ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กร & หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน “บ. แสนสิริ” ที่ “BBB+” และจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันวงเงินไม่เกิน 2,000 ล้านบาท ที่ระดับ “BBB+” แนวโน้ม “Stable&rdqu

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday April 11, 2018 10:40 —ทริส เรตติ้ง

ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดปัจจุบันของ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ “BBB+” พร้อมทั้งจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดใหม่ในวงเงินไม่เกิน 2,000 ล้านบาทของบริษัทที่ระดับ “BBB+” ด้วยเช่นกัน โดยบริษัทจะนำเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ชุดใหม่ไปใช้ชำระคืนหนี้หุ้นกู้ที่จะครบกำหนดไถ่ถอนในเดือนพฤษภาคม 2561 และส่วนที่เหลือจะใช้เป็นทุนในการดำเนินธุรกิจ

อันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้สะท้อนถึงสถานะความเป็นผู้นำของบริษัทและผลงานที่ผ่านมาในตลาดพัฒนาที่อยู่อาศัย ตลอดจนแบรนด์ที่เป็นที่ยอมรับในตลาดคอนโดมิเนียมและบ้านจัดสรร รวมถึงความหลากหลายของสินค้า นอกจากนี้ อันดับเครดิตยังสะท้อนถึงความสามารถในการทำกำไรในระดับปานกลาง และอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนที่คาดว่าจะเพิ่มสูงขึ้นจากการที่บริษัทมีแผนการขยายธุรกิจเชิงรุกซึ่งจะส่งผลให้กระแสเงินสดของบริษัทอ่อนแอลง อีกทั้งยังสะท้อนถึงความผันผวนและการแข่งขันที่รุนแรงในธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัย รวมถึงความกังวลเกี่ยวกับหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูงทั่วประเทศซึ่งส่งผลกระทบต่อความสามารถในการซื้อที่อยู่อาศัยโดยเฉพาะในตลาดสินค้าราคาปานกลางถึงต่ำอีกด้วย

ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต

สินค้าที่มีความหลากหลายภายใต้แบรนด์ที่มีชื่อเสียงในตลาดที่อยู่อาศัย

สินค้าของบริษัทมีความหลากหลายไม่ว่าจะเป็นโครงการคอนโดมิเนียม บ้านเดี่ยว และทาวน์เฮ้าส์ในหลายระดับราคาที่แตกต่างกัน โครงการคอนโดมิเนียมของบริษัทครอบคลุมระดับราคาต่ำถึงสูงซึ่งมีราคาขายอยู่ในช่วง 50,000 บาทถึง 700,000 บาทต่อตารางเมตร (ตร.ม.) บ้านเดี่ยวของบริษัทอยู่ภายใต้แบรนด์คณาสิริ ฮาบิเทีย สราญสิริ บุราสิริ เศรษฐสิริ และนาราสิริ ซึ่งส่วนใหญ่มีระดับราคาอยู่ที่ 5-8 ล้านบาทต่อหลัง และทาวน์เฮ้าส์ภายใต้แบรนด์ฮาบิทาวน์ ทาวน์อเวนิว สิริเพลส สิริอเวนิว สิริสแควร์ และการ์เด้นท์สแควร์ ซึ่งครอบคลุมระดับราคาตั้งแต่ 1.4 ล้านบาทถึง 15 ล้านบาทต่อยูนิต การมีสินค้าที่หลากหลายทำให้บริษัทมีความยืดหยุ่นในการนำเสนอสินค้าให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด

