FOCUSED AND QUICK (FAQ) Issue 72
TPP: ความตกลงแห่งอนาคต? ประเด็นท้าทายในการจัดทำความตกลงด้านการลงทุนและการเงิน
หฤษฎ์ รอดประเสริฐ
TPP (Trans-Pacific Strategic Economic Partnership Agreement) เป็นความตกลงซึ่งอยู่ระหว่างการเจรจาจัดทำโดยประเทศในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก โดยมีสหรัฐฯ เป็นแกนนำ ขณะนี้กำลังอยู่ในความสนใจของหลายฝ่าย เพราะมองว่าเป็นโอกาสทองในการขยายตลาดไปสู่สหรัฐฯ และประเทศสมาชิกอื่นๆ อย่างไรก็ตาม สหรัฐฯ ในฐานะสมาชิกที่มีอำนาจต่อรองมากที่สุด ต้องการให้ TPP เป็นความตกลงที่จะมีการเปิดเสรีในระดับสูง ตลอดจนครอบคลุมประเด็นที่ใหม่และลึกขึ้น เช่น มาตรฐานแรงงาน สิ่งแวดล้อมและทรัพย์สินทางปัญญา ซึ่งรวมถึงสิทธิบัตรยาด้วย
บทความนี้ นอกจากจะสรุปรายละเอียดความเป็นมาของ TPP และชี้ถึงนัยของ TPP ต่อไทยและอาเซียนโดยสังเขปแล้ว จะเน้นประเด็นท้าทายที่ไทยควรพิจารณาเป็นพิเศษหากจะเข้าร่วม TPP คือ (1) การที่ TPP มีแนวโน้มที่จะจำกัดการให้สมาชิกดำเนินนโยบายเงินทุนเคลื่อนย้ายเพื่อรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจการเงิน และ (2) การเปิดเสรีบริการทางการเงิน ซึ่งมีความเสี่ยงที่สมาชิกจะถูกกดดันให้เปิดตลาดบริการทางการเงินตามข้อเรียกร้องของสหรัฐฯ มากกว่าที่จะเปิดตลาดตามความพร้อมที่แท้จริงของประเทศตน
ปัจจุบันความตกลง Trans-Pacific Strategic Economic Partnership Agreement หรือ TPP อยู่ในความสนใจของหลายฝ่าย เพราะTPP มีแนวโน้มที่จะเป็นการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจที่สำคัญของโลก ทั้งนี้ TPP จะมีการเปิดเสรีในระดับสูงในด้านต่างๆ ตลอดจนครอบคลุมประเด็นใหม่ๆ บางประเด็นซึ่งหลายฝ่ายอาจมีข้อกังวล เช่น มาตรฐานแรงงาน สิ่งแวดล้อม ทรัพย์สินทางปัญญา (รวมถึงสิทธิบัตรยา) ตลอดจนในเรื่องการลงทุนและบริการทางการเงิน ซึ่งมีนัยสำคัญต่อการดูแลเสถียรภาพและความมั่นคงของระบบเศรษฐกิจการเงินของประเทศ บทความนี้จึงมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อชี้ถึงนัยของการจัดทำความตกลงด้านการลงทุนและความตกลงด้านบริการทางการเงินภายใต้ TPP โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เรื่องความเสี่ยงที่ประเทศภาคีจะมีสิทธิในการดำเนินนโยบาย (Policy Space) ไม่เพียงพอในการดูแลเงินทุนเคลื่อนย้าย เพื่อรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจการเงิน และความเสี่ยงที่ประเทศภาคีจะถูกกดดันให้เปิดตลาดบริการทางการเงินตามข้อเรียกร้องของสหรัฐฯ มากกว่าที่จะเปิดตลาดตาม ความพร้อมที่แท้จริงของประเทศตน
1.1 ความเป็นมา
TPP มีประเทศสมาชิกก่อตั้งเป็น ประเทศพัฒนาแล้วและประเทศตลาดเกิดใหม่จากทั้ง 2 ฟากของมหาสมุทรแปซิฟิก รวมทั้งหมด 9 ประเทศ คือ สหรัฐฯ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ชิลี เปรู สิงคโปร์ บรูไน มาเลเซีย และเวียดนาม และมีความเป็นไปได้ที่จะรับประเทศสมาชิกเพิ่มในอนาคต ซึ่งอาจจะทำให้ TPP กลายเป็นการรวมกลุ่มเศรษฐกิจที่สำคัญที่สุดกลุ่มหนึ่งของโลก*(1) ขณะนี้ ญี่ปุ่น แคนาดาเกาหลีใต้ อินโดนีเซีย และเม็กซิโกได้แสดงท่าทีอย่างเป็นทางการว่าสนใจจะเข้าร่วม TPP ในอนาคตสำหรับไทย ยังอยู่ระหว่างการพิจารณาความเป็นไปได้ในการเข้าร่วม TPP จึงยังไม่ได้แสดงท่าทีสนใจเข้าร่วมอย่างเป็นทางการ TPP ยังไม่เปิดรับสมาชิกใหม่จนกว่าประเทศสมาชิกก่อตั้ง 9 ประเทศจะเจรจาเสร็จ*(2)
