FOCUSED AND QUICK (FAQ) Issue 70
การลงทุนโดยตรงในต่างประเทศของไทย: อุปสรรคที่รอการแก้ไข
นันทพร พงศ์พัฒนานนท์ และชิดชนก อันโนนจารย์
ธปท.ไดัขยายวงเงินสำหรับการลงทุนโดยตรงในต่างประเทศมาเป็นลำดับ และล่าสุดในเดือนตุลาคม2553 ได้อนุญาตให้บริษัทไทยออกไปลงทุนโดยตรงในต่างประเทศได้เสรี ส่งผลให้ในปี 2554 เป็นปีแรกที่ไทยกลายเป็นผู้ลงทุนโดยตรงในต่างประเทศสุทธิ ทั้งนี้ แรงจูงใจในการลงทุนโดยตรงในต่างประเทศของไทยที่สำคัญประกอบด้วยการลงทุนเพื่อแสวงหา (1) ตลาดใหม่ (2) ทรัพยากรธรรมชาติ และ (3) การเพิ่มประสิทธิภาพ อย่างไรก็ดี แม้การลงทุนโดยตรงในต่างประเทศของไทยจะเพิ่มขึ้นแต่ยังเป็นการลงทุนของผู้ประกอบการรายใหญ่ไม่กี่ราย และคงปฏิเสธไม่ได้ว่ายังมีปัจจัยอีกหลายอย่างที่ยังจำกัดการลงทุนของคนไทยโดยเฉพาะธุรกิจขนาดกลางและย่อม ทั้งด้านกฎเกณฑ์ที่ยังไม่เอื้อ อาทิ ภาษี และข้อจำกัดด้านแหล่งเงินทุน รวมถึงการขาดศูนย์ข้อมูลที่ครบวงจรเกี่ยวกับประเทศที่จะไปลงทุน ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการลงทุนและยังรอการแก้ไขอย่างเร่งด่วนจากทั้งหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนของไทย
ในช่วงเกือบ 2 ปีที่ผ่านมา แม้ว่าจะเห็นภาพโครงสร้างเงินทุนเคลื่อนย้ายของไทยมีความสมดุลมากขึ้น โดยในปี 2554 เป็นปีแรกที่ไทยกลายเป็นผู้ลงทุนโดยตรงในต่างประเทศสุทธิกล่าวคือไทยมีการลงทุนโดยตรงในต่างประเทศมากกว่าที่ต่างชาติเข้ามาลงทุนโดยตรงในไทย แต่คงปฏิเสธไม่ได้ว่าอุปสรรคต่อการลงทุนของนักลงทุนไทยยังคงมีอยู่ในหลายประการ อาทิ กฎเกณฑ์ด้านภาษีและข้อจำกัดด้านแหล่งเงินทุน ซึ่งทำให้นักลงทุนไทยไม่สามารถกระจายการลงทุนไปยังต่างประเทศได้เต็มที่เมื่อเทียบกับหลายประเทศในภูมิภาค ดังนั้น บทความฉบับนี้จึงต้องการนำเสนอข้อเท็จจริงของการลงทุนโดยตรงในต่างประเทศของไทย และอุปสรรคของการลงทุน เพื่อนามาสู่ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายในการส่งเสริมการลงทุนโดยตรงในต่างประเทศของไทยอย่างบูรณาการมากขึ้นในอนาคต
การลงทุนโดยตรงในต่างประเทศของไทย (Direct Investment Abroad) ปรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องหลังจากที่ ธปท. ได้ขยายวงเงินให้บริษัทไทยสามารถลงทุนโดยตรงในต่างประเทศได้มากขึ้นเป็นลำดับ โดยเฉพาะตั้งแต่ปี 2550*(1) และล่าสุดในเดือนตุลาคม 2553 ได้ อนุญาตให้บริษัทไทยสามารถลงทุนโดยตรงในต่างประเทศได้เสรี ส่งผลให้เงินลงทุนโดยตรงในต่างประเทศของไทยสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในปี 2554
