ฉบับที่ 19/2554
ภาวะเศรษฐกิจภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ไตรมาสที่ 3 ปี 2554 ขยายตัวเมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปีก่อนและยังอยู่ในเกณฑ์ที่น่าพอใจแม้ว่าจะขยายตัวน้อยกว่าไตรมาสก่อน โดยด้านอุปทาน ภาคอุตสาหกรรมและภาคเกษตรกรรมขยายตัวน้อยกว่าไตรมาสก่อน ขณะที่ภาคการค้าขยายตัวเพิ่มขึ้น ด้านอุปสงค์ การอุปโภคบริโภคภาคเอกชน และการลงทุนภาคเอกชน ขยายตัวน้อยกว่าไตรมาสก่อน ขณะที่การเบิกจ่ายของภาครัฐเพิ่มขึ้นสำหรับอัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ร้อยละ 3.81 ลดลงจากไตรมาสก่อน
รายละเอียดของภาวะเศรษฐกิจการเงินภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีดังนี้
ดัชนีมูลค่าผลผลิตพืชผลสำคัญ สูงขึ้นจากระยะเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 13.2 ขยายตัวต่ำกว่าไตรมาสก่อนโดยดัชนีผลผลิตเพิ่มขึ้นร้อยละ 17.0 ขยายตัวน้อยกว่าไตรมาสก่อนตามการขยายตัวของผลผลิตข้าวเป็นสำคัญขณะที่ดัชนีราคาพืชผลเกษตรลดลงร้อยละ 3.2 ตามราคาหัวมันสำปะหลังเป็นสำคัญ สำหรับสถานการณ์ด้านราคาข้าวเปลือกหอมมะลิ ราคาเฉลี่ยเกวียนละ 13,819 บาท สูงขึ้นจากระยะเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 2.2 ปรับตัวดีขึ้นจากไตรมาสก่อน ส่วนสำคัญเป็นผลจากพ่อค้าเร่งซื้อข้าวเปลือกก่อนโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาลจะเริ่มดำเนินการในเดือนตุลาคม ขณะที่ ข้าวเปลือกเหนียว ราคาเฉลี่ยเกวียนละ 15,796 บาท ขยายตัวระยะเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 4.0 แต่ขยายตัวน้อยกว่าไตรมาสที่แล้วค่อนข้างมาก เนื่องจากตลาดส่งออกมีความต้องการลดลงหัวมันสำปะหลัง ราคาเฉลี่ยกิโลกรัมละ 2.08 บาท ลดลงจากระยะเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 24.8 เนื่องจากตลาดส่งออกชะลอการสั่งซื้อ ประกอบกับพ่อค้ายังมีสต็อกเพียงพอ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ราคาเฉลี่ยกิโลกรัมละ 7.62 บาท ลดลงจากระยะเดียวกันปีของก่อนร้อยละ 9.2 ราคายางแผ่นดิบชั้น 3 ยังอยู่ในเกณฑ์ดีเฉลี่ยกิโลกรัมละ 129.7 สูงขึ้นจากระยะเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 31.3
ผลผลิตภาคอุตสาหกรรม แม้ว่าขยายตัวน้อยกว่าไตรมาสก่อนแต่ยังอยู่ในเกณฑ์ดี โดยดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมขยายตัวจากระยะเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 19.3 เป็นผลจากการผลิตในอุตสาหกรรมน้ำตาลโดยเฉพาะน้ำตาลทรายขาวผลิตเพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันของปีก่อนกว่า 2 เท่า เนื่องจากมีปริมาณอ้อยเข้าสู่โรงงานมากกว่าปีก่อนประกอบกับความต้องการจากต่างประเทศเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะจากประเทศจีน และอุตสาหกรรมเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์เพิ่มขึ้นร้อยละ 14.8 เพื่อรองรับความต้องการของตัวแทนจำหน่ายที่ซื้อเพื่อสต็อกก่อนมีการปรับราคาเพิ่มขึ้น สำหรับอุตสาหกรรมผลิตเพื่อการส่งออกชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ในกลุ่ม Hard Disk Drive (HDD) หดตัวร้อยละ 19.4 เป็นผลจากการชะลอคำสั่งซื้อจากต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม การผลิตยังถือว่าอยู่ในระดับปกติ
ภาคการค้า ขยายตัวจากระยะเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 9.5 และขยายตัวจากไตรมาสก่อน ตามการขยายตัวของการค้าส่งในหมวดสินค้าไม่คงทน โดยเฉพาะการค้าในหมวดอาหาร และการค้าปลีกขยายตัวจากสินค้าคงทนโดยเฉพาะการค้าวัสดุก่อสร้าง สำหรับการค้ายานยนต์ขยายตัวน้อยกว่าไตรมาสก่อน ส่วนหนึ่งเป็นผลจากผู้ประกอบการบางส่วนยังไม่สามารถส่งมอบรถยนต์ให้ลูกค้าได้ เนื่องจากผลกระทบของสึนามิที่ญี่ปุ่น
การอุปโภคบริโภคภาคเอกชน ขยายตัวจากระยะเดียวกันของปีก่อน แต่ขยายตัวน้อยกว่าไตรมาสก่อนทั้งการบริโภคสินค้าจำเป็นและสินค้าคงทน สะท้อนจากการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มและการจดทะเบียนรถยนต์ที่ขยายตัวน้อยกว่าไตรมาสก่อน อย่างไรก็ตาม การจดทะเบียนรถจักรยานยนต์ยังขยายตัวต่อเนื่อง การลงทุนภาคเอกชน ขยายตัวจากระยะเดียวกันของปีก่อนแต่ขยายตัวน้อยกว่าไตรมาสก่อน โดยพื้นที่รับอนุญาตก่อสร้างเพิ่มขึ้นร้อยละ 31.7 ตามการเพิ่มขึ้นของการก่อสร้างทุกประเภท มูลค่าเงินทุนจดทะเบียนโรงงานอุตสาหกรรมที่ประกอบกิจการใหม่ขยายตัว 2.2 เท่า ส่วนใหญ่กระจุกตัวอยู่ในกลุ่มโรงงานผลิตพลังงานไฟฟ้า โรงงานผลิตยางเครปและยางแท่ง ขณะที่การจดทะเบียนธุรกิจตั้งใหม่ขยายตัวจากที่หดตัวในไตรมาสก่อนมาอยู่ที่ร้อยละ 36.2 เป็นผลจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในจังหวัดขอนแก่นและมหาสารคามเป็นสำคัญ และเงินลงทุนของโครงการที่ได้รับอนุมัติส่งเสริมการลงทุนหดตัวมากถึงร้อยละ 90.7 ส่วนสำคัญเป็นผลจากในช่วงเดียวกันของปีก่อนมีเงินลงทุนจำนวนสูงโดยเฉพาะจากโครงการผลิตพลังงานไฟฟ้าหลายโครงการ
ภาคการคลัง รายได้ของภาครัฐบาลจากการจัดเก็บภาษีอากรทั้งสิ้น 11,759.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 12.3 เพิ่มขึ้นน้อยกว่าไตรมาสก่อนทุกประเภทภาษี สำหรับการเบิกจ่ายเงินงบประมาณ 71,224.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 33.5 และขยายตัวต่อเนื่องจากไตรมาสก่อนทั้งรายจ่ายประจำในหมวดเงินเดือน และรายจ่ายลงทุนโดยเฉพาะรายจ่ายในหมวดค่าที่ดินและสิ่งก่อสร้าง และหมวดเงินอุดหนุนเฉพาะกิจ
การค้าชายแดนไทย - ลาว ขยายตัวสูงร้อยละ 50.1 จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน โดยเป็นการเพิ่มขึ้นทั้งการส่งออกและการนำเข้า สินค้าสำคัญที่ไทยส่งออกไปลาว ได้แก่ หมวดคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ โดยเฉพาะชิ้นส่วนในฮาร์ดดิสก์ หมวดน้ำมันเชื้อเพลิง หมวดสินค้าอุปโภคบริโภค หมวดยานพาหนะและอุปกรณ์ หมวดวัสดุก่อสร้าง สำหรับสินค้าสำคัญที่ไทยนำเข้าจากลาว ยังเป็นสินแร่ทองแดง เครื่องใช้ไฟฟ้า และเสื้อผ้าสำเร็จรูปจากประเทศจีน