การเจรจาจัดทำความตกลง TPP ได้ดำเนินมาตั้งแต่รอบแรกเมื่อเดือนมีนาคม 2010 ทั้งนี้ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าจะเจรจาเสร็จเมื่อใด แต่คาดว่าอาจจะเจรจาเสร็จภายในครึ่งแรกของปี 2013 ซึ่งหลังจากนั้น ประเทศสมาชิกก่อตั้ง TPP ทั้ง 9 ประเทศจะต้องนำ ความตกลง TPP เข้าสู่กระบวนการให้สัตยาบันโดยรัฐสภาของประเทศตนซึ่งจะต้องใช้เวลาอย่างน้อยอีกหลายเดือนก่อนที่ ความตกลง TPP จะมีผลบังคับใช้*(3)
1.2 จุดเด่นของ TPP
การกำหนดโครงสร้าง หัวข้อ และประเด็นหลักในการเจรจา TPP สะท้อนถึงอิทธิพลของสหรัฐฯ ที่จะผลักดันสิ่งที่ตนต้องการ เห็นได้จาก
- การครอบคลุมประเด็นใหม่ๆ ซึ่ง มักจะไม่ปรากฏอยู่ในความตกลงเขตการค้าเสรี (Free Trade Agreement : FTA) โดยทั่วไป เช่น ความสอดคล้องทางกฎระเบียบ (Regulatory Coherence) มาตรฐานแรงงาน สิ่งแวดล้อม การคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาที่เกินกว่า FTA อื่นๆ
- การแบ่งกลุ่มการเจรจาใน TPP จะแตกต่างจาก FTA โดยทั่วไป คือ จะแยกเรื่องที่สหรัฐฯ สนใจหรือกังวลเป็นพิเศษออกมา เช่น ในการเจรจาสินค้า จะแยกสินค้าสิ่งทอออกจากสินค้าอุตสาหกรรมอื่นๆ เนื่องจากเป็นประเด็นที่อ่อนไหวสำหรับสหรัฐฯ
1.3 นัยของ TPP ต่อประเทศในภูมิภาคในภาพรวม
TPP อาจเป็นเครื่องมือหนึ่งที่สหรัฐฯ ใช้ถ่วงดุลอำนาจทางเศรษฐกิจของจีนในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ในช่วงที่ผ่านมา มี FTA เกิดขึ้นหลายฉบับในภูมิภาคเอเชียโดยไม่มีสหรัฐฯ ร่วมด้วย ด้วยเหตุนี้ หากสหรัฐฯ ปล่อยให้ภูมิภาคเอเชียรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจกันได้มากยิ่งขึ้นในลักษณะนี้ อาจจะลดบทบาทสหรัฐฯ ในภูมิภาคเอเชีย ด้วยเหตุนี้ สหรัฐฯ จึงพยายามผลักดันให้ TPP เป็นเวทีหลักในการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจในภูมิภาคเพื่อรักษาอิทธิพลและพิทักษ์ผลประโยชน์ของตน
TPP อาจกระทบต่อบทบาทของอาเซียน โดยเฉพาะความพยายามของอาเซียนที่จะเป็นศูนย์กลางในการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจใน ภูมิภาค ที่ผ่านมาอาเซียนได้พยายามจัดทำ FTA กับประเทศรอบอาเซียน เช่น จีน ญี่ปุ่น เกาหลี อินเดีย ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ แต่ถ้าหากการจัดทำTPP ประสบความสำเร็จโดยที่ประเทศอาเซียนบางประเทศไม่ได้เข้าร่วม ก็อาจจะทำให้ TPP กลายเป็นศูนย์กลางของการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจในภูมิภาคแทนที่จะเป็นเวทีอาเซียนกับคู่เจรจาอื่นๆ นอกจากนี้ การเข้าร่วม TPP ของประเทศอาเซียน 4 ประเทศ ได้แก่ สิงคโปร์ บรูไน มาเลเซีย และเวียดนาม ยังชี้ให้เห็นว่า ประเทศอาเซียนบางประเทศสนใจที่จะแยกตัวออกไปต่อรองและตักตวงผลประโยชน์จากเวทีอื่นในภูมิภาค มากกว่าที่จะพยายามใช้กลุ่มอาเซียนเป็นเครื่องมือในการต่อรองกับประเทศอื่น
