ฉบับที่ 21/2554
เศรษฐกิจภาคตะวันออกเฉียงเหนือเดือนตุลาคม 2554 ขยายตัวจากระยะเดียวกันของปีก่อน และขยายตัวมากกว่าเดือนก่อน โดยด้านอุปสงค์ขยายตัวตามการอุปโภคบริโภคภาคเอกชน การลงทุนภาคเอกชน และการเบิกจ่ายของภาครัฐ ในขณะที่ด้านอุปทาน ขยายตัวตามรายได้เกษตรกร ในขณะที่การผลิตภาคอุตสาหกรรม และภาคการค้าขยายตัวน้อยกว่าเดือนก่อน แต่ยังอยู่ในเกณฑ์ดี สำหรับอัตราเงินเฟ้ออยู่ร้อยละ 3.52 สูงขึ้นจากเดือนก่อนเนื่องจากผลกระทบของอุทกภัยทำให้ราคาสินค้าสูงขึ้น โดยเฉพาะหมวดอาหารและเครื่องดื่ม
ดัชนีมูลค่าผลผลิตพืชผลสำคัญ สูงขึ้นจากระยะเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 10.0 ขยายตัวมากกว่าเดือนก่อนตามผลผลิตที่เพิ่มขึ้น โดยดัชนีผลผลิตเพิ่มขึ้นร้อยละ 17.6 ขยายตัวมากกว่าเดือนก่อนตามผลผลิตข้าว และยางพาราขณะที่ดัชนีราคาพืชผลเกษตรลดลงร้อยละ 6.4 ตามราคาหัวมันสำปะหลังและข้าวเปลือกเหนียวเป็นสำคัญ สำหรับสถานการณ์ด้านราคา ข้าวเปลือกหอมมะลิ ราคาเฉลี่ยเกวียนละ 14,923 บาท สูงขึ้นจากระยะเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 6.7 ส่วนสำคัญเป็นผลจากพ่อค้าเร่งซื้อข้าวเปลือกและประเมินว่าจะมีผลผลิตข้าวลดลงจากผลกระทบจากอุทกภัยและผลของโครงการรับจำนำข้าวเปลือก ขณะที่ ข้าวเปลือกเหนียว ราคาเฉลี่ยเกวียนละ 14,788 บาท ลดลงจากระยะเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 7.6 เนื่องจากการชะลอตัวของการส่งออก หัวมันสำปะหลัง ราคาเฉลี่ยกิโลกรัมละ 1.64 บาท ลดลงจากระยะเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 32.2 ตามการชะลอตัวของการส่งออก ประกอบกับคุณภาพหัวมันที่ลดลงมีเปอร์เซ็นต์แป้งน้อยเนื่องจากมีฝนตกมาก ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ราคาเฉลี่ยกิโลกรัมละ 7.13 บาท ลดลงจากระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 13.1 ราคายางแผ่นดิบชั้น 3 ยังอยู่ในเกณฑ์ดีเฉลี่ยกิโลกรัมละ 119.8 บาทเพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 19.1
ผลผลิตภาคอุตสาหกรรม ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมขยายตัวจากระยะเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 28.5 แต่มีอัตราชะลอลงจากเดือนก่อน ตามการผลิตในอุตสาหกรรมเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ เนื่องจากมีการเร่งผลิตในช่วงก่อนหน้า ในขณะที่อุตสาหกรรมน้ำตาลหดตัวลงร้อยละ 10 เนื่องจากสต็อกน้ำตาลทรายยังเพียงพอต่อการบริโภค ภายในประเทศและส่งออก ส่วนอุตสาหกรรมชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ในกลุ่ม Hard Disk Drive (HDD) หดตัวร้อยละ 26 ตามคำสั่งซื้อของต่างประเทศที่ชะลอลง ประกอบกับขาดแคลนวัตถุดิบเนื่องจากผลของอุทกภัยในภาคกลาง
ภาคการค้า ดัชนีการค้าเพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 7.4 แต่เพิ่มขึ้นน้อยกว่าเดือนก่อน ตามการค้าส่งที่หดตัวลง โดยเฉพาะในหมวดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ เป็นผลจากผู้ประกอบการเร่งซื้อมากในเดือนก่อนเนื่องจากคาดว่าจะมีการปรับราคาขึ้น ในขณะที่การค้าส่งวัตถุดิบทางการเกษตรหดตัว สำหรับการค้าปลีกชะลอลงตามยอดขายวัสดุก่อสร้าง ขณะที่ยอดขายในห้างสรรพสินค้าทรงตัว และการค้าในหมวดยานยนต์ชะลอลงเช่นเดียวกับการจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงและการจำหน่ายและซ่อมรถจักรยานยนต์ 2. ด้านอุปสงค์