สำหรับรูปแบบส่วนใหญ่ของการลงทุนโดยตรงของบริษัทไทยในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา คือการควบรวมกิจการ (Merger and Acquisitions)*(2) โดยประเทศที่บริษัทไทยไปลงทุนโดยตรงมากที่สุด 3 อันดับแรก คือ พม่า หมู่เกาะเคย์แมน และสิงคโปร์ ซึ่งมีสัดส่วนรวมกันร้อยละ 53.7 ของยอดคงค้างเงินลงทุนโดยตรงในต่างประเทศของไทยทั้งหมดในปี 2553 ทั้งนี้ การลงทุนโดยตรงของไทยในพม่าจะอยู่ในกลุ่มธุรกิจผลิตอาหารสัตว์และทำฟาร์มเลี้ยงสัตว์เป็นส่วนใหญ่ ขณะที่การลงทุนโดยตรงในหมู่เกาะเคย์แมนและสิงคโปร์นั้นมักเป็นเพียงฐานการลงทุนเพื่อไปลงทุนต่อในประเทศที่ 3 อาทิ ออสเตรเลีย ของกลุ่มธุรกิจพลังงาน เพื่อความคล่องตัวในการบริหารทางการเงิน รวมทั้งเพื่อลดภาระการจัดการเรื่องภาษี โดยมักจะออกไปลงทุนในรูปของ Holding company ในประเทศดังกล่าวซึ่งถือเป็นประเทศที่ปลอดภาษี (Tax Haven)
อนึ่ง แม้การลงทุนโดยตรงในต่างประเทศของไทยจะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเป็นลำดับแต่ยังเป็นการลงทุนของกลุ่มบริษัทขนาดใหญ่ไม่กี่ราย และเมื่อเทียบกับหลายประเทศในภูมิภาคพบว่ายังอยู่ในระดับต่ำ ตัวอย่างเช่น ณ สิ้นปี 2553 ไทยมียอดคงค้างการลงทุนโดยตรงในต่างประเทศอยู่ที่ร้อยละ 7.6 ของ GDP ขณะที่ของประเทศมาเลเซียอยู่ที่ร้อยละ 40.7 ของ GDP ซึ่งเป็นการสะท้อนว่าภาคเอกชนของไทยยังมีโอกาสในการเพิ่มการลงทุนโดยตรงในต่างประเทศได้อีกมาก เพื่อกระจายความเสี่ยงและเพิ่มผลตอบแทนจากการลงทุนได้มากขึ้นในระยะยาว
การลงทุนโดยตรงในต่างประเทศของนักลงทุนไทยอาจไม่ได้มาจากแรงจูงใจอย่างใดอย่างหนึ่ง โดยจะขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์หลักของนักลงทุนและปัจจัยแวดล้อมของประเทศที่จะไปลงทุนอย่างไรก็ดี สามารถแบ่งแรงจูงใจหลักได้ 3 ประการได้แก่ (1) เพื่อแสวงหาตลาดใหม่หรือรักษาส่วนแบ่งตลาดเดิมในประเทศที่มีตลาดขนาดใหญ่หรือมีแนวโน้มที่จะเติบโตสูง (Market Seeking) (2) เพื่อแสวงหาทรัพยากรธรรมชาติและเข้าถึงวัตถุดิบที่ถูกกว่าในประเทศ (Resource Seeking) และ (3) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ (Efficiency Seeking)
อนึ่ง ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเศรษฐกิจไทยเติบโตในอัตราที่น้อยกว่าเศรษฐกิจของประเทศอื่นในภูมิภาค (รูปที่ 4) อีกทั้งจำนวนประชากรวัยทำงานผู้ซึ่งมีกำลังซื้อสินค้าสูงกว่าประชากรวัยอื่นก็ยังต่ำกว่าหลายประเทศในภูมิภาคเช่นกัน ดังนั้น นักลงทุนไทยหลายรายจึงมีแรงจูงใจที่จะไปลงทุนโดยตรงในต่างประเทศ เพื่อแสวงหาตลาดใหม่ที่มีขนาดใหญ่และกำลังซื้อสูง (Market Seeking) โดยเฉพาะในจีน อินเดีย และอินโดนีเซียเป็นสำคัญ