1.4 นัยของ TPP ต่อไทยในภาพรวมสำหรับไทย ขณะนี้ยังอยู่ระหว่างพิจารณาว่าจะเข้าร่วม TPP หรือไม่ โดยหากสนใจจะเข้าร่วมจริง จะต้องรอให้ 9 ประเทศเจรจาให้เสร็จสิ้นก่อน และเปิดพิจารณารับสมาชิกใหม่ ทั้งนี้ ทางการไทยได้มีการจัดทำการศึกษาประโยชน์ที่ไทยคาดว่าจะได้รับ และข้อกังวลต่างๆ หากไทยเข้าร่วม TPP ในเบื้องต้น*(4) ทั้งนี้ เป็นที่น่าสังเกตว่าส่วนใหญ่แล้วประโยชน์และข้อกังวลจะขึ้นอยู่กับปัจจัยหลักที่ทำให้ TPP แตกต่างจาก FTA อื่นๆ นั่นคือ มีสหรัฐฯ เข้ามาด้วยเป็นหลัก ทั้งนี้ เพราะสหรัฐฯ เป็นสมาชิก TPP ประเทศเดียวที่ไทยยังไม่ได้จัดทำ FTA หรืออยู่ในกระบวนการเจรจา FTA (เช่น ชิลีและเปรู) ด้วยดังนั้น อาจกล่าวได้ว่า TPP จะเป็นเสมือนการรื้อฟื้น Thai-US FTA ที่ได้ยุติการเจรจาไปแล้ว
ตารางที่ 1 ประโยชน์และข้อกังวลหากไทยเข้าร่วม TPP
ประโยชน์ ข้อกังวล ? โอกาสขยายการส่งออก ? สินค้าที่ไทยอาจแข่งขันไม่ได้ ไปประเทศสมาชิก TPP คือ ถั่วเหลือง ข้าวโพด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สหรัฐฯ ผลิตภัณฑ์นมเนย ผลิตภัณฑ์ และอาจรวมถึงประเทศที่ พลาสติก ฯลฯ อาจจะเข้าร่วม TPP เช่น ? บริการหลายสาขาของ แคนาดาและเม็กซิโก ซึ่งไทย ไทยยังไม่พร้อมที่จะเปิดเสรี ยังไม่มี FTA ? มาตรฐานด้านแรงงาน ? ลดการผูกขาดทางธุรกิจ สิ่งแวดล้อม และทรัพย์สิน จากการแข่งขันที่เพิ่มขึ้น ทางปัญญา (รวมถึงสิทธิบัตรยา) ? โอกาสปฏิรูปการจัดซื้อ จัดจ้างโดยรัฐ โดยให้โอกาส แก่ต่างชาติในการเข้าร่วม ประมูลมากขึ้น 2. ประเด็นท้าทายในการจัดทำความตกลงด้านการลงทุนและการเงินภายใต้ TPP การเข้าเป็นสมาชิก TPP อาจทำให้เกิดประเด็นท้าทายและข้อกังวลในหลายประการ ซึ่งบทความนี้จะวิเคราะห์ประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการจัดทำความตกลงด้านการลงทุนและการเงิน 2 ประเด็นดังต่อไปนี้2.1 สิทธิในการดำเนินนโยบาย (Policy Space) ดูแลเงินทุนเคลื่อนย้าย TPP มีแนวโน้มที่จะจำ กัด Policy Space ของสมาชิกในการดำเนินนโยบายเงินทุนเคลื่อนย้ายเพื่อรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจการเงิน แม้ว่า Policy Space ด้านนี้ได้กลายเป็นบรรทัดฐานใน FTA ของประเทศส่วนใหญ่ไปแล้วและเป็นที่ยอมรับในประชาคมโลก
ทั้งนี้ เงินทุนเคลื่อนย้ายระหว่างประเทศมีประโยชน์โดยช่วยเพิ่มทางเลือกในการลงทุน การออม และการระดมทุน ตลอดจนช่วยพัฒนาตลาดการเงินและตลาดทุน และในกรณีของ FDI มักจะก่อให้เกิดการถ่ายทอดเทคโนโลยี ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างประสิทธิภาพในภาคธุรกิจ
อย่างไรก็ตาม เงินทุนเคลื่อนย้ายอาจก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อระบบเศรษฐกิจการเงินได้กล่าวคือ
- อาจทำให้ค่าเงินมีความผันผวน ซึ่งมักจะกระทบต่อการดำเนินธุรกิจ
- ในกรณีที่เงินทุนทะลักเข้าจำนวนมาก ก็อาจทำให้เกิดภาวะฟองสบู่ในราคาสินทรัพย์