ณ เดือนธันวาคม 2560 บริษัทมีโครงการที่อยู่ในระหว่างการพัฒนาซึ่งประกอบด้วยโครงการคอนโดมิเนียม 33 โครงการ (รวมโครงการคอนโดมิเนียมภายใต้กิจการร่วมค้ากับบีทีเอสกรุ๊ป 11 โครงการและกับโตคิว คอร์ปอเรชั่น 1 โครงการ) และโครงการบ้านจัดสรร 52 โครงการซึ่งมีมูลค่ารวมทั้งสิ้น 170,000 ล้านบาท โครงการคอนโดมิเนียมคิดเป็น 55% ของมูลค่าโครงการทั้งหมดของบริษัท ที่เหลือเป็นโครงการบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮ้าส์ ณ เดือนธันวาคม 2560 จำนวนที่อยู่อาศัยเหลือขายทั้งหมด (รวมทั้งที่ก่อสร้างแล้วและยังไม่ได้ก่อสร้าง) มีมูลค่าประมาณ 49,000 ล้านบาท (ไม่รวมจำนวนที่อยู่อาศัยเหลือขายภายใต้กิจการร่วมค้ากับบีทีเอสกรุ๊ปมูลค่า 16,000 ล้านบาท) และมียอดขายรอการรับรู้รายได้มูลค่าประมาณ 11,000 ล้านบาท (ไม่รวมยอดขายรอการรับรู้รายได้ภายใต้กิจการร่วมค้ากับบีทีเอสกรุ๊ปมูลค่า 25,000 ล้านบาท) ซึ่งคาดว่าจะช่วยประกันรายได้ของบริษัทส่วนหนึ่งได้ในอนาคตในช่วงปี 2561 ถึงปี 2564 ในขณะที่ยอดขายรอการรับรู้รายได้ภายใต้กิจการร่วมค้าก็จะช่วยสนับสนุนการเติบโตของรายได้จากการบริหารโครงการที่อยู่อาศัยภายใต้กิจการร่วมค้าในช่วง 4 ปีข้างหน้า

สถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่ง

สถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งเป็นผลมาจากผลการดำเนินงานทั้งของโครงการคอนโดมิเนียมของบริษัทและของกิจการร่วมค้า ทั้งนี้ ยอดขายของบริษัทเพิ่มขึ้นเป็น 38,565 ล้านบาทในปี 2560 จาก 31,139 ล้านบาทในปี 2559 และ 28,512 ล้านบาทในปี 2558 โดยยอดขายโครงการคอนโดมิเนียม (รวมยอดขายจากโครงการภายใต้กิจการร่วมค้า) คิดเป็น 60%-65% ของยอดขายรวมของบริษัทในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ส่วนยอดขายบ้านเดี่ยวอยู่ที่ 9,000-12,000 ล้านบาทต่อปีนับตั้งแต่ปี 2554 เป็นต้นมา ในขณะที่โครงการทาวน์เฮ้าส์มียอดขายประมาณ 5% ของยอดขายรวมในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา

รายได้รวมของบริษัทอยู่ใน 3 อันดับแรกของกลุ่มผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์มาหลายปีแล้ว อย่างไรก็ตาม รายได้ของบริษัทลดลงอย่างต่อเนื่องโดยอยู่ที่ 33,811 ล้านบาทในปี 2559 และ 30,916 ล้านบาทในปี 2560 จาก 36,955 ล้านบาทในปี 2558 ซึ่งเป็นผลมาจากรายได้จากโครงการคอนโดมิเนียมของบริษัทที่ลดลง ทั้งนี้ รายได้จากคอนโดมิเนียมอยู่ที่ 23,048 ล้านบาทในปี 2558 และลดลงเป็น 19,260 ล้านบาทในปี 2559 และ 12,897 ล้านบาทในปี 2560 คาดว่ารายได้ของบริษัทในช่วงปี 2561-2562 จะอยู่ที่ประมาณ 30,000 ล้านบาทต่อปีเนื่องจากบริษัทมีโครงการคอนโดมิเนียมจำนวนไม่มากนักที่จะส่งมอบให้แก่ลูกค้า

ความสามารถในการทำกำไรอยู่ในระดับปานกลาง

อัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทลดลงเป็น 29%-31% ในช่วงปี 2558-2560 จาก 33%-34% ในช่วงปี 2553-2557 เนื่องจากบริษัทมีต้นทุนเพิ่มขึ้นจากการทำกิจกรรมทางการตลาดในโครงการคอนโดมิเนียมหลายโครงการเพื่อระบายสินค้าสร้างเสร็จเหลือขาย ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมาค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารของบริษัทเท่ากับ 17%-20% ของรายได้รวม ซึ่งทำให้อัตรากำไรจากการดำเนินงานอยู่ที่ระดับ 12%-14% อัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ระดับ 9%-12% ของรายได้รวมในช่วงปี 2557-2560 ภายใต้สมมติฐานพื้นฐานของทริสเรทติ้งคาดว่าในช่วง 3 ปีข้างหน้าบริษัทจะสามารถรักษาอัตรากำไรจากการดำเนินงานและอัตรากำไรสุทธิให้อยู่ที่ระดับปัจจุบันเอาไว้ได้ อย่างไรก็ตาม ความสามารถในการทำกำไรของบริษัทอาจได้รับแรงกดดันจากการแข่งขันที่รุนแรงของผู้ประกอบการรายใหญ่และจากอัตรากำไรที่ต่ำจากการบริหารธุรกิจในกิจการร่วมค้า