นอกจากนี้นักลงทุนไทยยังแสวงหาทรัพยากรธรรมชาติเพื่อนำมาเป็นวัตถุดิบในการผลิต Resource Seeking) กล่าวคือ นักลงทุนไทยจะเน้นการออกไปลงทุนโดยตรงในประเทศที่มีความสมบูรณ์ในทรัพยากรธรรมชาติเพื่อเข้าถึงวัตถุดิบที่มีราคาถูก ซึ่งจะช่วยยกระดับความสามารถในการแข่งขันของบริษัทได้ ทั้งนี้ หากเปรียบเทียบกับประเทศในภูมิภาคอาเซียน พบว่าหลายประเทศยังคงมีทรัพยากรการผลิตที่อุดมสมบูรณ์มากกว่าไทยอาทิ พม่าและเวียดนามจะมีแหล่งผลิตไฟฟ้าและก๊าซธรรมชาติที่สำคัญ อินโดนีเซียมีแหล่งน้ำมันดิบขณะที่ลาวและกัมพูชามีแหล่งกสิกรรม เป็นต้น ส่วนประเทศที่พัฒนาแล้วบางประเทศ ก็มีทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์มากกว่าไทยเช่นกัน อาทิ ออสเตรเลีย ส่วนหนึ่งเห็นได้จากออสเตรเลียมีสัดส่วนการส่งออกแร่และโลหะที่สูงเมื่อเทียบกับอีกหลายประเทศ
ขณะที่ค่าจ้างแรงงานเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ผลักดันให้ภาคธุรกิจไทยออกไปลงทุน ยังต่างประเทศมากขึ้น เนื่องจากค่าจ้างแรงงานของไทยค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับหลายประเทศในเอเชียเช่น กัมพูชา เวียดนาม อินโดนีเซีย และจีน (ตารางที่ 1) และมีแนวโน้มสูงขึ้นต่อเนื่องอีกจากนโยบายการปรับค่าจ้างขั้นต่ำเป็น 300 บาท กอปรกับภาวะตลาดแรงงานไทยมีความตึงตัวมาก ส่งผลให้เริ่มมีอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานเป็นหลักของไทย เช่น สิ่งทอ เริ่มมีการย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศเพื่อนบ้านซึ่งมีค่าแรงต่ำกว่าและมีการให้สิทธิพิเศษต่างๆ ในการลงทุน
สำหรับการลงทุนโดยตรงในต่างประเทศเพื่อแสวงหาประสิทธิภาพ (Efficiency Seeking) ของนักลงทุนไทยนั้น ส่วนใหญ่เป็นการลงทุนในประเทศที่มีความสามารถหรือความถนัดในการผลิต อาทิ กลุ่มธุรกิจผลิตอัญมณี ที่นอกจากจะแสวงหาตลาดและวัตถุดิบแล้วยัง แสวงหาประสิทธิภาพโดยขยายฐานการผลิตไปยังประเทศที่มีความสามารถในการผลิตเช่น เยอรมนี เวียดนามและอินโดนีเซีย ส่วนกลุ่มธุรกิจอาหารกระป๋องและอาหารทะเลแช่แข็ง ได้มีการออกไปลงทุนในสหรัฐฯ เพื่อแสวงหาเทคโนโลยีการผลิตที่ดีกว่าในประเทศ
ปัจจุบันมาตรการเงินทุนเคลื่อนย้ายด้านขาออกสาหรับการลงทุนโดยตรงในต่างประเทศไม่เป็นอุปสรรคสำคัญอีกต่อไป*(3) เนื่องจาก ธปท. ได้ผ่อนคลายให้บริษัทไทยออกไปลงทุนโดยตรงในต่างประเทศได้เสรีแล้ว อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยอื่นที่เป็นอุปสรรคสำคัญซึ่งมีส่วนทำให้ระดับการลงทุนโดยตรงในต่างประเทศของไทยอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับหลายประเทศ ดังนี้