- ในกรณีที่เงินทุนไหลออกจำนวนมาก ก็อาจทำให้เกิดปัญหาดุลการชำระเงินและปัญหาด้านสภาพคล่องทางการเงิน จนอาจนำไปสู่วิกฤตเศรษฐกิจการเงิน
เดิมที IMF ได้เน้นแต่ประโยชน์ของเงินทุนเคลื่อนย้าย โดยไม่สนับสนุนการใช้มาตรการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับเงินทุนเคลื่อนย้าย แต่นับตั้งแต่วิกฤติเศรษฐกิจโลก มาตรการดังกล่าวได้กลายเป็นที่ยอมรับจาก IMF ว่าเป็นส่วนหนึ่งของเครื่องมือเพื่อรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจการเงินได้ เห็นได้จากการที่ IMF ตลอดจนผู้นำของกลุ่มประเทศ G20 ต่างยอมรับบทบาทของมาตรการเงินทุนเคลื่อนย้ายมากขึ้นในระยะหลังนี้*(5) ในประเด็นนี้นิตยสาร “The Economist” มองว่า IMF ได้ปรับเปลี่ยนแนวคิดในเรื่องดังกล่าวให้สอดคล้องกับความเป็นจริงของระบบเศรษฐกิจการเงินโลกยิ่งขึ้น*(6)
ประเทศเจ้าบ้านจะสามารถใช้มาตรการเงินทุนเคลื่อนย้ายเพียงใด ส่วนหนึ่งจะขึ้นอยู่กับสิทธิและพันธกรณีภายใต้ความตกลงด้านการลงทุนระหว่างประเทศ ที่มักจะระบุให้นักลงทุนต่างชาติโอนเงินได้โดยเสรี จึงอาจกระทบต่อ Policy Space ของประเทศเจ้าบ้านในการดูแลเงินทุนเคลื่อนย้าย โดยเฉพาะหากความตกลงไม่มีข้อยกเว้นให้ดำเนินมาตรการดังกล่าวอย่างเพียงพอ
ถึงแม้ว่า ร่างความตกลงด้านการลงทุนภายใต้ TPP ยังคงเป็นเอกสารลับ แต่มีสิ่งบ่งชี้ว่าสหรัฐฯ ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการกำหนดกรอบการเจรจา TPP ยังต้องการให้ประเทศเจ้าบ้านอนุญาตให้นักลงทุนโอนเงินทุนโดยเสรี โดยไม่ให้มี Policy Space ในการดูแลเงินทุนเคลื่อนย้ายเท่าใดนัก เห็นได้จากนักเศรษฐศาสตร์กลุ่มต่างๆ มีหนังสือถึงรัฐบาลสหรัฐฯ และรัฐมนตรีการค้าของประเทศสมาชิก TPP ทุกประเทศ*(7) โดยแสดงความกังวลว่า ความตกลงที่สหรัฐฯ ได้จัดทำมาไม่ค่อยมี Policy Space ในการดูแลเงินทุนเคลื่อนย้าย และไม่สอดคล้องกับบรรทัดฐานใน FTA ของประเทศส่วนใหญ่ นักเศรษฐศาสตร์ดังกล่าวจึงเสนอแนะว่า TPP ควรมี Policy Space ให้เพียงพอ อย่างไรก็ดี รัฐบาลสหรัฐฯ ยืนยันว่า จะยังคงท่าทีเดิมที่จะจำกัด Policy Space ในการดูแลเงินทุนเคลื่อนย้าย*(8)
ในขณะนี้ ยังไม่ชัดเจนว่าข้อกังวลดังกล่าวจะมีผลต่อการเจรจา TPP หรือไม่ เพียงใดแต่ที่สำคัญคือ หากความตกลงด้านการลงทุนภายใต้ TPP จะเป็นประโยชน์อย่างแท้จริงต่อสาธารณชนโดยรวมได้ จะต้องมีความสมดุลระหว่าง การคุ้มครองนักลงทุน กับ การให้ Policy Space แก่ทางการในการดูแลรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจการเงิน รวมถึง Policy Space ในส่วนของมาตรการเงินทุนเคลื่อนย้าย ซึ่งสำคัญเนื่องจาก หากความตกลงเน้นแต่การคุ้มครองเสรีภาพของนักลงทุนจะกระทบต่อการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจการเงิน และการป้องกันหรือบรรเทาวิกฤตเศรษฐกิจการเงินของประเทศเจ้าบ้าน ซึ่งถือเป็นมิติสำคัญของการดูแลสวัสดิภาพของสาธารณชน ในทางตรงกันข้าม หากความตกลงเน้นแต่การให้ Policy Space แก่ทางการอย่างไม่มีขอบเขตและไม่มีเงื่อนไขย่อมจะเกิดความเสี่ยงในการใช้มาตรการเกินกว่าความจำเป็น ซึ่งจะกระทบต่อความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจที่มีต่อทางการโดยรวม
