ฉบับที่ 8/2554
ภาวะเศรษฐกิจภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เดือนพฤษภาคม 2554 ขยายตัวจากระยะเดียวกันของปีก่อน และขยายตัวต่อเนื่องจากเดือนก่อน โดยด้านอุปสงค์ขยายตัวตามการอุปโภคบริโภคและการลงทุนภาคเอกชน ส่วนการใช้จ่ายของภาครัฐยังขยายตัวอยู่ในเกณฑ์ดี ขณะที่ด้านอุปทาน ขยายตัวตามการผลิตภาคอุตสาหกรรมและภาคเกษตรกรรม ขณะที่ภาคการค้าชะลอลง สำหรับอัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ร้อยละ 4.76 เร่งตัวสูงขึ้นจากเดือนก่อน
รายละเอียดของภาวะเศรษฐกิจการเงินภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีดังนี้
1. ด้านการผลิต
มูลค่าผลผลิตพืชผลสำคัญสูงขึ้นจากระยะเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 4.5 ขยายตัวจากเดือนก่อน โดยดัชนีราคาพืชผลสำคัญสูงขึ้นร้อยละ 6.0 เป็นผลจากการสูงขึ้นของราคาข้าวเปลือกเหนียว ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และยางพารา เป็นสำคัญขณะที่ดัชนีผลผลิตหดตัวร้อยละ 1.3 ตามการลดลงของผลผลิตข้าวและมันสำปะหลัง สำหรับ ข้าวเปลือกเหนียว ราคายังอยู่ในเกณฑ์ดี เฉลี่ยเกวียนละ 13,884 บาท สูงขึ้นจากระยะเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 14.7 แต่ชะลอลงเนื่องจากมีผลผลิตออกสู่ตลาดเพิ่มขึ้น ข้าวเปลือกหอมมะลิราคาเฉลี่ยเกวียนละ 12,882 บาท ลดลงจากระยะเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 3.2 ลดลงต่อเนื่องจากเดือนก่อน เป็นผลจากพ่อค้าส่งออกยังมีสต็อกเพียงพอ และไม่มีคำสั่งซื้อจากต่างประเทศเพิ่มขึ้น หัวมันสำปะหลังราคาเฉลี่ยกิโลกรัมละ 2.58 ลดลงจากระยะเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 3.0 เนื่องจากความต้องการของตลาดต่างประเทศชะลอลง ประกอบกับฝนที่ตกมากในจังหวัดนครราชสีมา และชัยภูมิซึ่งเป็นแหล่งผลิตสำคัญทำให้เปอร์เซ็นต์แป้งโดยเฉลี่ยต่ำลง อ้อยโรงงานราคาอยู่ในเกณฑ์ดีเฉลี่ยตันละ 1,104.2 บาท ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ราคายังอยู่ในเกณฑ์ดีเฉลี่ยกิโลกรัมละ 9.38 บาท สูงขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 14.9 เร่งตัวจากเดือนก่อนเนื่องจากมีผลผลิตออกสู่ตลาดน้อยลง ยางพารา ราคาชะลอลงบ้าง แต่ยังอยู่ในเกณฑ์ดี โดยราคายางแผ่นดิบชั้น 3 เฉลี่ยกิโลกรัมละ 146.5 เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 46.7 ส่วนสำคัญเป็นผลจากความต้องการของอุตสาหกรรมยานยนต์ยังขยายตัว ประกอบกับผลผลิตในภาคใต้ออกสู่ตลาดน้อย เนื่องจากประสบภัยธรรมชาติ
ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมขยายตัวจากระยะเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 24.0 เป็นผลการผลิตในอุตสาหกรรมน้ำตาลโดยเฉพาะการผลิตน้ำตาลทรายขาวที่เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันของปีก่อนกว่าเท่าตัว เนื่องจากโรงงานปิดหีบช้ากว่าปีก่อนเนื่องจากยังมีผลผลิตอ้อยเพิ่มขึ้น และความล่าช้าในการตัดอ้อยเนื่องจากมีฝนตกในบางพื้นที่ อุตสาหกรรมเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ เพิ่มขึ้นร้อยละ 22.0 ขยายตัวต่อเนื่องจากเดือนก่อนเพื่อสต็อกสินค้าสำหรับรองรับความต้องการของตลาดที่คาดว่าจะขยายตัวมากขึ้น อย่างไรก็ตาม อุตสาหกรรมผลิตเพื่อการส่งออกชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ในกลุ่ม Hard Disk Drive (HDD) หดตัวร้อยละ 22.4 เป็นผลจากการชะลอคำสั่งซื้อจากต่างประเทศ
ภาคการค้า ขยายตัวจากระยะเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 4.8 ชะลอลงตามสินค้าหมวดการค้ายานยนต์ และหมวดค้าปลีก โดยเฉพาะเครื่องเหล็ก วัสดุก่อสร้าง สี และกระจก สำหรับการค้าส่งขยายตัวตามยอดจำหน่ายน้ำตาลและวัตถุดิบทางการเกษตรเป็นสำคัญ
2. ด้านอุปสงค์
การอุปโภคบริโภคภาคเอกชนขยายตัวต่อเนื่อง สะท้อนจากการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มที่จัดเก็บได้เพิ่มขึ้น และการจดทะเบียนยานยนต์ที่ขยายตัวต่อเนื่องโดยเฉพาะรถยนต์และรถจักรยานยนต์ การลงทุนภาคเอกชน ขยายตัวต่อเนื่อง เห็นได้จากการขยายตัวของเงินทุนจดทะเบียนธุรกิจตั้งใหม่ และเงินทุนโรงงานอุตสาหกรรมที่ประกอบกิจการใหม่ที่เพิ่มขึ้นถึง 30 เท่า โดยเงินทุนของโรงงานทำผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ในครัวเรือนจากเมลามีนในจังหวัดนครราชสีมามีสัดส่วนสูงถึงร้อยละ 83.6 อย่างไรก็ตาม มูลค่าการลงทุนของโครงการที่ได้รับอนุมัติจากบีโอไอหดตัวเมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปีก่อนเนื่องจากในช่วงเดียวกันของปีก่อนมีมูลค่าการลงทุนสูงจากโครงการขนาดใหญ่หลายแห่ง สำหรับการก่อสร้างภาคเอกชนแม้จะชะลอลงบ้าง แต่ยังคงขยายตัวอยู่ในเกณฑ์ดี สะท้อนจากการเพิ่มขึ้นของพื้นที่ก่อสร้างในเขตเทศบาลเมืองและเทศบาลนคร โดยเฉพาะการก่อสร้างโรงพยาบาลขนาดใหญ่ในจังหวัดนครราชสีมา
ภาคการคลัง รายได้ของภาครัฐบาลจากการจัดเก็บภาษีอากรทั้งสิ้น 5,360.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 17.5 เป็นผลจากการจัดเก็บภาษีเพิ่มขึ้นในทุกประเภท โดยเฉพาะการจัดเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และภาษีธุรกิจเฉพาะ สำหรับการเบิกจ่ายเงินงบประมาณ 18,763.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 20.1 ทั้งรายจ่ายประจำ และรายจ่ายลงทุน โดยเฉพาะการเบิกจ่ายเงินเดือน และค่าที่ดิน/สิ่งก่อสร้าง อย่างไรก็ตาม หากนับรวมการเบิกจ่ายของโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 การเบิกจ่ายรวมลดลงร้อยละ 13.9
3. ภาคต่างประเทศ
