ทริสเรทติ้งลดอันดับเครดิตองค์กร &หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน “บ. เจริญโภคภัณฑ์อาหาร” เป็น “A+” จาก “AA-” ด้วยแนวโน้ม “Stable”

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday March 31, 2015 16:52 —ทริส เรตติ้ง

ทริสเรทติ้งปรับลดอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดปัจจุบันของ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) เป็นระดับ “A+” จากเดิมที่ระดับ “AA-” ด้วยแนวโน้ม “Stable” หรือ “คงที่” ซึ่งสะท้อนการที่บริษัทมีกระแสเงินสดส่วนเกินที่ลดลงหลังจากการซื้อกิจการขนาดใหญ่และการฟื้นตัวของธุรกิจกุ้งในประเทศไทยที่ช้าเกินคาด ในขณะเดียวกัน ทริสเรทติ้งยังจัดอันดับเครดิตให้แก่หุ้นกู้ไม่มีประกันชุดใหม่ในวงเงินไม่เกิน 12,000 ล้านบาทของบริษัทที่ระดับ “A+” เช่นกัน โดยบริษัทจะนำเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ชุดใหม่ไปใช้ชำระหนี้และลงทุนตามแผน

อันดับเครดิต “A+” ยังคงสะท้อนถึงสถานะความเป็นผู้นำของบริษัทในธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรมและอาหาร ตลอดจนการมีสินค้าและตลาดที่หลากหลาย กลยุทธ์ที่เน้นผลิตภัณฑ์อาหารพร้อมบริโภคที่มีตราสัญลักษณ์ และความยืดหยุ่นทางการเงิน โดยที่ความผันผวนของราคาผลิตภัณฑ์จากฟาร์ม รวมทั้งความเสี่ยงจากโรคระบาดในสัตว์ การแข็งค่าของเงินบาท และความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบของประเทศผู้นำเข้ายังคงเป็นปัจจัยเสี่ยงต่ออันดับเครดิต

แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนถึงความคาดหมายว่าบริษัทจะยังคงสามารถรักษาสถานะผู้นำในธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรมและอาหารที่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาเอาไว้ได้ นอกจากนี้ การเป็นบริษัทที่มีความหลากหลายทั้งในด้านของการดำเนินการ สินค้า และตลาดน่าจะช่วยลดความเสี่ยงที่เกิดจากความผันผวนของราคาผลิตภัณฑ์ในธุรกิจฟาร์มซึ่งมีลักษณะเป็นสินค้าโภคภัณฑ์และมีปัญหาการแพร่ระบาดของโรคได้บางส่วน อันดับเครดิตมีโอกาสปรับขึ้นหากบริษัทแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการรักษาอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนให้อยู่ในระดับ 50% ในขณะเดียวกันก็สามารถเพิ่มกระแสเงินสดส่วนเกินสำหรับรองรับการชำระหนี้ได้อย่างต่อเนื่อง ในทางกลับกัน อันดับเครดิตอาจถูกปรับลดลงได้หากบริษัทมีการซื้อกิจการขนาดใหญ่โดยใช้เงินกู้จำนวนมากซึ่งส่งผลให้ฐานะการเงินอ่อนแอลงและทำให้กระแสเงินสดส่วนเกินสำหรับรองรับการชำระหนี้ลดลง

บริษัทเจริญโภคภัณฑ์อาหารเป็นผู้ประกอบการธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรมและอาหารรายใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ณ วันที่ 13 มีนาคม 2558 กลุ่มบริษัทในเครือเจริญโภคภัณฑ์ถือหุ้นในบริษัทในสัดส่วน 44.3% ธุรกิจของบริษัทแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ คือ กลุ่มสัตว์บกและกลุ่มสัตว์น้ำ โดยแต่ละกลุ่มประกอบด้วยธุรกิจอาหารสัตว์ ธุรกิจการเลี้ยงสัตว์ และธุรกิจอาหาร การดำเนินธุรกิจแบบครบวงจรส่งผลให้สินค้าของบริษัทได้มาตรฐานสากลทั้งในด้านความปลอดภัยและการตรวจสอบย้อนกลับซึ่งสามารถส่งออกไปยังประเทศผู้นำเข้าที่สำคัญซึ่งได้แก่ประเทศในกลุ่มสหภาพยุโรป เอเชีย และประเทศสหรัฐอเมริกา