แผนการขยายธุรกิจเชิงรุกอาจส่งผลให้ภาระหนี้เพิ่มสูงขึ้นและกระแสเงินสดอ่อนแอลง

ในปี 2560 บริษัทใช้เงินลงทุนจำนวน 12,000 ล้านบาทไปในการซื้อที่ดินและเปิดโครงการใหม่ 14 โครงการ (รวมโครงการคอนโดมิเนียมภายใต้กิจการร่วมค้ากับบีทีเอสกรุ๊ป 3 โครงการและกับโตคิว คอร์ปอเรชั่น 1 โครงการ) มูลค่ารวม 36,000 ล้านบาท ทั้งนี้ ในปี 2561 บริษัทตั้งงบประมาณซื้อที่ดินประมาณ 8,000 ล้านบาทและมีแผนเปิดโครงการใหม่อีก 31 โครงการซึ่งมีมูลค่ารวม 63,000 ล้านบาท เป็นมูลค่าที่มากขึ้นเกือบ 2 เท่าจากปีที่แล้ว โดยประมาณ 50% ของมูลค่าโครงการใหม่เป็นโครงการคอนโดมิเนียมของบริษัทและของกิจการร่วมค้า บริษัทเน้นการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมของบริษัทเองมากขึ้นเพื่อจะรักษารายได้เอาไว้ที่ประมาณ 30,000 ล้านบาทต่อปี นอกจากนี้ บริษัทยังคาดว่าจะมีรายได้มากยิ่งขึ้นจากโครงการทาวน์เฮ้าส์ของตนเองอีกด้วยเนื่องจากบริษัทจะเปิดตัวโครงการทาวน์เฮ้าส์ใหม่อีกถึง 10 โครงการด้วยมูลค่ารวม 7,500 ในปี 2561 ในการนี้บริษัทจะเน้นพัฒนาโครงการทาวน์เฮ้าส์ที่ระดับราคา 1-3 ล้านบาท

แม้ว่าการร่วมทุนกับพันธมิตรจะช่วยบรรเทาความต้องการเงินทุนลงไปได้บางส่วน แต่บริษัทก็ยังคงต้องการแหล่งเงินทุนจำนวนมากเพื่อการขยายธุรกิจให้เติบโตตามแผน ดังนั้น ทริสเรทติ้งจึงคาดว่าภาระหนี้ของบริษัทในช่วง 3 ปีข้างหน้าจะสูงมากขึ้นจากระดับปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนที่ปรับปรุงแล้วควรจะอยู่ในระดับต่ำกว่า 66% หรืออัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อทุนที่ปรับปรุงแล้วควรอยู่ในระดับต่ำกว่า 2 เท่า ทั้งนี้ บริษัทควรรักษาอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมที่ปรับปรุงแล้วให้อยู่ที่ระดับ 5%-10% เนื่องจากภาระหนี้ของบริษัทคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเร็วกว่ากำไร