การอุปโภคบริโภคภาคเอกชน ดัชนีการอุปโภคบริโภคภาคเอกชนขยายตัวร้อยละ 5.1 เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปีก่อนและขยายตัวมากกว่าเดือนก่อน ตามกำลังซื้อของประชาชนที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากผลของอุทกภัยในภาคกลางทำให้ประชาชนเกรงว่าสินค้าจะขาดแคลนทำให้มีการซื้อสินค้าเพื่อสต็อกไว้บริโภคมากขึ้นบางส่วนมีการซื้อสินค้าเพื่อนำไปบริจาค ประกอบกับประชาชนที่บ้านเรือนน้ำท่วมในภาคกลางเดินทางเข้ามาพัก อาศัยในภาคทำให้มีการจับจ่ายใช้สอยเพิ่มขึ้น สะท้อนจากภาษีมูลค่าเพิ่มที่จัดเก็บได้เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 30.7 โดยเฉพาะภาษีจากการขายปลีกสินค้าบริโภค ห้างสรรพสินค้า และวัสดุก่อสร้างเป็นสำคัญ อย่างไรก็ตาม การจดทะเบียนรถยนต์และรถจักรยานยนต์ ขยายตัวน้อยกว่าเดือนก่อนมาอยู่ที่ร้อยละ 24.1 และร้อยละ 6.3 ตามลำดับเนื่องจากได้รับผลกระทบจากอุทกภัยทำให้เป็นอุปสรรคต่อการส่งมอบ
การลงทุนภาคเอกชน ดัชนีการลงทุนภาคเอกชนขยายตัวร้อยละ 6.3 เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปีก่อน และขยายตัวมากกว่าเดือนก่อน โดยภาคการก่อสร้างขยายตัวเพิ่มขึ้นตามแผนการลงทุน ถึงแม้ว่าในบางพื้นที่จะ ประสบอุทกภัย สะท้อนจากพื้นที่รับอนุญาตก่อสร้างเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 33.6 ตามการก่อสร้างเพื่อที่อยู่อาศัยเป็นสำคัญ สำหรับแนวโน้มการลงทุนทรงตัว สะท้อนจากเงินทุนของโรงงานอุตสาหกรรมที่ประกอบกิจการใหม่ เพิ่มขึ้นร้อยละ 17.9 ขณะที่เงินลงทุนของโครงการที่ได้รับอนุมัติส่งเสริมการลงทุน และทุนจดทะเบียนธุรกิจตั้งใหม่หดตัวร้อยละ 88.9 และร้อยละ 22.1
ภาคการคลัง รายได้ของภาครัฐบาลจากการจัดเก็บภาษีอากรทั้งสิ้น 3,952.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 28.1 แต่ขยายตัวน้อยกว่าเดือนก่อนตามการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตประเภทเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ในขณะที่ภาษีมูลค่าเพิ่มขยายตัวเพิ่มขึ้นเนื่องจากกำลังซื้อของประชาชนเพิ่มขึ้น สำหรับการเบิกจ่ายเงินงบประมาณ 21,490.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 51.1 และเร่งตัวขึ้นมากกว่าเดือนก่อนโดยเป็นการเพิ่มขึ้นทั้งรายจ่ายประจำโดยเฉพาะในหมวดเงินเดือน และรายจ่ายลงทุนในหมวดเงินอุดหนุนทั่วไป
การค้าชายแดนไทย - ลาว ขยายตัวจากระยะเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 35.8 เพิ่มขึ้นทั้งการส่งออกและการนำเข้า โดยมูลค่าการส่งออกขยายตัวตามสินค้าหมวดคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ หมวดน้ำมันปิโตรเลียม หมวดสินค้าอุปโภคบริโภค และหมวดวัสดุก่อสร้าง ในขณะที่มูลค่าการนำเข้าขยายตัวตามสินแร่ทองแดง หมวดเครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์ หมวดเสื้อผ้าและเครื่องแต่งกาย และหมวดผลิตภัณฑ์ไม้
การค้าชายแดนไทย - กัมพูชา (ด้านจังหวัดสุรินทร์ ศรีสะเกษ และอุบลราชธานี) ลดลงจากระยะเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 33.9 ตามการส่งออกและนำเข้า โดยมูลค่าการส่งออกลดลงตามน้ำมันเชื้อเพลิงที่ยังคงลดลงต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม การส่งออกปูนซีเมนต์ยังคงเพิ่มขึ้น สำหรับมูลค่านำเข้าลดลงตามสินค้าเกือบทุกหมวด