รายได้ของบริษัทมีการกระจายตัวทางภูมิศาสตร์ รายได้จากกิจการในประเทศคิดเป็นสัดส่วน 41% ของรายได้รวมในปี 2557 ในขณะที่รายได้จากกิจการในประเทศจีนคิดเป็นสัดส่วน 27% ของรายได้รวม ตามด้วยรายได้จากประเทศเวียดนาม 15% รายได้ส่วนที่เหลือมาจากกิจการในประเทศตุรกี ไต้หวัน อินเดีย และประเทศอื่น ๆ ซึ่งแต่ละประเทศมีสัดส่วน 1%-4% ของรายได้รวม ธุรกิจอาหารสัตว์ซึ่งค่อนข้างมีเสถียรภาพเป็นธุรกิจที่สร้างรายได้มากที่สุดโดยคิดเป็นสัดส่วน 53% ของรายได้รวม รายได้จากธุรกิจการเลี้ยงสัตว์ซึ่งมีลักษณะผันผวนเหมือนสินค้าโภคภัณฑ์มีสัดส่วน 35% ของรายได้รวม และธุรกิจอาหารมีสัดส่วน 12% ของรายได้รวมในปี 2557

บริษัทยังคงมุ่งเน้นขยายผลิตภัณฑ์อาหารพร้อมบริโภคที่มีตราสัญลักษณ์และพัฒนาช่องทางการจำหน่ายทั้งตลาดภายในประเทศและต่างประเทศ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2557 ช่องทางการจำหน่ายของบริษัทประกอบด้วย ซุ้มขาย “ไก่ย่าง 5 ดาว” จำนวน 5,220 แห่ง ร้าน “เชสเตอร์” 201 แห่ง ร้าน “ซีพี เฟรช มาร์ท” 610 สาขา และร้าน “ซีพี เฟรช มาร์ท พลัส” “ซีพี คิทเช่น” และ “ซีพี ฟู้ดเวิลด์” รวมอีก 15 สาขา ปัจจุบัน C.P. Pokphand Co., Ltd. (CPP) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัทที่ดำเนินธุรกิจในประเทศจีนและเวียดนามอยู่ในระหว่างการก่อสร้างโรงงานผลิตอาหาร 2 แห่งในประเทศจีน โดยแห่งหนึ่งอยู่ในเมืองชิงหวงเต่าและอีกแห่งหนึ่งอยู่ในเมืองชิงเต่า

ในปี 2557 ผลการดำเนินงานของบริษัทปรับตัวดีขึ้นจากการมีกำไรในระดับต่ำในปี 2556 เนื่องจากราคาสินค้าสัตว์บกในประเทศปรับตัวเพิ่มขึ้น และราคาสัตว์บกในต่างประเทศที่เพิ่มขึ้นโดยเฉพาะในประเทศเวียดนามเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ช่วยให้กำไรของบริษัทปรับตัวดีขึ้นในปี 2557 อย่างไรก็ตาม ธุรกิจกุ้งในประเทศไทยซึ่งเป็นหนึ่งในธุรกิจหลักที่สร้างกำไรให้แก่บริษัทยังคงขาดทุนต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 เนื่องจากอุตสาหกรรมกุ้งในประเทศไทยยังไม่ฟื้นตัวจากปัญหาโรคระบาด EMS (Early Mortality Syndrome) ธุรกิจในประเทศจีนซึ่งมีสัดส่วนรายได้คิดเป็น 27% ของรายได้รวมเผชิญปัญหาการชะลอตัวของเศรษฐกิจในประเทศจีนและมีค่าใช้จ่ายสำหรับรองรับการขยายงานเพิ่มขึ้น อัตรากำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายของบริษัทปรับตัวดีขึ้นเป็น 5.6% ในปี 2557 จาก 2.6% ในปี 2556 กำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) เพิ่มขึ้น 83.6% เป็น 31,438 ล้านบาทในปี 2557 เทียบกับ 17,124 ล้านบาทในปี 2556