3.1 ปัญหาด้านภาษี ถือเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการลงทุนโดยตรงในต่างประเทศของนักลงทุนไทย อาทิ 1 อัตราภาษีเงินได้จากต่างประเทศของไทย Foreign-Sourced Income) ยังค่อนข้างสูง ขณะที่หลายประเทศ เช่น สิงคโปร์ มาเลเซียและฮ่องกง รายได้จากต่างประเทศจะได้รับการยกเว้นภาษี*(4) (ตารางที่ 2) 2 กระบวนการในทางปฏิบัติสำหรับการขอคืนภาษีของไทยมีความซับซ้อนและยุ่งยาก ทำให้ประโยชน์ที่ภาคเอกชนไทยควรได้รับจากการมีอนุสัญญาภาษีซ้อน(Double Tax Agreement: DTA) กับ 55 ประเทศของทางการไทยลดลง นอกจากนี้ ในทางปฏิบัติบางครั้งเจ้าหน้าที่ของรัฐยังขาดความเข้าใจในอนุสัญญาดังกล่าว ทำให้ยังคงมีการเรียกเก็บภาษีจากภาคเอกชนเช่นกัน
*(1) บริษัทไทยถือหุ้นในบริษัทในเครือไม่ต่ำกว่าร้อยละ 10 เป็นเวลาไม่น้อยกว่า 6 เดือน และ (2) เงินปันผลที่ได้รับจะต้องมาจากกำไรสุทธิที่มีการเสียภาษีในต่างประเทศไม่ต่ำกว่าร้อยละ 15 ของกาไรสุทธิ
** มาเลเซีย กรณีสาขาของธนาคาร/ขนส่ง/ประกัน เสียภาษีหลังเปิดสาขาครบ 5 ปี
***สิงคโปร์ยกเว้นแบบมีเงื่อนไข คือ 1. มีสถานประกอบการถาวร (Permanent establishment) และ 2. เสียภาษี CIT 15% ของ เงินได้จากต่างประเทศที่ Host country
ที่มา: กรมสรรพากร, สำนักงานเศรษ กิจการคลัง, กระทรวงการคลังของสิงคโปร์ เกาหลีใต้ และไต้หวัน, Managing Risk in Cross Border Transactions by CITI (2011), www.guidemesingapore.com, www.taxrates.cc และ Inland Revenue Authority of Singapore
3 การขาดมาตรการสนับสนุนด้านภาษีอื่น อาทิการนำค่าใช้จ่ายในการสารวจตลาดต่างประเทศ มาเป็นค่าลดหย่อนทางภาษี ขณะที่มาเลเซียและสิงคโปร์สามารถนำค่าใช้จ่ายของโครงการพัฒนาการลงทุนในต่างประเทศมาหักภาษีได้ถึง 2 เท่า
นอกจากนี้ การจัดเก็บภาษีเงินได้จากต่างประเทศของไทยนั้นยังส่งผลต่อการเลือกประเทศที่จะไปลงทุนด้วย เช่น การที่ไทยยังจัดเก็บภาษีเงินได้จากต่างประเทศในรูปของ Capital Gain อยู่ (เงินปันผลได้รับการยกเว้นแบบมีเงื่อนไข) ส่งผล ให้บริษัทไทยมักไปลงทุนผ่านประเทศที่เป็น Tax Haven อาทิ สิงคโปร์ หมู่เกาะเคย์แมน และฮ่องกง โดยการจัดตั้งบริษัทในรูป Holding Companies ก่อนที่จะไปลงทุนในธุรกิจของอีกประเทศหนึ่งซึ่งเป็นประเทศที่สาม เพื่อที่ว่าหากมีรายได้จากการขายหุ้นจากประเทศที่สามที่เป็น Capital Gain จะไม่เสียภาษีในประเทศที่เป็น Tax Haven และเมื่อนาเงินทุนกลับไทยในรูปของเงินปันผลก็จะได้รับการยกเว้นภาษี สรุปได้ว่าทางการไทยเองก็ไม่สามารถจัดเก็บภาษีได้ ขณะเดียวกันภาคเอกชนไทยก็มีต้นทุนในการบริหาร