ดังนั้น ความตกลงด้านการลงทุนที่จะเป็นผลดีต่อสาธารณชนโดยรวม ในแง่มุมหนึ่งไม่ควรเป็นหลักประกันเสรีภาพของนักลงทุนที่จะกระทำการใดๆ ก็ได้โดยไม่คำนึงถึงผลกระทบต่อการดูแลสวัสดิภาพของสาธารณชน และในอีกแง่มุมไม่ควรเป็นหลักประกันเสรีภาพของทางการที่จะดำเนินมาตรการเช่นใดก็ได้ตามใจชอบโดยไม่มีเหตุผล เนื่องด้วยทั้งนักลงทุนและทางการควรยึดหลักธรรมาภิบาลและมีความรับผิดชอบต่อสาธารณชน เพราะในท้ายที่สุด สาธารณชนคือผู้มีส่วนได้เสียที่แท้จริงของระบบเศรษฐกิจการเงิน
2.2 การเปิดตลาดบริการทางการเงินประเทศภาคีของ TPP มีความเสี่ยงจะถูกกดดันให้เปิดตลาดบริการทางการเงินตามข้อเรียกร้องของสหรัฐฯ มากกว่าที่จะเปิดตลาดตามความพร้อมที่แท้จริงของประเทศตน
ภาคการเงินเป็นหัวใจของระบบเศรษฐกิจ ในฐานะตัวกลางในการระดมและจัดสรรเงินออมไปยังการลงทุน และเป็นระบบการชำระเงินเศรษฐกิจจะดำเนินกิจกรรมและธุรกรรมที่เกี่ยวข้องได้อย่างมีประสิทธิผลเพียงใด ส่วนหนึ่งจะขึ้นอยู่กับคุณภาพและประสิทธิภาพของภาคการเงิน การเปิดตลาดบริการทางการเงินให้ต่างชาติเข้ามาแข่งขันและมีบทบาทยิ่งขึ้นในประเทศกำลังพัฒนา จะมีส่วนช่วยพัฒนาคุณภาพและประสิทธิภาพของภาคการเงิน แต่ก็ควรคำนึงถึงเรื่องความสามารถในการแข่งขัน และระยะเวลาในการเปิดตลาดที่เหมาะสม
ไม่ว่าไทยจะเข้าร่วมใน TPP หรือความตกลง FTA ด้านบริการทางการเงินฉบับอื่นใดหรือไม่นั้น ไทยเองก็มีกระบวนการภายในประเทศที่มุ่งปฏิรูประบบสถาบันการเงิน เห็นได้จากแผนพัฒนาระบบสถาบันการเงินไทย ซึ่งกำหนดกลยุทธ์ในการพัฒนาระบบสถาบันการเงินของไทยในระยะต่อไปข้างหน้าอย่างเป็นระบบและเป็นขั้นตอน โดยคำนึงถึงความพร้อม ประสิทธิภาพ และเสถียรภาพของระบบการเงิน*(9)
ของผู้ใช้บริการ (โดยเฉพาะ
ผู้ฝากเงิน) และความมั่นคงของ
ระบบสถาบันการเงิน
อย่างไรก็ดี การเปิดตลาดบริการทางการเงินภายใต้ TPP อาจจะไม่สอดคล้องกับความพร้อมของไทยเสมอไป เนื่องจากสหรัฐฯ มักจะพยายามผลักดันให้ประเทศคู่เจรจาเปิดตลาดบริการทางการเงินให้มาก ด้วยความได้เปรียบในด้านการแข่งขันในภาคธุรกิจนี้ ทั้งนี้ แม้ว่ายังไม่มีข่าวการถกเถียงหรือการหยิบยกข้อกังวลเกี่ยวกับท่าทีของสหรัฐฯ ในเรื่องนี้แต่คาดว่า ประเทศกำลังพัฒนาที่เป็นสมาชิก TPP จะต้องมีข้อกังวลเกี่ยวกับข้อเรียกร้องของสหรัฐฯ เห็นได้จากเอกสารรายงานการเจรจา FTA สหรัฐฯ-มาเลเซีย ซึ่งนำเสนอต่อรัฐสภาสหรัฐฯ เมื่อเดือนมกราคม 2009 (ซึ่งในท้ายที่สุด FTA สหรัฐฯ-มาเลเซียต้องหยุดชะงักลงโดยไม่มีกำหนด) ระบุว่ามาเลเซียมีท่าทีว่า การหารือหรือจัดทำความตกลงในเรื่องการเปิดตลาดบริการทางการเงินกับฝ่ายสหรัฐฯ จะต้องเป็นไปในลักษณะที่ไม่มีข้อผูกพัน ซึ่งชี้ให้เห็นว่า มาเลเซียไม่พร้อมที่จะเจรจาเรื่องบริการทางการเงินกับสหรัฐฯ*(10) ทั้งนี้ โดยรวมแล้ว ข้อเรียกร้องของสหรัฐฯ ซึ่งประเทศกำลังพัฒนามักจะมีข้อกังวลที่สำคัญ คือ*(11)