แม้ว่าผลการดำเนินงานของบริษัทปรับตัวดีขึ้นในปี 2557 การลงทุนและการขยายธุรกิจจำนวนมากอย่างต่อเนื่องได้ลดทอนความแข็งแรงทางด้านการเงินของบริษัทลง โดยหลังจากบริษัทซื้อกิจการขนาดใหญ่เสร็จสิ้นในปี 2555 บริษัทใช้เงินลงทุนเพื่อขยายกำลังการผลิตปีละ 20,000-25,000 ล้านบาท ลงทุนเพื่อซื้อกิจการต่าง ๆ จำนวน 10,000 ล้านบาทในปี 2556-2557 และจ่ายเงินปันผลปีละ 6,000-7,000 ล้านบาท ส่งผลให้ภาระหนี้ของบริษัทปรับตัวสูงขึ้นเป็น 195,929 ล้านบาทในปี 2557 จาก 69,449 ล้านบาทในปี 2554 ในขณะที่ EBITDA ของบริษัทเพิ่มขึ้นช้ากว่าภาระหนี้ ทำให้กระแสเงินสดส่วนเกินที่จะรองรับการชำระหนี้ลดลง อัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจ่ายอยู่ที่ระดับ 2.3-3.8 เท่า ในปี 2555-2557 เปรียบเทียบกับระดับ 3.3-11.8 เท่าในปี 2550-2554 อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมอยู่ที่ระดับ 4.3%-9.3% ในปี 2555-2557 เปรียบเทียบกับระดับ 11%-37% ในปี 2550-2554

ในเดือนกันยายน 2557 บริษัทได้จำหน่ายหุ้นบางส่วนจำนวน 25% ของหุ้นทั้งหมดของ CPP ให้แก่ ITOCHU Corporation ซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทชั้นนำในประเทศญี่ปุ่นที่ดำเนินธุรกิจหลากหลายรวมถึงธุรกิจค้าปลีกค้าส่ง บริษัทจำหน่ายหุ้นในราคาหุ้นละ 1.1 ดอลลาร์ฮ่องกงและได้รับเงินรวม 27,258 ล้านบาท ทำให้ส่วนของผู้ถือหุ้นเพิ่มขึ้นและอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทปรับตัวดีขึ้นเป็น 54.4% ณ เดือนธันวาคม 2557 จาก 59.0% ในปี 2556 CPP ยังคงสถานะเป็นบริษัทย่อยของบริษัทเนื่องจากบริษัทยังถือหุ้น 50.4% ของหุ้นที่เรียกชำระทั้งหมดของบริษัท การเป็นพันธมิตรทางธุรกิจกับ ITOCHU น่าจะช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งทางด้านช่องทางการจำหน่ายในหลายประเทศให้แก่บริษัท

