (ต้นพลังงาน) ธุรกิจวิจัยและพัฒนาพันธุ์ไม้ที่ใช้เป็นเชื้อเพลิง และลงทุนซื้อสิทธิในการทำเหมืองถ่านหินในอินโดนีเซีย บริษัทยังลงทุนในธุรกิจให้บริการขนส่งถ่านหินและชีวมวล รวมถึงธุรกิจทุ่นขนถ่ายสินค้ากลางทะเลด้วย อย่างไรก็ตาม ธุรกิจไฟฟ้ายังเป็นแหล่งรายได้และแหล่งกำไรหลักของบริษัท โดยในปี 2556 และในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2557 กำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ของบริษัทในสัดส่วน 85% มาจากธุรกิจไฟฟ้า ในขณะที่ 15% มาจากธุรกิจอื่น
บริษัทมีสัญญา PPA อายุ 25 ปีกับ กฟผ. คิดเป็นสัดส่วน 60% ของกำลังการผลิตไฟฟ้ารวมของบริษัท บริษัทจำหน่ายไฟฟ้าและไอน้ำส่วนที่เหลือภายใต้สัญญาระยะยาวให้แก่กลุ่มดั๊บเบิ้ล เอ และจำหน่ายให้แก่ลูกค้าในนิคมอุตสาหกรรมในจังหวัดปราจีนบุรีและฉะเชิงเทราด้วย โรงไฟฟ้าของบริษัทได้รับการออกแบบให้ใช้เชื้อเพลิงถ่านหินและชีวมวล แม้การใช้เชื้อเพลิงชีวมวลจะมีความได้เปรียบด้านต้นทุนและมีความยืดหยุ่นในการเลือกใช้เชื้อเพลิง แต่โรงไฟฟ้าชีวมวลก็ต้องการการบำรุงรักษามากกว่าและมีความเสี่ยงจากการสึกหรอของเครื่องจักรอุปกรณ์ในอัตราที่สูงกว่าโรงไฟฟ้าที่ใช้ถ่านหินหรือก๊าซเป็นเชื้อเพลิง
ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2557 โรงไฟฟ้าของบริษัทมีการดำเนินงานราบรื่นใกล้เคียงกับช่วงที่ผ่านมา โดยอัตราการหยุดซ่อมฉุกเฉินเฉลี่ยอยู่ที่ 4.9% เทียบกับระดับ 3.9%-5.3% ในปี 2554-2556 ระดับความพร้อมจ่ายเฉลี่ยของโรงไฟฟ้าทั้งหมดในปี 2556 ปรับตัวดีขึ้นเป็น 88.6% ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2557 จาก 83.3%-87.5% ในปี 2554-2556 เนื่องจากโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ไม่มีการปิดซ่อมบำรุงใหญ่เช่นในปี 2556 การปิดซ่อมบำรุงตามแผนลดลงเป็น 6.6% ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2557 เทียบกับ 8.6%-11.5% ในระหว่างปี 2554-2556
ผลการดำเนินงานของบริษัทปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องในปี 2556 และในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2557 โดยมีสาเหตุหลักมาจากการปรับเพิ่มค่าเอฟทีและต้นทุนเชื้อเพลิงถ่านหินที่ลดลง โดยดัชนีถ่านหินอ้างอิง JPU (Japanese Power Utility Index) ลดลงจาก 110.83 ดอลลาร์สหรัฐต่อตันในปี 2555 เป็น 94.06 ดอลลาร์สหรัฐต่อตันในปี 2556 และ 81.79 ดอลลาร์สหรัฐต่อตันในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2557 นอกจากนี้ หลังจากการปรับปรุงหม้อไอน้ำ บริษัทสามารถใช้ถ่านหินที่มีค่าความร้อนต่ำกว่ามาทดแทนถ่านหินที่มีค่าความร้อนสูงบางส่วนเพื่อลดต้นทุนด้วย อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้จากการขายของบริษัทยังคงแข็งแรงที่ระดับ 29.1% ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2557 เทียบกับ 31.2% ในปี 2556 EBITDA ของบริษัทปรับตัวเพิ่มขึ้น 12.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนเป็น 3,389 ล้านบาทในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2557 อย่างไรก็ตาม เงินกู้รวมปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็น 18,351 ล้านบาท ณ สิ้นเดือนกันยายน 2557 จาก 16,771 ล้านบาทในปี 2556 เนื่องจากการลงทุนในโครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนา บริษัทอยู่ระหว่างการก่อสร้างโรงไฟฟ้าใหม่ 2 โรงซึ่งมีกำลังการผลิตไฟฟ้ารวม 223 เมกะวัตต์และโรงงานผลิตเอทานอลจากมันสำปะหลังอีก 1 สายการผลิต บริษัทได้จ่ายเงินปันผลรวมจำนวน 1,075 ล้านบาทในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2557 ซึ่งคิดเป็นอัตราการจ่ายปันผลกว่า 80% ของกำไรสุทธิ ทำให้อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนยังคงอยู่ในระดับสูงที่ 63.3% ณ เดือนกันยายน 2557 เทียบกับ 64.4% ในเดือนธันวาคม 2556 การเพิ่มขึ้นของเงินกู้รวมทำให้อัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจ่ายทรงตัวที่ระดับ 4.2 เท่าในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2557 เทียบกับ 4.1 เท่าในปี 2556 แม้ว่าบริษัทมี EBITDA ที่สูงขึ้น แต่อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมยังคงอยู่ที่ระดับ 17.7% (ปรับเป็นตัวเลขเต็มปีด้วยผลการดำเนินงาน 12 เดือนย้อนหลัง) ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2557 ซึ่งใกล้เคียงกับปี 2556
บริษัทมีเงินมัดจำจ่ายเพื่อซื้อที่ดินแก่บริษัทที่เกี่ยวข้องกันมูลค่า 1,615 ล้านบาท ณ เดือนธันวาคม 2555 ในปี 2556 บริษัทมีแผนจะพัฒนาโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนร่วมในจังหวัดปราจีนบุรีและฉะเชิงเทรา บริษัทย่อยของบริษัทได้ทำสัญญาจะซื้อที่ดินที่ตั้งอยู่ใกล้กับท่อก๊าซเส้นที่ 4 ของ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) รวมจำนวน 288 ไร่จากบริษัทที่เกี่ยวข้องกัน 3 แห่งเพื่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานก๊าซดังกล่าว โดยบริษัทตกลงจะซื้อที่ดินในราคารวม 624 ล้านบาทและได้จ่ายเงินมัดจำรวมจำนวน 605 ล้านบาท ณ สิ้นเดือนกันยายน 2557 บริษัทมีเงินมัดจำจ่ายเพื่อซื้อที่ดินแก่บริษัทที่เกี่ยวข้องกันรวมมูลค่า 1,694 ล้านบาท