ธนาคารพาณิชย์ ณ สิ้นเดือนกันยายน มีเงินฝากคงค้าง 461.7 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันของ ปีก่อนร้อยละ 11.1 แต่ขยายตัวน้อยกว่าเดือนก่อน ตามการชะลอตัวของเงินฝากทุกประเภท สำหรับสินเชื่อคงค้าง 507.9 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 17.1 ขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 7 ทั้งสินเชื่อจากภาค ธุรกิจและภาคครัวเรือน สะท้อนจากสินเชื่อเพื่อการค้าส่ง ค้าปลีกวัสดุก่อสร้าง สินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ และสินเชื่อ สำหรับธุรกิจจัดสรรที่ดินขยายตัว อัตราส่วนสินเชื่อต่อเงินฝากเดือนนี้สูงขึ้นจากเดือนก่อนอยู่ที่ 110.0
สถาบันการเงินเฉพาะกิจ ณ สิ้นเดือนกันยายน มีเงินฝากคงค้าง 251.1 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 17.9 ขยายตัวน้อยกว่าเดือนก่อน จากเงินฝากออมทรัพย์และเงินฝากประจำ สำหรับสินเชื่อคงค้าง 683.2 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 28.5 จากสินเชื่อตามนโยบายของทุกสถาบันการเงินเฉพาะกิจ โดยเฉพาะธนาคารอาคารสงเคราะห์ที่กลับมาขยายตัวร้อยละ 0.7 หลังจากที่หดตัวมาต่อเนื่องมา 7 เดือน
อัตราเงินเฟ้อทั่วไป อยู่ที่ร้อยละ 3.52 สูงขึ้นจากเดือนก่อนที่ร้อยละ 3.21 เป็นผลจากผลกระทบของอุทกภัย ส่งผลให้ราคาสินค้าในหมวดอาหารและเครื่องดื่มสูงขึ้นร้อยละ 7.48 โดยราคาไข่สูงขึ้นร้อยละ 21.98 ผลิตภัณฑ์น้ำตาลสูงขึ้นร้อยละ 20.86 เนื้อสัตว์สูงขึ้นร้อยละ 15.40 ผักและผลไม้สูงขึ้นร้อยละ 10.50 ขณะที่สินค้าในหมวดอื่น ๆ ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่มสูงขึ้นร้อยละ 0.85 ตามค่าไฟฟ้าที่สูงขึ้นร้อยละ 16.89 เนื่องจากมีการยกเลิกมาตรการช่วยเหลือค่าครองชีพของรัฐบาล อย่างไรก็ตาม ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงปรับตัวลดลงร้อยละ 0.19 ตาม การลดลงของราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิง สำหรับอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ที่ร้อยละ 2.39
ภาวะการจ้างงาน การจัดหางานของภาครัฐในเดือนนี้มีผู้สมัครงาน 6,745 คน และตำแหน่งงานว่าง 4,642 คน เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.0 และร้อยละ 6.9 ตามลำดับ ขณะที่มีผู้ได้รับการบรรจุงาน 3,337 คน ลดลงร้อยละ 2.1 ส่วนใหญ่อยู่ในอุตสาหกรรมการผลิต การขายส่ง การขายปลีก และการซ่อมแซมยานยนต์
ภาวะการทำงาน ณ เดือนกันยายน 2554 มีกำลังแรงงานรวมทั้งสิ้น 13.1 ล้านคน เป็นผู้มีงานทำ 13.0 ล้านคน แบ่งเป็นทำงานในภาคเกษตรกรรม 7.2 ล้านคน และทำงานนอกภาคเกษตร 5.8 ล้านคน ส่วนใหญ่อยู่ในภาคการขนส่ง การขายปลีก อุตสาหกรรมการผลิต และการก่อสร้าง และมีผู้ว่างงาน 0.09 ล้านคน คิดเป็นอัตราการว่างงานร้อยละ 0.7
แรงงานไทยจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่ขออนุญาตเดินทางไปทำงานต่างประเทศ มีจำนวน 3,804 คนลดลงร้อยละ 39.6 เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปีก่อน ตามการลดลงของแรงงานที่ขออนุญาตเดินทางไปทำงานในเกือบทุกประเทศยกเว้นประเทศแอฟริกาและลาว ส่วนใหญ่เป็นแรงงานจากจังหวัดอุดรธานี นครราชสีมา และขอนแก่น
ส่วนเศรษฐกิจภาค ธนาคารแห่งประเทศไทย
สำนักงานภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
ข้อมูลเพิ่มเติม: นายโรจน์ลักษณ์ ปรีชา เศรษฐกรอาวุโส
E-mail: [email protected]
โทร: 0-4333-3000 ต่อ 3411
ที่มา: ธนาคารแห่งประเทศไทย