ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กร “บล. เคที ซีมิโก้” ที่ “BBB+” และจัดอันดับหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน วงเงินไม่เกิน 1,500 ล้านบาท ที่ระดับ “BBB+” แนวโน้ม “Stable”

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday February 24, 2017 16:30 —ทริส เรตติ้ง

ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัทหลักทรัพย์ เคที ซีมิโก้ จำกัด ที่ระดับ “BBB+” ในขณะเดียวกันยังจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันในวงเงินไม่เกิน 1,500 ล้านบาทของบริษัทที่ระดับ “BBB+” ด้วย โดยอันดับเครดิตดังกล่าวได้รับการปรับเพิ่มขึ้นจากอันดับเครดิตเฉพาะของบริษัทในฐานะเป็นบริษัทลูกที่มีความสัมพันธ์ในเชิงกลยุทธ์ของธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ทั้งนี้ อันดับเครดิตเฉพาะของบริษัทสะท้อนถึงส่วนแบ่งทางการตลาดในธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์และธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้าของบริษัท ตลอดจนการมีบริษัทในเครือที่เปิดดำเนินกิจการในประเทศลาว เมียนมา และเวียดนาม รวมถึงแหล่งรายได้ที่กระจายตัวดียิ่งขึ้น และการสนับสนุนจากธนาคารกรุงไทยซึ่งถือหุ้นในบริษัทในสัดส่วน 50% การพิจารณาอันดับเครดิตยังคำนึงถึงประโยชน์ที่บริษัทจะได้รับจากเครือข่ายสาขาของธนาคารกรุงไทยซึ่งมีอยู่ทั่วประเทศรวมถึงความสัมพันธ์ที่ธนาคารมีกับกลุ่มธุรกิจต่าง ๆ ในการเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้แก่สถานะทางการตลาดของบริษัทด้วย อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตยังมีข้อจำกัดจากความสามารถในการทำกำไรที่อ่อนลง ฐานทุนที่ค่อนข้างตึงตัว และแรงกดดันด้านอัตราค่าธรรมเนียมนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ภายใต้การแข่งขันที่รุนแรงในปัจจุบัน

แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนถึงความคาดหมายว่าบริษัทจะยังคงได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากธนาคารกรุงไทยต่อไป รวมทั้งจะสามารถรักษาส่วนแบ่งทางการตลาดในธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์เอาไว้ได้ภายใต้สภาพการแข่งขันที่ทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น และจะคงไว้ซึ่งระบบจัดการความเสี่ยงที่เพียงพอสำหรับควบคุมความเสี่ยงในการให้สินเชื่อเพื่อซื้อหลักทรัพย์ซึ่งรวมไปถึงกิจกรรมป้องกันความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการออกใบสำคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ นอกจากนี้ ทริสเรทติ้งยังคาดหวังว่าบริษัทจะไม่ขยายธุรกิจอย่างรวดเร็วเกินไปจนกระทบต่อสัดส่วนหนี้สินต่อทุนของบริษัทอย่างมีนัยสำคัญ

อันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัทอาจปรับเพิ่มขึ้นได้หากบริษัทสามารถขยายอัตราการเติบโตของกำไรและส่วนแบ่งทางการตลาดได้อย่างยั่งยืน หรือหากธนาคารกรุงไทยแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นมากขึ้นในการที่จะให้การสนับสนุนแก่บริษัทในฐานะเป็นบริษัทลูกที่มีความสำคัญเชิงกลยุทธ์ของธนาคาร ในทางกลับกัน อันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัทอาจปรับลดลงได้หากบริษัทสูญเสียส่วนแบ่งทางการตลาดในธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์อย่างมีนัยสำคัญซึ่งเห็นได้จากผลประกอบการทางการเงินที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง หรือหากบริษัทเพิ่มสัดส่วนหนี้สินต่อทุนอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งนี้ หากความสำคัญในเชิงกลยุทธ์ของบริษัทที่มีต่อธนาคารกรุงไทยลดลง อันดับเครดิตของบริษัทก็จะได้รับผลกระทบตามไปด้วยเช่นกัน

ท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรงในธุรกิจหลักทรัพย์ บริษัทมีกลยุทธ์หลีกเลี่ยงการตัดราคาเพื่อเพิ่มส่วนแบ่งตลาด ส่งผลให้ส่วนแบ่งทางการตลาดในธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ของบริษัทลดลงในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยลดลงจาก 3.93% ในปี 2556 (อันดับที่ 12) มาอยู่ที่ 2.96% ในปี 2557 (อันดับ 13) อยู่ที่ 2.80% ในปี 2558 (อันดับ 15) และที่ 2.57% ในปี 2559 (อันดับ 19) อย่างไรก็ตาม บริษัทยังคงรักษาอัตราค่าธรรมเนียมนายหน้าโดยเฉลี่ยให้อยู่ในระดับใกล้เคียงกับปีก่อน ในขณะที่อัตราค่าธรรมเนียมนายหน้าโดยเฉลี่ยของอุตสาหกรรมในปี 2559 ลดลงอยู่ที่ระดับ 0.120% ในปี 2558 จาก 0.131% ในปี 2558 สำหรับส่วนแบ่งทางการตลาดของรายได้ธุรกิจหลักทรัพย์ของบริษัทในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2559 ยังคงระดับอยู่ที่ประมาณ 4% ส่วนธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้านั้น บริษัทถือเป็นหนึ่งในบริษัทหลักทรัพย์ที่เป็นผู้นำโดยมีส่วนแบ่งทางการตลาดของรายได้อยู่ที่ประมาณ 4%-6% ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา

บริษัทได้ใช้ประโยชน์จากสาขาของธนาคารกรุงไทยในการขยายฐานลูกค้ารายย่อยมาโดยตลอด โดย 61% ของบัญชีที่เปิดใหม่ของบริษัทในปี 2559 เป็นลูกค้าที่ผ่านการแนะนำโดยธนาคารกรุงไทย เทียบกับในปี 2553 ซึ่งมีสัดส่วนไม่ถึง 10% สำหรับบัญชีลูกค้าที่แนะนำโดยธนาคารกรุงไทยที่มีการเคลื่อนไหวบัญชีอยู่เป็นประจำก็มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นจาก 10% ในปี 2554 เป็น 24% ในปี 2559 บริษัทได้ใช้ความพยายามในการทำให้พนักงานของธนาคารมีความคุ้นเคยกับผลิตภัณฑ์หลักทรัพย์ของบริษัทให้มากขึ้นเพื่อเพิ่มประสิทธิผลในการแนะนำลูกค้าของธนาคารให้มาใช้บริการของบริษัท นอกจากความช่วยเหลือในการขยายธุรกิจแล้ว ธนาคารกรุงไทยยังให้การสนับสนุนแก่บริษัทในด้านการเงินด้วย โดยประมาณ 70% ของวงเงินสินเชื่อทั้งหมดที่บริษัทมีเป็นวงเงินที่ได้รับจากธนาคารกรุงไทยซึ่งช่วยเสริมสภาพคล่องและมีเงินทุนเพียงพอในการขยายธุรกิจ การสนับสนุนจากธนาคารในด้านต่าง ๆ เหล่านี้ช่วยให้บริษัทมีความได้เปรียบเหนือคู่แข่งที่ไม่ใช่บริษัทในเครือของธนาคารพาณิชย์ ทั้งนี้ ในปี 2558 บริษัทมีรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการจากธุรกิจวานิชธนกิจมากถึง 187 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2557 ถึง 23% โดยเป็นผลมาจากการแนะนำลูกค้าจากธนาคารกรุงไทย ซึ่งถือเป็นผลประโยชน์ที่บริษัทได้รับจากความร่วมมือกับธนาคาร

บริษัทจัดได้ว่าเป็นผู้ประกอบการธุรกิจหลักทรัพย์ไทยรายแรก ๆ ที่ขยายธุรกิจไปในภูมิภาคอินโดจีน โดยบริษัทถือหุ้น 30% ใน BCEL-KT Securities Co., Ltd. (BCEL-KT) ซึ่งเป็นบริษัทหลักทรัพย์ 1 ใน 3 แห่งของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว นอกจากนี้ บริษัทยังมีเครือข่ายอยู่ในประเทศเวียดนามด้วยโดยผ่านการลงทุนใน Thanh Cong Securities Joint Stock Company (TCSC) ของบริษัทหลักทรัพย์ ซีมิโก้ จำกัด (มหาชน) (บล. ซีมิโก้) ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทอีกรายหนึ่งในสัดส่วน 49.71% ล่าสุดบริษัทได้จัดตั้งบริษัทร่วมทุนกับ Ruby Hills Finance ในประเทศเมียนมาเพื่อจัดตั้งบริษัทหลักทรัพย์ในประเทศดังกล่าวด้วย การมีเครือข่ายในภูมิภาคและประโยชน์จากการริเริ่มขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศก่อนคู่แข่งน่าจะสร้างความได้เปรียบให้แก่บริษัทเหนือคู่แข่งท้องถิ่นในการให้บริการวาณิชธนกิจที่เกี่ยวข้องกับธุรกรรมข้ามชาติ รายได้จากการให้บริการวาณิชธนกิจ (รายได้จากการจัดจำหน่ายหลักทรัพย์และที่ปรึกษาการเงิน) ในปี 2558 คิดเป็น 11% ของรายได้รวมของบริษัท ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 2% ของรายได้รวมของบริษัทในปี 2556 อย่างไรก็ดี ทริสเรทติ้งคาดหวังที่จะเห็นธุรกิจวาณิชธนกิจโดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนที่ให้บริการแก่ลูกค้านอกประเทศนั้นจะสร้างรายได้คิดเป็นสัดส่วนที่สำคัญของบริษัทต่อไปอีกในอนาคตอันใกล้