- วิธีการจัดทำข้อผูกพันการเปิดตลาดบริการทางการเงินแบบ Negative List คือการเปิดเสรีเกือบทั้งหมด สิ่งใดที่จะไม่เปิดเสรี ก็จะต้องเขียนเป็นข้อสงวน ซึ่งมีความเสี่ยงที่อาจจะระบุข้อสงวนได้ไม่ครบถ้วน เนื่องจากไม่สามารถหยั่งรู้ได้ว่าจะมีสิ่งใดบ้างเกิดขึ้นจากพัฒนาการในอนาคต ที่ถือว่าจะต้องเปิดเสรีให้กับสิ่งเหล่านี้โดยอัตโนมัติ
- พันธกรณีที่จะต้องอนุญาตให้ต่างชาติเข้ามาทำธุรกรรมทางการเงินใหม่ มีความเสี่ยงสำ หรับประเทศที่ยังไม่มีความพร้อมในการทำธุรกรรมดังกล่าวและยังไม่มีกฎหมายรองรับในการกำกับดูแล เช่น ธุรกรรมตราสารอนุพันธ์ใหม่โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อปรากฏชัดว่า การทำธุรกรรมทางการเงินใหม่โดยไม่มีการบริหารความเสี่ยงที่เหมาะสมเป็นสาเหตุหนึ่งที่ก่อให้เกิดวิกฤตเศรษฐกิจการเงินโลกที่ผ่านมา
- การเปิดให้ต่างชาติเข้ามาทำ ธุรกิจสถาบันการเงินเต็มรูปแบบ (Full licenses) คาดว่าไทยยังไม่พร้อมกับการแข่งขันอย่างรุนแรงจากต่างชาติ เนื่องจากผู้ประกอบการไทยอาจต้องการเวลาในการปรับตัว
- การเปิดให้ต่างชาติให้บริการทางการเงินข้ามพรมแดนได้โดยไม่ต้องเข้ามาจัดตั้งสำนักงานในประเทศเจ้าบ้าน เช่น ธุรกรรมการเงินออนไลน์ระหว่างประเทศ อาจทำให้เกิดปัญหาในการตรวจสอบ กำกับ และติดตามช่องทางการทำธุรกรรมเหล่านี้เพื่อป้องกันความเสี่ยงและคุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงินในฐานะผู้บริโภค
การเปิดตลาดบริการทางการเงินภายใต้TPP จึงมีความเสี่ยงที่ประเทศกำลังพัฒนาอาจจะต้องเผชิญแรงกดดันจากข้อเรียกร้องเหล่านี้ของสหรัฐฯ ซึ่งแตกต่างจากการเปิดตลาดภายใต้เวทีอื่นในภูมิภาค เช่น อาเซียน ซึ่งจะคำนึงถึงความพร้อมของประเทศเจ้าบ้านกว่านี้ โดยแท้จริงแล้ว การเปิดตลาดบริการทางการเงินที่เหมาะสม ควรจะเป็นการเปิดตลาดแบบค่อยเป็นค่อยไป โดยคำนึงถึงทั้งประโยชน์ที่ผู้ใช้บริการทางการเงินจะได้รับ และความพร้อมของระบบสถาบันการเงิน เพื่อให้ผู้ประกอบการของประเทศเจ้าบ้านมีเวลาปรับตัวและพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขัน และเพื่อให้ระบบสถาบันการเงินสามารถขับเคลื่อนต่อไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ มั่นคง และยั่งยืนในระยะยาว
ขณะนี้ การจัดทำความตกลง TPP กำลังได้รับความสนใจจากหลายฝ่าย ส่วนหนึ่งเนื่องจากกลุ่มประเทศสมาชิก TPP มีทั้งประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ และประเทศตลาดเกิดใหม่ที่มีศักยภาพสูงในการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจในอนาคต และเนื่องจากสหรัฐฯ ได้ประกาศว่าต้องการให้ TPP เป็นความตกลงแห่งอนาคตที่มีมาตรฐานสูงประเทศซึ่งยังไม่มีโอกาสเข้าร่วม TPP จึงสนใจติดตามพัฒนาการของ TPP เพื่อพิจารณาความเป็นไปได้ที่จะเข้าร่วม รวมทั้งแสดงความสนใจที่จะเข้าร่วมเมื่อเห็นว่าตนพร้อม