มองไปข้างหน้า การฟื้นตัวของธุรกิจกุ้งจากปัญหาโรคระบาด EMS ที่ยังคงเป็นไปอย่างล่าช้าจะทำให้ผลการดำเนินงานของธุรกิจกุ้งของบริษัทยังคงอ่อนแอ ส่วนการเติบโตของธุรกิจในประเทศจีนขึ้นอยู่กับการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจในประเทศจีนที่ยังไม่ชัดเจน ธุรกิจสัตว์บกในประเทศไทยซึ่งเคยมีผลการดำเนินงานที่ดีมากในปี 2557 จะมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นในปี 2558 การแข็งค่าของเงินบาทเมื่อเทียบกับเงินเยนและยูโรจะส่งผลต่อความต้องการสินค้าที่ส่งออกจากประเทศไทยแม้ว่าหลายประเทศเริ่มอนุญาตให้มีการนำเข้าไก่สดแช่แข็งจากประเทศไทยแล้วก็ตาม ธุรกิจไก่ในประเทศเริ่มประสบปัญหาราคาเนื้อสัตว์ปรับตัวลงหลังจากผู้ผลิตรายใหญ่ที่เคยประสบปัญหาการเงินกลับมาดำเนินการผลิตและมีผู้ผลิตบางรายขยายกำลังการผลิตจำนวนมาก ราคาหมูปรับตัวลงเกือบ 20% ในช่วง 2 เดือนแรกของปี 2558 ปัจจัยเหล่านี้จะทำให้ธุรกิจสัตว์บกผันผวนมากขึ้น ในขณะที่ธุรกิจสัตว์น้ำยังคงไม่ฟื้นตัวดีนัก บริษัทยังคงแผนการสร้างความเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทได้วางงบลงทุนสำหรับการลงทุนขยายงานจำนวน 28,000 ล้านบาทในปี 2558 ไม่รวมการซื้อกิจการ ล่าสุดบริษัทประกาศซื้อหุ้นเพิ่ม 75% ใน C.P. Cambodia Co., Ltd. (CPC) จากเดิมที่ถือหุ้นอยู่ 25% โดยใช้เงินลงทุนจำนวน 2,850 ล้านบาท บริษัทมีแผนในการซื้อกิจการเพิ่มเติมหากการลงทุนดังกล่าวสอดคล้องกับธุรกิจหลักและกิจการนั้นให้ผลตอบแทนที่เหมาะสม การลดภาระหนี้ในช่วงที่บริษัทยังคงมีแผนการขยายงานอย่างต่อเนื่องจึงมีโอกาสเกิดขึ้นได้ยาก ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วน กำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจ่ายรวมทั้งอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมน่าจะต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่งในการฟื้นตัวกลับมาสู่ระดับเดิมท่ามกลางภาวะแวดล้อมที่มีความท้าทายมากขึ้นในธุรกิจหลักของบริษัทโดยเฉพาะในภาวะที่การฟื้นตัวของธุรกิจกุ้งยังเป็นไปอย่างเชื่องช้า

สภาพคล่องและความยืดหยุ่นทางการเงินของบริษัทยังคงแข็งแกร่ง โดย ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2557 บริษัทมีเงินสดในมือและหลักทรัพย์ระยะสั้นจำนวนรวม 39,320 ล้านบาท นอกจากนี้ บริษัทยังมีหุ้นที่ถืออยู่ใน บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) (CPALL) ซึ่งเป็นผู้นำในธุรกิจร้านค้าสะดวกซื้อในประเทศไทยในสัดส่วน 33.27% ด้วย โดยบริษัทซีพี ออลล์ มีมูลค่าตลาดรวมของหุ้นอยู่ที่ประมาณ 343,000 ล้านบาท ณ วันที่ 23 มีนาคม 2558

บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) (CPF)
อันดับเครดิตองค์กร: A+
อันดับเครดิตตราสารหนี้:
CPF15NA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 3,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2558 A+
CPF163A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 6,060 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2559 A+
CPF17NA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 5,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2560 A+
CPF178A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 2,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2560 A+
CPF185A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 6,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2561 A+
CPF188A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 3,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2561 A+
CPF198A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 6,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2562 A+
CPF198B: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 2,500 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2562 A+
CPF218A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 3,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2564 A+
CPF218B: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 5,500 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2564 A+
CPF228A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 4,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2565 A+
CPF328A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 5,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2575 A+
CPF418A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 4,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2584 A+
CPF41DA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 6,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2584 A+
หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันในวงเงินไม่เกิน 12,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2566 A+
แนวโน้มอันดับเครดิต: Stable
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด/ www.trisrating.com
ติดต่อ santaya@trisrating.com  โทร. 0-2231-3011 ต่อ 500 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ 10500
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2558 ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือแต่เพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยมิได้รับอนุญาต การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้ ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆโดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการจัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน Website: http://www.trisrating.com/th/rating-information-th2/rating-criteria.html

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