บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จัดอันดับเครดิตองค์กร บริษัท คิงเพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี จำกัด ที่ระดับ BBB+ โดยสะท้อนถึงสถานะผู้ประกอบกิจการจำหน่ายสินค้าปลอดอากรในประเทศไทย ระดับการแข่งขันที่ไม่รุนแรง กระแสเงินสดจากการดำเนินงานที่น่าพอใจ รวมถึงความสามารถและประสบการณ์ของคณะผู้บริหาร อันดับเครดิตยังพิจารณาถึงแนวโน้มที่ดีในระยะยาวของธุรกิจการท่องเที่ยวในประเทศไทยแม้จะชะลอตัวในระยะสั้นจากวิบัติภัยคลื่นซึนามิในบริเวณชายฝั่งอันดามัน อย่างไรก็ตาม ความแข็งแกร่งดังกล่าวถูกลดทอนลงบางส่วนจากการที่บริษัทมีสัดส่วนเงินกู้ยืมต่อทุนในระดับสูง นอกจากนี้ อันดับเครดิตยังตั้งอยู่บนสมมุติฐานที่บริษัทจะไม่มีการกู้ยืมเงินเพิ่มในปริมาณมากหรือให้การสนับสนุนทางการเงินจำนวนมากแก่บริษัทเกี่ยวข้องที่มีสถานะทางการเงินด้อยกว่า ในขณะที่แนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่" สะท้อนถึงสถานะของบริษัทที่เป็นผู้ประกอบธุรกิจสินค้าปลอดอากรรายใหญ่ที่สุดในประเทศ โดยทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะสามารถรักษาความแข็งแกร่งของผลการดำเนินงานได้ในระยะปานกลางจากการดำเนินธุรกิจในท่าอากาศยานนานาชาติในปัจจุบันและในท่าอากาศยานสุวรรณภูมิในอนาคต และจากแนวโน้มที่ดีของธุรกิจการท่องเที่ยวในประเทศ โดยที่การให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่บริษัทที่เกี่ยวข้องจะส่งผลกระทบต่ออันดับเครดิตของบริษัท
ทริสเรทติ้งรายงานว่า บริษัทคิงเพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี เป็นสมาชิกของกลุ่มคิงเพาเวอร์ (King Power Group) ซึ่งเป็นผู้ประกอบธุรกิจจำหน่ายสินค้าปลอดอากรรายใหญ่ในประเทศไทย โดยร้านค้าของกลุ่มตั้งอยู่ในย่านธุรกิจหลักของกรุงเทพฯ และในท่าอากาศยานนานาชาติ 4 แห่ง บริษัทได้รับอนุญาตจาก บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) เป็นเวลา 10 ปี ระหว่างปี 2540-2549 เพื่อดำเนินกิจการร้านจำหน่ายสินค้าปลอดอากรที่ท่าอากาศยานนานาชาติ สินค้าหลักในร้านค้าของบริษัทประกอบด้วย สุรา บุหรี่ น้ำหอม นาฬิกา เครื่องสำอาง เสื้อผ้าและเครื่องประดับ อาหาร และช็อกโกเลต ฯลฯ โดยที่ธุรกิจจำหน่ายสินค้าปลอดอากรในประเทศไทยมีการแข่งขันในระดับต่ำเนื่องจากปัจจุบันบริษัทเป็นผู้ประกอบการเพียงรายเดียวในท่าอากาศยานทั่วประเทศ ซึ่งการแข่งขันในธุรกิจจำหน่ายสินค้าปลอดอากรที่ท่าอากาศยานจะรุนแรงในช่วงการต่อรอง หรือยื่นประมูลสัมปทานใหม่ หรือการขอต่ออายุสัมปทาน