ส่วนแบ่งกำไรและรายได้จากโครงการร่วมทุนคาดว่าจะเพิ่มสูงขึ้น

ณ เดือนธันวาคม 2560 บริษัทมีโครงการคอนโดมิเนียมภายใต้กิจการร่วมค้ากับบีทีเอสกรุ๊ปซึ่งอยู่ระหว่างการพัฒนาจำนวน 11 โครงการซึ่งมีมูลค่ารวมประมาณ 45,000 ล้านบาท โครงการดังกล่าวมียอดขาย 64% และมียอดโอน 9% ทั้งนี้ ยอดขายรอการรับรู้รายได้จากกิจการร่วมค้ากับบีทีเอสกรุ๊ปมีมูลค่าประมาณ 25,000 ล้านบาท หรือคิดเป็น 70% ของยอดขายรอการรับรู้รายได้ทั้งหมดของบริษัท บริษัทเริ่มรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในกิจการร่วมค้าในปี 2560 และจะส่งมอบยอดขายรอการรับรู้รายได้ดังกล่าวในช่วงปี 2561 ถึงปี 2564 ซึ่งจะทำให้บริษัทรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากกิจการร่วมค้าในสัดส่วนที่มากขึ้นในช่วง 4 ปีข้างหน้า บริษัทมีแผนจะเปิดโครงการคอนโดมิเนียมภายใต้กิจการร่วมค้าอีกหลายโครงการอย่างต่อเนื่องด้วย ดังนั้น จึงคาดว่ารายได้จากค่าบริหารโครงการกิจการร่วมค้าจะมีสัดส่วนเพิ่มมากขึ้นในช่วง 3 ปีข้างหน้า

ธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยมีความผันผวนและมีการแข่งขันที่รุนแรง

แม้ว่าธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยจะเป็นไปตามภาวะเศรษฐกิจโดยรวมก็ตาม แต่ก็มีความผันผวนมากกว่าภาวะเศรษฐกิจโดยทั่วไป การชะลอตัวของภาวะเศรษฐกิจภายในประเทศประกอบกับภาระหนี้ครัวเรือนที่เพิ่มสูงขึ้นทั่วประเทศส่งผลต่อกำลังซื้อของผู้บริโภคโดยเฉพาะในตลาดสินค้าราคาปานกลางถึงต่ำ ดังนั้น ผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์หลายรายจึงหันมาเน้นพัฒนาสินค้าในระดับราคาที่สูงขึ้น ซึ่งคาดว่าจะทำให้การแข่งขันในตลาดดังกล่าวมีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น ดังนั้น บริษัทจึงมีแผนจะเปิดโครงการในระดับราคาปานกลางถึงต่ำลงให้มากขึ้นเพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการในตลาดล่างที่กลับฟื้นตัวและเพื่อให้สินค้ามีความหลากหลายมากยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม ความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อของธนาคารยังคงเป็นปัจจัยที่ท้าทายสำหรับผู้ประกอบการ

สภาพคล่องที่เพียงพอ

สภาพคล่องทางการเงินของบริษัทยังคงมีเพียงพอ โดย ณ เดือนธันวาคม 2560 บริษัทมีเงินสดจำนวน 2,978 ล้านบาทและมีวงเงินกู้โครงการจากธนาคารที่ยังไม่ได้เบิกใช้และไม่ติดเงื่อนไขในการเบิกอีกประมาณ 48,000 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังคาดว่ากระแสเงินสดจากการดำเนินงานที่ปรับปรุงแล้วของบริษัทในช่วง 12 เดือนข้างหน้าจะอยู่ที่ประมาณ 2,000 ล้านบาทอีกด้วย บริษัทมีภาระหนี้ที่จะครบกำหนดชำระในอีก 12 เดือนข้างหน้าจำนวน 21,540 ล้านบาทซึ่งประกอบด้วยหุ้นกู้จำนวน 5,998 ล้านบาท เงินกู้โครงการ 3,974 ล้านบาท ตั๋วสัญญาใช้เงินระยะยาวสำหรับซื้อที่ดิน 3,200 ล้านบาท รวมถึงตั๋วแลกเงินและตั๋วสัญญาใช้เงินระยะสั้นอีก 8,368 ล้านบาท

บริษัทมีแผนจะออกหุ้นกู้ใหม่เพื่อทดแทนหุ้นกู้ที่จะครบกำหนด ส่วนเงินกู้โครงการนั้นจะจ่ายชำระคืนด้วยกระแสเงินสดจากการโอนโครงการ ตั๋วสัญญาใช้เงินระยะยาวสำหรับซื้อที่ดินจะแปลงไปเป็นเงินกู้ระยะยาวของโครงการในภายหลัง ในขณะที่ตั๋วแลกเงินและตั๋วสัญญาใช้เงินระยะสั้นจะต่ออายุออกไปหรือจ่ายชำระคืนภายใน 3-6 เดือน โดยปกติบริษัทมักใช้ตั๋วแลกเงินและตั๋วสัญญาใช้เงินระยะสั้นเพื่อลดต้นทุนทางการเงิน อย่างไรก็ตาม คาดว่าบริษัทจะคงเงินกู้โครงการที่ยังไม่ได้เบิกใช้ไว้ในจำนวนที่เพียงพอกับยอดคงเหลือของตั๋วแลกเงินและตั๋วสัญญาใช้เงินระยะสั้นเพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงจากการต่ออายุ