3.2 ข้อจำกัดในการเข้าถึงแหล่งเงินทุน(Source of Funding) ปัจจุบันธุรกิจไทยโดยเฉพาะธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs)ยังคงมีปัญหาการเข้าถึงและการใช้บริการทางการเงินของสถาบันการเงินในระบบ เนื่องจากต้นทุนการกู้ยืมสูง และมีข้อจำกัดในการขอรับสินเชื่อหรือ การได้รับสินเชื่อไม่เพียงพออันเป็นผลจากการที่สถาบันการเงินมักถือว่า SMEs เป็นธุรกิจที่มีความเสี่ยงสูง กอปรกับ SMEs ยังไม่สามารถระดมทุนระยะยาวผ่านตลาดทุนไทยได้มากนัก
นอกจากนี้ การระดมทุนในลักษณะการออกหุ้นกู้ที่เป็นสกุลเงินตราต่างประเทศ (FX Bond) ยังมีข้อจำกัด แม้ว่าปัจจุบันบริษัทไทยจะสามารถระดมทุนที่เป็นเงินตราต่างประเทศในไทยได้ แต่ยังขาดความคล่องตัวเพราะยังมีเกณฑ์ของทางการที่เกี่ยวข้องทั้งของ ธปท. ที่ยังจำกัดผู้ซื้อตราสารที่ออกขายเหล่านั้น และยังต้องขออนุญาตเป็นรายกรณีรวมถึงเกณฑ์การออกตราสารหนี้ของ ก.ล.ต. ที่มีความซับซ้อน ส่งผลให้บริษัทไทยบางรายเลือกระดมทุนผ่านวิธีอื่นๆ อาทิ (1) กู้เงินตราต่างประเทศจากธพ. ในไทยหรือกู้จากต่างประเทศโดยตรง หรือ (2) การออก FX Bond ขายในต่างประเทศ ซึ่งมีต้นทุนในการระดมทุนที่สูงกว่าโดยเปรียบเทียบสำหรับการสนับสนุนแหล่งเงินทุนของภาครัฐและองค์กรที่เกี่ยวข้องของไทยให้กับบริษัทที่ต้องการออกไปลงทุนโดยตรงในต่างประเทศนั้น พบว่าภาครัฐของไทยมีการสนับสนุนแหล่งเงินทุนแก่ภาคธุรกิจไม่มากนัก ขณะที่ภาครัฐของประเทศอื่นๆ มีการสนับสนุนในหลายรูปแบบทั้งผ่านสถาบันการเงินของภาครัฐ การจัดตั้งกองทุนสนับสนุนเป็นพิเศษ ซึ่งสามารถกล่าวสรุปเป็นรายประเทศได้ดังนี้
3.2.1 เกาหลีใต้ จัดตั้งกองทุน Economic Development Cooperation Fund (EDCF) โดย EXIM Bank เพื่อให้สินเชื่อแก่ธุรกิจของเกาหลีใต้ในการนำไปพัฒนาสาธารณูปโภคและพัฒนาธุรกิจในประเทศกาลังพัฒนาที่ตนจะไปลงทุนในอัตราดอกเบี้ยต่ำ (ร้อยละ 0.01-2.5 ต่อปี) นอกจากนี้ กองทุนบำเหน็จบำนาญแห่งชาติเกาหลีใต้ (NPS) ยังมีบทบาทในการสนับสนุนการลงทุนโดยตรงในต่างประเทศโดยการจัดทำโครงการความร่วมมือกับบริษัทขนาดใหญ่ 12 บริษัทที่เรียกว่าโครงการ “Won8tn” ในวงเงิน 8 ล้านล้านวอน (ประมาณ 7 พันล้านดอลลาร์ สรอ.) เพื่อออกไปซื้อกิจการในต่างประเทศ โดย NPS และบริษัทเอกชนออกเงินคนละครึ่ง และมีระยะเวลาในการสนับสนุนเงินทุน 4 ปี