ทริสเรทติ้งกล่าวว่า ประสบการณ์และความสามารถของคณะผู้บริหารทำให้บริษัทคิงเพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี สามารถคงสถานะผู้ประกอบการรายใหญ่ที่สุดในประเทศ ประสบการณ์กว่า 8 ปีช่วยให้บริษัทสร้างระบบสินค้าคงคลังและการขนส่งที่สอดคล้องกับกฎระเบียบของราชการ อีกทั้งยังสั่งสมประสบการณ์ในการจัดหาสินค้าจากหลากหลายแหล่ง นอกจากนี้ บริษัทยังได้สร้างความสัมพันธ์ที่ดีและได้รับความร่วมมือที่ใกล้ชิดจากผู้ผลิตสินค้าด้วย สถานะทางการเงินของบริษัทอยู่ในระดับปานกลางจากการมีอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อแหล่งเงินทุนที่ระดับ 55% ณ สิ้นปี 2546 อย่างไรก็ตาม คาดว่าสัดส่วนดังกล่าวจะเพิ่มขึ้นมากกว่าระดับ 63% ในปี 2547 เพื่อใช้ลงทุนที่ท่าอากาศยานนานาชาติแห่งใหม่ คือ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ โดยบริษัทได้นำเงินกู้ยืมส่วนใหญ่ไปจ่ายค่าสัมปทานล่วงหน้าแก่บริษัทท่าอากาศยานไทย รวมถึงบางส่วนจะนำไปจ่ายค่าอุปกรณ์และการตกแต่งในท่าอากาศยานแห่งใหม่ อัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจ่ายของบริษัทอยู่ที่ระดับ 14 เท่า และเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมมีมากกว่า 43% ในปี 2545 อย่างไรก็ตาม เงินทุนจากการดำเนินงานได้ถดถอยลงในปี 2546 เนื่องจากกำไรที่ลดต่ำลงเมื่อยอดขายได้รับผลกระทบจากโรคทางเดินหายใจเฉียบพลันรุนแรง (ซาร์ส) แม้ว่าผลการดำเนินงานของธุรกิจจำหน่ายสินค้าปลอดอากรจะได้รับผลกระทบเชิงลบในระยะสั้นจากธุรกิจการท่องเที่ยวในประเทศเนื่องจากเป็นธุรกิจที่สัมพันธ์เกี่ยวเนื่องกัน แต่คาดว่าอนาคตของธุรกิจการท่องเที่ยวในประเทศในระยะยาวจะดีขึ้นจากการมีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจหลากหลายและเป็นธุรกิจที่ได้รับการสนับสนุนเป็นอย่างมากจากภาครัฐ
นอกจากนี้ ทริสเรทติ้งยังกล่าวว่าอันดับเครดิตของบริษัทคิงเพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี ยังพิจารณาถึงรายการระหว่างกันของบริษัทและบริษัทในกลุ่ม รวมถึงการให้กู้ยืมระหว่างบริษัทด้วย ณ เดือนธันวาคม 2546 บริษัทให้เงินกู้แก่บริษัทที่เกี่ยวข้องเป็นจำนวน 429 ล้านบาท ณ เดือนกรกฎาคม 2547 เงินให้กู้ยืมรวมของบริษัทเพิ่มขึ้นเป็น 1,448 ล้านบาท ทั้งนี้ การให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่บริษัทที่เกี่ยวข้องเป็นจำนวนมากอาจจะมีผลกระทบต่ออันดับเครดิตของบริษัทได้ -- จบ
ทริสเรทติ้งรายงานว่า บริษัทคิงเพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี เป็นสมาชิกของกลุ่มคิงเพาเวอร์ (King Power Group) ซึ่งเป็นผู้ประกอบธุรกิจจำหน่ายสินค้าปลอดอากรรายใหญ่ในประเทศไทย โดยร้านค้าของกลุ่มตั้งอยู่ในย่านธุรกิจหลักของกรุงเทพฯ และในท่าอากาศยานนานาชาติ 4 แห่ง บริษัทได้รับอนุญาตจาก บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) เป็นเวลา 10 ปี ระหว่างปี 2540-2549 เพื่อดำเนินกิจการร้านจำหน่ายสินค้าปลอดอากรที่ท่าอากาศยานนานาชาติ สินค้าหลักในร้านค้าของบริษัทประกอบด้วย สุรา บุหรี่ น้ำหอม นาฬิกา เครื่องสำอาง เสื้อผ้าและเครื่องประดับ อาหาร และช็อกโกเลต ฯลฯ โดยที่ธุรกิจจำหน่ายสินค้าปลอดอากรในประเทศไทยมีการแข่งขันในระดับต่ำเนื่องจากปัจจุบันบริษัทเป็นผู้ประกอบการเพียงรายเดียวในท่าอากาศยานทั่วประเทศ ซึ่งการแข่งขันในธุรกิจจำหน่ายสินค้าปลอดอากรที่ท่าอากาศยานจะรุนแรงในช่วงการต่อรอง หรือยื่นประมูลสัมปทานใหม่ หรือการขอต่ออายุสัมปทาน