การค้าชายแดนไทย - ลาว ขยายตัวจากเดือนเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 42.9 เพิ่มขึ้นทั้งการส่งออกและการนำเข้า สินค้าสำคัญที่ไทยส่งออกไปลาว ได้แก่ หมวดคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ หมวดน้ำมันปิโตรเลียม หมวดสินค้าอุปโภคบริโภค และหมวดยานพาหนะและอุปกรณ์ สำหรับสินค้าสำคัญที่ไทยนำเข้าจากลาว ได้แก่ หมวดสินแร่ โดยเฉพาะสินแร่ทองแดง หมวดเครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์ หมวดเสื้อผ้าและเครื่องแต่งกาย หมวดผลิตภัณฑ์เกษตร และหมวดผลิตภัณฑ์ไม้ การค้าชายแดนไทย - กัมพูชา ลดลงจากเดือนเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 58.2 โดยสินค้าส่งออกสำคัญลดลงเกือบทุกหมวดสินค้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งน้ำมันเชื้อเพลิง วัสดุก่อสร้าง และสินค้าบริโภคในครัวเรือน อย่างไรก็ตามมูลค่าการนำเข้ากลับเพิ่มขึ้นในรอบ 3 เดือน โดยสินค้านำเข้าสำคัญที่เพิ่มขึ้น ได้แก่ ไม้และผลิตภัณฑ์ไม้ ผลิตภัณฑ์พลาสติกเคมีภัณฑ์และปุ๋ย
4. ภาวะการเงิน
ธนาคารพาณิชย์ ณ สิ้นเดือนเมษายน มีเงินฝากคงค้าง 475.1 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันของปีก่อน ร้อยละ 14.9 โดยเป็นการขยายตัวของเงินฝากทุกประเภท เนื่องจากการแข่งขันกันระดมเงินฝากของสถาบันการเงิน สำหรับสินเชื่อคงค้าง 467.9 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 13.7 ส่วนใหญ่เป็นสินเชื่อประเภทตั๋วเงินที่ให้แก่ธุรกิจสหกรณ์ออมทรัพย์ และสินเชื่อเพื่อการอุปโภคบริโภคส่วนบุคคล สำหรับอัตราส่วนสินเชื่อต่อเงินฝากในเดือนนี้อยู่ที่ 98.5 ลดลงจากเดือนก่อนที่ร้อยละ 99.3
สถาบันการเงินเฉพาะกิจ ณ สิ้นเดือนเมษายน มีเงินฝากคงค้าง 264.6 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 18.5 ตามการขยายตัวของเงินฝากของธนาคารออมสิน สำหรับสินเชื่อคงค้าง 646.4 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 33.9 ส่วนสำคัญเป็นผลจากการขยายตัวของสินเชื่อตามนโยบายของรัฐผ่านธนาคารออมสิน และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร
5. เสถียรภาพราคาและการจ้างงาน
อัตราเงินเฟ้อทั่วไป อยู่ที่ร้อยละ 4.76 เร่งตัวจากร้อยละ 4.41 ในเดือนก่อน ตามการสูงขึ้นของราคาสินค้าในหมวดอาหารและเครื่องดื่มร้อยละ 9.08 เป็นผลจากการสูงขึ้นของราคาข้าว เนื้อสัตว์ ไข่ ผลไม้สดแปรรูปและเครื่องประกอบอาหาร เป็นสำคัญ ส่วนสินค้าในหมวดอื่น ๆ ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่มสูงขึ้นร้อยละ 1.96 เป็นผลจากราคาน้ำมันเชื้อเพลิงสูงขึ้นเป็นสำคัญ สำหรับอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ที่ร้อยละ 2.20
ภาวะการจ้างงาน การจัดหางานของภาครัฐ หดตัวจากระยะเดียวกันของปีก่อน โดยมีตำแหน่งงานว่าง 3,824 อัตรา ผู้สมัครงาน 10,449 คน และมีการบรรจุงาน 5,315 คน ลดลงร้อยละ 41.4 ร้อยละ 3.7 และร้อยละ 9.9 ตามลำดับ
ส่วนเศรษฐกิจภาค
ธนาคารแห่งประเทศไทย
สำนักงานภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
ข้อมูลเพิ่มเติม: นายโรจน์ลักษณ์ ปรีชา เศรษฐกรอาวุโส
E-mail: [email protected]
โทร: 0-4333-3000 ต่อ 3411
ที่มา: ธนาคารแห่งประเทศไทย