3.2.2 มาเลเซีย-สิงคโปร์ ร่วมกันจัดตั้งกองทุน The Malaysia-Singapore Third Country Business Development Fund (MSBF) เพื่อสนับสนุนเงินทุนจำนวนครึ่งหนึ่งของต้นทุนในการทำ Feasibility Study ของธุรกิจมาเลเซียและสิงคโปร์ในประเทศที่สาม และการทำโครงการร่วมลงทุนโดยตรงในต่างประเทศของธุรกิจมาเลเซียและสิงคโปร์ ซึ่งธุรกิจที่สามารถขอรับการสนับสนุนจากกองทุนนี้ คือ ธุรกิจในภาคอุตสาหกรรม การพัฒนาสาธารณูปโภคการท่องเที่ยวการก่อสร้างภาคเทคโนโลยีสารสนเทศ การค้า และภาคบริการ
3.2.3 จีนจัดตั้งกองทุน Small and Medium-Sized Enterprise International Market Development Fund (SMEIMDF) โดย Ministry of Foreign Trade and Economic Cooperation และ Ministry of Finance เพื่อสนับสนุนเงินทุนร้อยละ 50 (และร้อยละ 70 แก่ SMEs ที่ผ่านการรับรองมาตรฐาน) แก่โครงการที่มีค่าใช้จ่ายไม่ต่ากว่า 10,000 หยวนในการจัดแสดงสินค้าในต่างประเทศ การสำรวจตลาดต่างประเทศการเข้าร่วมประชุมในต่างประเทศ และการฝึกอบรมในต่างประเทศ
3.3 อุปสรรคอื่นอาทิการขาดความคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมในประเทศเป้าหมาย ความแปลกใหม่และความซับซ้อนของสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศที่จะไปลงทุน อาทิ ภาษา วัฒนธรรม กฎหมายรวมทั้งการขาดผู้ให้บริการด้านข้อมูลเชิงลึกและครบวงจรเกี่ยวกับประเทศเป้าหมายนับเป็นปัญหาหนึ่งที่ทำให้นักลงทุนไทยมักจำกัดการลงทุนอยู่แต่ในประเทศเท่านั้น
การสนับสนุนการลงทุนโดยตรงในต่างประเทศของไทยอย่างมีประสิทธิผลต้องอาศัยความร่วมมืออย่างบูรณาการจากทั้งหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน ซึ่งสามารถสรุปแนวทางที่สำคัญได้ดังนี้
บทบาทหลักของหน่วยงานภาครัฐคือการดำเนินนโยบายที่เอื้อต่อการลงทุนในต่างประเทศของภาคเอกชนโดยเฉพาะมาตรการทางภาษีกล่าวคือ (1) ภาครัฐควรขจัดเกณฑ์การเสียภาษีที่ซ้ำซ้อนจากการลงทุนในต่างประเทศเพื่อลดภาระและต้นทุนการบริหารจัดการของภาคเอกชน
นอกจากนี้ (2) ภาครัฐสามารถสนับสนุน เงินทุนแก่ธนาคารของรัฐโดยเฉพาะ EXIM Bank เพื่อให้ EXIM Bank มีแหล่งเงินทุนเพิ่มเติมสำหรับภาคเอกชนที่ต้องการเงินทุนไปลงทุนในต่างประเทศทั้งนี้ ธนาคารของรัฐต่างๆ ควรจะต้องเน้นการให้ความสะดวกด้านสินเชื่อและบริการทางการเงินที่ครบวงจรแก่นักลงทุนมากขึ้น และ (3) ภาครัฐควร ลดกฎเกณฑ์ที่เป็นข้อจำกัดในการระดมทุนโดยการออกตราสารที่เป็นสกุลเงินตราต่างประเทศในไทย(FX Bond) เพื่อเอื้อให้เกิดความคล่องตัวในการระดมทุน ซึ่งนอกจากจะช่วยให้ผู้ประกอบการมีทางเลือกในการระดมทุนแล้ว ยังอาจเป็นอีกหนึ่งช่องทางการลงทุนสำหรับคนไทยด้วย และท้ายสุดจะช่วยให้ตลาดตราสารหนี้ของไทยพัฒนาขึ้น