ความสามารถในการทำกำไรในธุรกิจไฟฟ้าของบริษัทคาดว่าจะยังคงอยู่ในระดับที่น่าพอใจในปี 2557-2558 โดยมีปัจจัยสนับสนุนหลักจากต้นทุนเชื้อเพลิงถ่านหินที่ยังอยู่ระดับต่ำ โดยต้นทุนถ่านหินคิดเป็นประมาณ 30% ของต้นทุนผลิตไฟฟ้าของบริษัท รายได้ของบริษัทยังมีโอกาสเติบโตจากโรงไฟฟ้าใหม่ 2 โรงซึ่งคาดว่าจะเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ในช่วงครึ่งแรกของปี 2558 แรงกดดันทางด้านการกู้ยืมน่าจะลดลงเนื่องจากการลงทุนขนาดใหญ่ของบริษัทใกล้ดำเนินการเสร็จสิ้นและการพัฒนาโรงไฟฟ้าถ่านหินภายใต้โครงการ IPP (Independent Power Producer) เลื่อนออกไป อย่างไรก็ตาม บริษัทจะเผชิญความท้าทายจากธุรกิจผลิตเอทานอล โดยเอทานอลสายการผลิตที่ 2 กำลังการผลิต 250,000 ลิตรต่อวันจะเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ในครึ่งแรกของปี 2558 แม้ว่าความต้องการเอทานอลจะเติบโตอย่างรวดเร็วในปี 2555-2556 หลังจากรัฐบาลยกเลิกการจำหน่ายน้ำมันเบนซิน 91 แต่ความต้องการเอทานอลในปัจจุบันที่ระดับ 3.4 ล้านลิตรต่อวันยังคงน้อยกว่ากำลังการผลิตเอทานอลรวมทั้งอุตสาหกรรมที่ 4.2 ล้านลิตรต่อวัน ทั้งนี้ กำลังการผลิตนี้ยังไม่รวมกำลังการผลิตอีก 1.4 ล้านลิตรของโรงงานผลิตเอทานอลที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างตามข้อมูลของกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน กระทรวงพลังงาน

บริษัท เนชั่นแนล เพาเวอร์ ซัพพลายจำกัด (มหาชน) (NPS)
อันดับเครดิตองค์กร: BBB
อันดับเครดิตตราสารหนี้:
NPS156A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 3,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2558 BBB-
NPS171A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 3,718 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2560 BBB-
NPS184A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2561 BBB-
NPS19OA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 4,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2562 BBB-
แนวโน้มอันดับเครดิต: Stable
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด/ www.trisrating.com
ติดต่อ santaya@trisrating.com  โทร. 0-2231-3011 ต่อ 500 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ 10500
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2557  ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือแต่เพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยมิได้รับอนุญาต การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้ ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆโดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการจัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน Website: http://www.trisrating.com/th/rating-information-th2/rating-criteria.html

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