แม้ว่าภายหลังการรับโอนธุรกิจหลักทรัพย์จาก บล. ซีมิโก้ในปี 2552 จะทำให้บริษัทมีผลการดำเนินงานที่มีกำไร แต่สัดส่วนกำไรต่อรายได้ของบริษัทก็ยังอยู่ในระดับค่อนข้างต่ำเนื่องจากมีค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่สูง โดยค่าใช้จ่ายดังกล่าวของบริษัทยังคงอยู่ในระดับสูงถึง 74% ของรายได้สุทธิในปี 2558 เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมที่ระดับประมาณ 66% การมีสัดส่วนกำไรต่อรายได้ที่ต่ำนี้อาจทำให้บริษัทตกอยู่ในสภาพเสียเปรียบในการแข่งขันและอาจส่งผลกดดันต่อความสามารถในการทำกำไรในอนาคตได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายใต้การแข่งขันด้านราคาที่รุนแรงขึ้นภายหลังการเปิดเสรี ทั้งนี้ ในปี 2558 บริษัทมีกำไรสุทธิ 208 ล้านบาท ลดลง 32% จากปี 2557 เนื่องจากภาวะตลาดที่ไม่เอื้ออำนวย อย่างไรก็ดี ผลประกอบการงวด 9 เดือน แรกของปี 2559 แสดงให้เห็นว่าบริษัทมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 22% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนโดยอยู่ที่ 231 ล้านบาทด้วยสาเหตุหลักจากกำไรจากเงินลงทุน

ปัจจุบันบริษัทมีการจำกัดความเสี่ยงด้านการตลาดให้เหลือน้อยลงโดยไม่มีการลงทุนแบบเก็งกำไรเหมือนในอดีตแต่เน้นการลงทุนแบบ Arbitrage กับการลงทุนเพื่อป้องกันความเสี่ยงจากการออกใบสำคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ให้มากขึ้น ยอดลูกหนี้สินเชื่อเพื่อซื้อหลักทรัพย์ของบริษัท ณ สิ้นปี 2556 อยู่ที่ประมาณ 2,900 ล้านบาท แต่ในปี 2559 กลับเพิ่มขึ้นสูงถึงประมาณ 6,700 ล้านบาท ซึ่งถือว่าเป็นระดับสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ ทั้งนี้ การเพิ่มขึ้นของสินเชื่อดังกล่าวสอดคล้องกับการเติบโตของอุตสาหกรรม แต่ก็ทำให้บริษัทมีความเสี่ยงทางด้านเครดิตที่เพิ่มขึ้นตามไปด้วย โดยบริษัทมีสัดส่วนการให้สินเชื่อเทียบกับยอดลูกหนี้สินเชื่อเพื่อซื้อหลักทรัพย์รวมทั้งอุตสาหกรรมอยู่ที่ระดับประมาณ 6% ในปี 2556 เพิ่มขึ้นเป็น 11.6% ในปี 2559 อย่างไรก็ตาม เนื่องจากบริษัทมีฐานเงินทุนที่อยู่ในระดับค่อนข้างต่ำอยู่แล้ว การขยายตัวของสินเชื่อนี้จึงทำให้บริษัทเป็นผู้ประกอบการที่มีการใช้หนี้สินเทียบกับทุนที่สูงมากที่สุดรายหนึ่งในอุตสาหกรรม ทริสเรทติ้งคาดหวังว่าบริษัทจะจำกัดวงเงินสินเชื่อเพื่อซื้อหลักทรัพย์ในปี 2560 ในระดับสูงสุดที่ประมาณ 7,000 ล้านบาท

บริษัทมีเงินกองทุนที่ค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับคู่แข่ง โดยบริษัทมีอัตราส่วนเงินกองทุนสภาพคล่องสุทธิต่อหนี้สินทั่วไปลดลงมาอยู่ที่ 13% ในปี 2559 เทียบกับ 35% ในปี 2557 ความพยายามในการใช้ทุนอย่างเต็มที่ของบริษัททำให้บริษัทจัดว่าเป็นบริษัทหลักทรัพย์ที่มีอัตราส่วนเงินกองทุนสภาพคล่องสุทธิต่อหนี้สินทั่วไปต่ำมากที่สุดแห่งหนึ่ง

บริษัทหลักทรัพย์ เคที ซีมิโก้ จำกัด (KTZ)
อันดับเครดิตองค์กร: BBB+
อันดับเครดิตตราสารหนี้:
หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันวงเงินไม่เกิน 1,500 ล้านบาท ไถ่ถอนภายใน 3 ปี BBB+
แนวโน้มอันดับเครดิต: Stable
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด/ www.trisrating.com
ติดต่อ santaya@trisrating.com  โทร. 0-2231-3011 ต่อ 500 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ 10500
? บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2560 ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือเพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยที่ยังไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจาก บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ก่อน การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้ ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆโดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการจัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน Website: http://www.trisrating.com/th/rating-information-th2/rating-criteria.html

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