สำหรับประเทศไทย ในช่วงที่ผ่านมา จะเห็นได้ว่า มีทั้งกระแสความกลัวว่าไทยจะตกขบวน TPP และกระแสความกังวลว่าหากไทยร่วมขบวน TPP แล้วจะมีปัญหา ทั้งนี้ TPP ถือเป็นโอกาสของไทยในการขยายการส่งออกไปประเทศสมาชิก TPP โดยเฉพาะ สหรัฐฯ และอาจรวมถึงประเทศอื่นที่อาจจะเข้าร่วม TPP เช่น แคนาดาและเม็กซิโก ซึ่งไทยยังไม่มี FTA ในขณะเดียวกัน ประเด็นข้อกังวลเกี่ยวกับ TPP ที่สำคัญคือ ข้อกังวลในเรื่องการลงทุนและบริการทางการเงิน ซึ่งในเรื่องการลงทุนTPP ควรจะมีความสมดุลระหว่างการคุ้มครองนักลงทุน กับ Policy Space ของทางการในการดูแลเสถียรภาพทางเศรษฐกิจการเงิน และในเรื่องบริการทางการเงิน TPP ควรจะให้เปิดตลาดบริการทางการเงินตามความพร้อมที่แท้จริงของประเทศเจ้าบ้านส่วนข้อกังวลในเรื่องมาตรฐานด้านแรงงานสิ่งแวดล้อม และทรัพย์สินทางปัญญา (รวมถึงสิทธิบัตรยา) คือ ไทยยังไม่มีความพร้อมในการปฏิบัติตามมาตรฐานของสหรัฐฯ ที่สูงกว่ามาตรฐานทั่วไปนอกจากนี้ การปฏิบัติตามมาตรฐานทรัพย์สินทางปัญญาในเรื่องสิทธิบัตรยาอาจกระทบต่อสวัสดิภาพด้านสาธารณสุขของประชาชน
เนื่องด้วยเนื้อหาเกี่ยวกับการเจรจา TPP ยังถูกเก็บเป็นความลับจนกว่าจะเจรจาเสร็จ ไทยจึงต้องรอให้ประเทศสมาชิกก่อตั้ง TPP เจรจาให้เสร็จ และมีผลการเจรจาออกมาเป็นรูปธรรมก่อนที่ไทยจะประเมินได้อย่างแท้จริงและตัดสินใจว่าควรจะเข้าร่วม TPP หรือไม่ ซึ่งการรอติดตามความคืบหน้าของTPP ในลักษณะดังกล่าวไม่ถือว่าเป็นการเสียโอกาสในการเข้าร่วม TPP ตั้งแต่แรกแต่อย่างใด ในทางตรงกันข้าม ประเทศที่กำลังเจรจา TPP อยู่ในปัจจุบันยังต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนว่าผลการเจรจา TPP จะปรากฏออกมาเช่นใด จึงไม่อาจประเมินผลกระทบได้อย่างถี่ถ้วน ดังนั้น ประเด็นสำคัญ คือ เมื่อถึงเวลาที่ผลการเจรจา TPP ปรากฏออกมาชัดเจน ไทยควรพิจารณาทั้งผลดีและผลเสียในทุกๆ ด้านอย่างรอบคอบ โดยคำนึงถึงความพร้อมของทุกฝ่าย และประโยชน์ต่อสาธารณชนในระยะยาว
*(1) “The Trans-Pacific Partnership — Its Economic and Strategic Implications” by Joshua Meltzer, 30 September, 2011 ระบุว่า กลุ่มประเทศ TPP คิดเป็นสัดส่วนประมาณร้อยละ 26 ของ GDP โลก
*(2) การพิจารณารับสมาชิกใหม่ จะต้องเป็นฉันทามติของประเทศสมาชิกก่อตั้ง TPP ทั้ง 9 ประเทศ โดยประเทศที่สนใจจะเข้าร่วมTPP จะต้องเข้าสู่กระบวนการหารือกับประเทศสมาชิกแต่ละประเทศจนครบ 9 ประเทศ เพื่อให้ทั้ง 9 ประเทศได้รับทราบข้อมูล ก่อนที่จะตัดสินใจว่าจะรับเข้าเป็นสมาชิกใหม่ หรือไม่
*(3) การคาดการณ์ของผู้แทนหอการค้าอเมริกัน (แห่งประเทศไทย)ในงานสัมมนาเรื่อง “TPP: ไทยมีทางเลือกอย่างไร?” จัดโดยกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ และบริษัท ไบรอัน เคฟ (ประเทศไทย) จำกัด เมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2012 ที่โรงแรมเจ้าพระยาปาร์ค กรุงเทพฯ
*(4) ข้อมูลจากงานสัมมนาเรื่อง “TPP: ไทยมีทางเลือกอย่างไร?” จัดโดยกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ และบริษัท ไบรอัน เคฟ (ประเทศไทย) จำกัด เมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2012 ที่โรงแรมเจ้าพระยาปาร์ค กรุงเทพฯ