สำหรับการให้บริการด้านข้อมูลเกี่ยวกับประเทศที่จะไปลงทุน (4) ภาครัฐควรมีการตั้งหน่วยงานกลางแบบ One-Stop Service ที่ทำหน้าที่เชิงรุกในการให้ความรู้ ชี้แนะโอกาสทางธุรกิจกลยุทธ์การทำธุรกิจในต่างประเทศ รวมทั้งช่วยจัดหาที่ปรึกษาทางธุรกิจ (Strategic Partners) เพื่อช่วยให้คำแนะนำแก่ภาคเอกชนไทยในการดำเนินธุรกิจในต่างประเทศหรือจับคู่นักธุรกิจไทยกับนักธุรกิจในท้องถิ่นของประเทศนั้นๆ (Local Partners) ที่ทราบถึงกฎระเบียบหรือตลาดในประเทศเหล่านั้นเป็นอย่างดี ทั้งนี้ แนวทางหนึ่งที่รัฐบาลสามารถทำได้เลยคือการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในระดับรัฐต่อรัฐ โดยเฉพาะกับประเทศที่มีกฎระเบียบที่ซับซ้อนและเข้มงวด เพื่อช่วยสนับสนุนภาคเอกชนในการเจรจาด้านการลงทุนระหว่างประเทศ
หากนักลงทุนไทยจะสามารถลงทุนโดยตรงในต่างประเทศได้อย่างประสบความสำเร็จควรต้องมีการปรับตัวและเตรียมตัวในหลายมิติ โดยมิติแรกที่ควรทำคือการรวมตัวของภาคเอกชนไทยเป็นหมู่คณะหรืออาจสร้างเป็นคลัสเตอร์เพื่อไปหารือโดยตรงกับหน่วยงานภาครัฐในประเทศเป้าหมายซึ่งน่าจะได้รับความสนใจกว่าการออกไปเป็นรายบริษัทถัดมาคือการรู้จักปกป้องตัวเองโดยเรียนรู้ที่จะบริหารจัดการความเสี่ยงทางการเงินให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมทั้งศึกษาข้อมูลหรือสภาพแว ดล้อมของประเทศที่จะไปลงทุนให้ครอบคลุมยิ่งขึ้นโดยเฉพาะวัฒนธรรมและกฎระเบียบด้านการลงทุน
อย่างไรก็ดี แนวทางการสนับสนุนจากภาครัฐที่เป็นรูปธรรมและแนวทางการปรับตัว ของภาคเอกชนดังกล่าวข้างต้นควรเริ่มทาอย่างเร่งด่วนและต่อเนื่อง เพื่อที่ท้ายสุดภาคเอกชนไทยจะสามารถใช้ช่องทางการลงทุนโดยตรงในต่างประเทศเพื่อเข้าถึงโอกาสทางธุรกิจในต่างประเทศ ขยายธุรกิจ เข้าถึงแหล่งทรัพยากรที่สำคัญในต่างประเทศพัฒนาเทคโนโลยี และยกระดับความสามารถในการแข่งขันของไทยในเวทีโลกได้อย่างยั่งยืน
*(1) ขยายวงเงินให้บริษัทแม่ในไทยสามารถลงทุนโดยตรงในต่างประเทศได้เพิ่มจากเดิม 10 ล้านดอลลาร์ สรอ. เป็น 50 ล้านดอลลาร์ สรอ. ต่อบริษัทต่อปี
*(2) อ้างอิงจากเอกสารงานวิจัยฉบับที่ 2/2554 ของสถาบันวิจัยเพื่อตลาดทุน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยหัวข้อ “การลงทุนทางตรงในต่างประเทศของบริษัทจดทะเบียนไทย: สถานะปัจจุบันและข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย” โดยปฐมาภรณ์ นิธิชัย ซึ่งศึกษาข้อมูลของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในกลุ่ม SET100 ช่วงปี 2549-2553
*(3) อย่างไรก็ดี การโอนเงินไปลงทุนยังต่างประเทศต้องยื่นเอกสารเพื่อแสดงวัตถุประสงค์การโอนเงินต่อ ธพ.