บริษัทจำเป็นต้องรักษาอัตราส่วนทางการเงินให้เป็นไปตามเงื่อนไขทางการเงินของวงเงินกู้ยืมจากธนาคารและหุ้นกู้โดยบริษัทจะต้องดำรงอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อทุน (ตามงบการเงินรวมของบริษัท) ไม่ให้เกินกว่า 2.5 เท่า ทั้งนี้

ณ เดือนธันวาคม 2560 อัตราส่วนดังกล่าวอยู่ที่ 1.27 เท่า ดังนั้น บริษัทยังคงรักษาอัตราส่วนดังกล่าวให้สอดคล้องกับเงื่อนไขทางการเงินอยู่ ทริสเรทติ้งหวังว่าบริษัทจะสามารถบริหารโครงสร้างทางการเงินให้สอดคล้องกับเงื่อนไขดังกล่าวต่อไปได้ในช่วง 12-18 เดือนข้างหน้า

แนวโน้มอันดับเครดิต

แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนถึงความคาดหวังว่าบริษัทจะสามารถรักษาผลการดำเนินงานเอาไว้ได้ตามเป้าหมาย รวมถึงคาดว่าบริษัทจะสามารถส่งมอบยอดขายที่รอการรับรู้รายได้ได้ตามแผน อีกทั้งจะรักษาอัตรากำไรจากการดำเนินงานและอัตรากำไรสุทธิเอาไว้ได้ที่ระดับปัจจุบันในอีก 3 ปีข้างหน้า ทั้งนี้ คาดว่าภาระหนี้ของบริษัทจะเพิ่มขึ้นจากแผนการขยายธุรกิจเชิงรุก อย่างไรก็ตาม บริษัทควรรักษาอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนที่ปรับปรุงแล้วให้อยู่ในระดับที่ต่ำกว่า 66% หรืออัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อทุนที่ปรับปรุงแล้วให้ต่ำกว่า 2 เท่า ทั้งนี้ บริษัทควรรักษาอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมที่ปรับปรุงแล้วให้อยู่ที่ระดับ 5%-10% ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง

ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง

อันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัทอาจได้รับการปรับเพิ่มขึ้นหากสถานะทางการเงินของบริษัทปรับตัวดีขึ้นเท่ากับผู้ประกอบการที่ได้รับการจัดอันดับเครดิตในระดับที่สูงกว่า โดยอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนที่ปรับปรุงแล้วควรอยู่ที่ระดับต่ำกว่า 55% ในระยะเวลาหนึ่ง นอกจากนี้ อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมที่ปรับปรุงแล้วควรเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 15% ในทางตรงกันข้าม อันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตอาจถูกปรับลดลงหากผลการดำเนินงานและ/หรือสถานะทางการเงินของบริษัทถดถอยลงกว่าที่คาดการณ์ไว้อย่างมีนัยสำคัญ

บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) (SIRI)
อันดับเครดิตองค์กร: BBB+
อันดับเครดิตตราสารหนี้:
SIRI185A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2561 BBB+
SIRI188A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 2,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2561 BBB+
SIRI194A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2562 BBB+
SIRI194B: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2562 BBB+
SIRI197A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2562 BBB+
SIRI19OA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2562 BBB+
SIRI204A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 2,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2563 BBB+
SIRI206A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 2,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2563 BBB+
SIRI229A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 2,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2565 BBB+
SIRI231A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 4,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2566 BBB+
หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันในวงเงินไม่เกิน 2,000 ล้านบาท ไถ่ถอนภายใน 3.5 ปี BBB+
แนวโน้มอันดับเครดิต: Stable
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด/ www.trisrating.com
ติดต่อ santaya@trisrating.com  โทร. 0-2098-3000 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ 10500
? บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2561 ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือเพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยที่ยังไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจาก บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ก่อน การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้ ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆโดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการจัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน Website: http://www.trisrating.com/th/rating-information-th2/rating-criteria.html

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