ทริสเรทติ้งกล่าวว่า ประสบการณ์และความสามารถของคณะผู้บริหารทำให้บริษัทคิงเพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี สามารถคงสถานะผู้ประกอบการรายใหญ่ที่สุดในประเทศ ประสบการณ์กว่า 8 ปีช่วยให้บริษัทสร้างระบบสินค้าคงคลังและการขนส่งที่สอดคล้องกับกฎระเบียบของราชการ อีกทั้งยังสั่งสมประสบการณ์ในการจัดหาสินค้าจากหลากหลายแหล่ง นอกจากนี้ บริษัทยังได้สร้างความสัมพันธ์ที่ดีและได้รับความร่วมมือที่ใกล้ชิดจากผู้ผลิตสินค้าด้วย สถานะทางการเงินของบริษัทอยู่ในระดับปานกลางจากการมีอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อแหล่งเงินทุนที่ระดับ 55% ณ สิ้นปี 2546 อย่างไรก็ตาม คาดว่าสัดส่วนดังกล่าวจะเพิ่มขึ้นมากกว่าระดับ 63% ในปี 2547 เพื่อใช้ลงทุนที่ท่าอากาศยานนานาชาติแห่งใหม่ คือ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ โดยบริษัทได้นำเงินกู้ยืมส่วนใหญ่ไปจ่ายค่าสัมปทานล่วงหน้าแก่บริษัทท่าอากาศยานไทย รวมถึงบางส่วนจะนำไปจ่ายค่าอุปกรณ์และการตกแต่งในท่าอากาศยานแห่งใหม่ อัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจ่ายของบริษัทอยู่ที่ระดับ 14 เท่า และเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมมีมากกว่า 43% ในปี 2545 อย่างไรก็ตาม เงินทุนจากการดำเนินงานได้ถดถอยลงในปี 2546 เนื่องจากกำไรที่ลดต่ำลงเมื่อยอดขายได้รับผลกระทบจากโรคทางเดินหายใจเฉียบพลันรุนแรง (ซาร์ส) แม้ว่าผลการดำเนินงานของธุรกิจจำหน่ายสินค้าปลอดอากรจะได้รับผลกระทบเชิงลบในระยะสั้นจากธุรกิจการท่องเที่ยวในประเทศเนื่องจากเป็นธุรกิจที่สัมพันธ์เกี่ยวเนื่องกัน แต่คาดว่าอนาคตของธุรกิจการท่องเที่ยวในประเทศในระยะยาวจะดีขึ้นจากการมีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจหลากหลายและเป็นธุรกิจที่ได้รับการสนับสนุนเป็นอย่างมากจากภาครัฐ
นอกจากนี้ ทริสเรทติ้งยังกล่าวว่าอันดับเครดิตของบริษัทคิงเพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี ยังพิจารณาถึงรายการระหว่างกันของบริษัทและบริษัทในกลุ่ม รวมถึงการให้กู้ยืมระหว่างบริษัทด้วย ณ เดือนธันวาคม 2546 บริษัทให้เงินกู้แก่บริษัทที่เกี่ยวข้องเป็นจำนวน 429 ล้านบาท ณ เดือนกรกฎาคม 2547 เงินให้กู้ยืมรวมของบริษัทเพิ่มขึ้นเป็น 1,448 ล้านบาท ทั้งนี้ การให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่บริษัทที่เกี่ยวข้องเป็นจำนวนมากอาจจะมีผลกระทบต่ออันดับเครดิตของบริษัทได้ -- จบ