การค้าชายแดนไทย - กัมพูชา (ด้านจังหวัดสุรินทร์ ศรีสะเกษ และอุบลราชธานี) ลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 32.7 ตามการลดลงของมูลค่าการส่งออก โดยเฉพาะสินค้าน้ำมันเชื้อเพลิง อย่างไรก็ตามสินค้าส่งออกสำคัญที่เพิ่มขึ้น ได้แก่ หมวดเครื่องใช้ไฟฟ้าซึ่งไตรมาสนี้มีสัดส่วนเป็นอันดับ 2 โดยเฉพาะการส่งออกเครื่องปรับอากาศมูลค่ากว่า 47 ล้านบาท ไปยังบ่อนกาสิโนที่อยู่ระหว่างตกแต่งตรงข้ามช่องสะงำ หมวดวัสดุก่อสร้างโดยเฉพาะปูนซีเมนต์ หมวดสินค้าอุปโภคบริโภคในครัวเรือน สำหรับมูลค่านำเข้าเพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนตามการนำเข้ายานพาหนะและอุปกรณ์ และปุ๋ย
ธนาคารพาณิชย์ เงินฝากคงค้างขยายตัวจากระยะเดียวกันของปีก่อน และขยายตัวสูงกว่าไตรมาสก่อนตามการแข่งขันกันระดมเงินฝากของธนาคารพาณิชย์เพื่อรองรับสินเชื่อที่ขยายตัว ประกอบกับส่วนราชการเร่งเบิกจ่ายเงินงบประมาณ ส่งผลให้เงินฝากกระแสรายวันและออมทรัพย์ขยายตัว สำหรับสินเชื่อคงค้างขยายตัวต่อเนื่องจากไตรมาสก่อน จากความต้องการสินเชื่อเพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนของภาคธุรกิจ สะท้อนจากสินเชื่อเพื่อการผลิตสินเชื่อเบิกเกินบัญชีและตั๋วเงินที่ขยายตัว สำหรับสินเชื่อภาคครัวเรือนยังคงขยายตัว ตามการขยายตัวจากสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย และสินเชื่อเช่าซื้อเป็นสำคัญ
สถาบันการเงินเฉพาะกิจ เงินฝากคงค้างขยายตัวต่อเนื่องจากการออกผลิตภัณฑ์เงินฝากพิเศษเพื่อแข่งขันกับธนาคารพาณิชย์ โดยเฉพาะธนาคารออมสินและธนาคารอาคารสงเคราะห์ สำหรับสินเชื่อคงค้างชะลอลงจากไตรมาสก่อน จากการหดตัวของสินเชื่อของธนาคารอาคารสงเคราะห์ อย่างไรก็ตาม สินเชื่อของธนาคารออมสินและธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรยังคงขยายตัวอยู่ในระดับสูง โดยเฉพาะสินเชื่อตามนโยบายของรัฐบาลเป็นสำคัญ
อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในไตรมาสที่ 3 ของปี 2554 อยู่ที่ร้อยละ 3.81 สูงขึ้นน้อยกว่าไตรมาสก่อนที่ร้อยละ 4.48 ตามราคาสินค้าในหมวดอาหารและเครื่องดื่มที่สูงขึ้นน้อยลง โดยเฉพาะข้าว ปลาและสัตว์น้ำ ไข่ ผักและผลไม้ สำหรับอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ที่ร้อยละ 2.33 สูงขึ้นจากไตรมาสก่อนที่ร้อยละ 1.91
ภาวะการจ้างงาน การจัดหางานของรัฐในภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีผู้สมัครงานจำนวน 33,531 คน เพิ่มขึ้นร้อยละ 34.3 ขณะที่มีตำแหน่งงานว่างจำนวน 12,705 อัตรา ลดลงร้อยละ 17.3 และผู้ได้รับการบรรจุงานจำนวน 16,680 คน ลดลงร้อยละ 6.6 เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปีก่อน
แรงงานไทยจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่ขออนุญาตเดินทางไปทำงานต่างประเทศ มีจำนวน 18,164 คน ลดลงร้อยละ 27.6 เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปีก่อน ตามการลดลงของแรงงานที่เดินทางไปทำงานในประเทศสิงคโปร์ เกาหลี ฮ่องกง บรูไน กาตาร์ ลิเบียและประเทศอื่น ๆ เกือบทุกประเทศ ยกเว้นประเทศไต้หวัน ฟินแลนด์และญี่ปุ่น จังหวัดที่มีแรงงานไทยขออนุญาตเดินทางไปทำงานต่างประเทศมากที่สุดคือ อุดรธานี นครราชสีมาชัยภูมิและขอนแก่น ตามลำดับ
ส่วนเศรษฐกิจภาค ธนาคารแห่งประเทศไทย
สำนักงานภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
ข้อมูลเพิ่มเติม: นายโรจน์ลักษณ์ ปรีชา เศรษฐกรอาวุโส
E-mail: [email protected]
โทร: 0-4333-3000 ต่อ 3411
ที่มา: ธนาคารแห่งประเทศไทย