*(4) เงินได้จากต่างประเทศของไทยในรูปเงินปันผลจะได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล (CIT) ในไทยก็ต่อเมื่อ (1) บริษัทไทยถือหุ้นใน บริษัทในเครือไม่ต่ำกว่าร้อยละ 10 เป็นเวลาไม่น้อยกว่า 6 เดือน และ (2) เงินปันผลที่ได้รับจะต้องมาจากกำไรสุทธิที่มีการเสียภาษีใน ต่างประเทศไม่ต่ากว่าร้อยละ 15 ของกำไรสุทธิ
Ariff, M., Lopez, G., 2010. Outward foreign direct investment: the Malaysian experience. Discussion paper. Malaysian Institute of Economic Research. Bank of Japan, 2012, 10 April. Statement on Monetary Policy.
Bank of Japan, 2012, 10 April. Establishment of "Special Rules for the U.S. Dollar Lending Arrangement to Enhance the Fund-Provisioning Measure to Support Strengthening the Foundations for Economic Growth".
Economic Development Cooperation Fund Korea, http://www.edcfkorea.go.kr/edcfeng/what/loan/type.jsp access 30 March 2012.
Japan Bank for International Cooperation (JBIC), 2011. JBIC Annual Report 2011, 49-62.
Kim, J., Rhe, D., 2009. Trends and determinants of South Korean outward foreign direct investment. The Copenhagen Journal of Asian Studies 27, 126-154.
Luo, Y., et al., 2009. How emerging market governments promote outward FDI: Experience from China. Journal of World Business. 68-79.
Masron, T., Shahbudin, A., 2009. Push factors of outward FDI: evidence from Malaysia and Thailand. Universiti Sains Malaysia.
Oliver, C., Song, J., 2012. S Korea fund to use overseas M&A scheme. The Financial Times. http://www.ft.com/intl/cms/s/0/3d9f8cc6-5132-11e1-939d-00144feabdc0.html#axzz1wVibvgE6 access 10 April 2012.
Wee, K., 2007. Outward foreign direct investment by enterprises from Thailand. Working paper. The United Nations Conference on Trade and Development.
Yean, T., 2007. Outward foreign direct investment from Malaysia: an exploratory study. Working paper. University Kebangsaan Malaysia.
ปรมาภรณ์ นิธิชัย, 2554. การลงทุนทางตรงในต่างประเทศของบริษัทจดทะเบียนไทย: สถานะปัจจุบันและข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย. เอกสารงานวิจัย บับที่ 2/2554 สถาบันวิจัยเพื่อตลาดทุน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย.
ภวิดา ปานะนนท์ และวีระยุทธ กาญจน์ชูฉัตร, 254 . บริษัทข้ามชาติไทยหลังวิกฤตเศรษ กิจ พ.ศ. 2540: พลวัตการเปลี่ยนแปลง และข้อสรุป. บทความสรุปเนื้อหาจากรายงานวิจัย บับเต็ม เพื่อนำเสนอในการสัมมนาโครงการเมธีวิจัยอาวุโส สกว. ศ.ดร.ผาสุก พงษ์ไพจิตร เรื่องโครงสร้างและพลวัตทุนไทยหลังวิกฤตเศรษ กิจ วันที่ 28 มิถุนายน 2549.
บทความนี้สำเร็จลุล่วงได้ด้วยดีเพราะคำแนะนำและความช่วยเหลือจากคุณรุ่ง มัลลิกะมาส คุณปฤษันต์ จันทน์หอมคุณปติดิษยทัตคุณอุบล รัต น์จันทรังษ์คุณเสาวณี จันทะพงษ์ และคุณปณิตา ตันติสุนทร ผู้เขียนขอขอบพระคุณเป็นอย่างสูงมา ณ ที่นี้
นันทพร พงศ์พัฒนานนท์ [email protected]
ชิดชนก อันโนนจารย์ [email protected]
เศรษฐกร
ทีมนโยบายเงินทุนเคลื่อนย้าย
ฝ่ายนโยบายเศรษ กิจการเงิน
สายนโยบายการเงิน
ที่มา: ธนาคารแห่งประเทศไทย