*(5) “2010 — A Year of Transformation for the World and for Asia” by Managing Director of the IMF, at the Asian Financial Forum, Hong Kong, 20 January, 2010 ได้กล่าวว่ามาตรการเงินทุนเคลื่อนย้ายสามารถมีบทบาทในการดูแลป้องกันไม่ให้เกิดความผันผวนทางเศรษฐกิจการเงิน โดยอาจใช้ร่วมกับเครื่องมือนโยบายอื่นๆ ตามสถานการณ์ของแต่ละประเทศส่วน Ostry et al. (2010), “Capital Inflows: The Role of Controls”, p. 4-15 ระบุว่า มาตรการเงินทุนเคลื่อนย้ายสามารถเป็นเครื่องมือนโยบายที่เหมาะสม ในการดูแลเงินทุนไหลเข้า ในสถานการณ์ซึ่งเครื่องมือนโยบายเศรษฐกิจการเงินตามปกติไม่เหมาะสมหรือไม่เพียงพอที่จะแก้ไขปัญหาเงินทุนทะลักเข้า นอกจากนี้ G20 Coherent Conclusions for the Management of Capital Flows Drawing on Country Experiences (endorsed by G20 Heads of State and Government), 3-4 November 2011 ยอมรับว่ามาตรการจัดการเงินทุนเคลื่อนย้ายสามารถเป็นส่วนหนึ่งของเครื่องมือนโยบายในการดูแลไม่ให้ระบบเศรษฐกิจการเงินได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอกจนเกินควร โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเกิดความผันผวนของเงินทุนเคลื่อนย้าย โดยสามารถใช้ร่วมกับเครื่องมือนโยบายอื่นๆ เพื่อให้เกิดผลเสริมกัน
*(6) “The IMF Changes Its Mind on Controls on Capital Inflows”, The Economist, 18 February 2010, Final Paragraph
*(7) Letter from the Group of 257 Economists to Secretary Hillary Rodham Clinton, Secretary Timothy Geithner, and Ambassador Ron Kirk, 31 January 2011 (led by prominent economists such as Ricardo Hausmann and Joseph Stiglitz) และ Letter from the Group of 102 Economists to the Trade Ministers of the TPP Member Countries, 28 February 2012 (led by prominent economists such as Jagdish Bhagwati and Dani Rodrik) ส่วนในประเด็นที่ว่า ความตกลงฯ ที่สหรัฐฯ ได้จัดทำมา ไม่ค่อยสอดคล้องกับบรรทัดฐานซึ่งประเทศอื่นๆ ส่วนใหญ่จัดทำความตกลงระหว่างกัน ในแง่ของ Policy Space ดังกล่าวนั้น โปรดดูรายละเอียดใน “Capital Controls and the Trans-Pacific Partnership” by Sarah Anderson, Institute for Policy Studies, 10 September 2011
*(8) Letter from Secretary Timothy Geithner to Ricardo Hausmann (Representative of the Group of 257 Economists), 12 April 2011 นอกจากนี้ “Capital Controls and the Trans-Pacific Partnership” by Sarah Anderson, Institute for Policy Studies, 10 September, 2011, p. 2 ได้อ้างอิงถึงบทความในวารสาร “Inside US Trade” ซึ่งระบุถึงแหล่งข่าวภายในรัฐบาลสหรัฐฯ ที่ยืนยันท่าทีการจำกัด Policy Space ดังกล่าว และได้อ้างอิงถึงการให้สัมภาษณ์ของโฆษกสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (USTR) กับสำ นักข่าว Bloomberg ว่า สหรัฐฯ จะผลักดันให้มีการเคลื่อนย้ายเงินทุนโดยเสรีในการเจรจา TPP
*(9) แผนพัฒนาระบบสถาบันการเงินระยะที่ 1 (2547-2551) และแผนพัฒนาระบบสถาบันการเงินระยะที่ 2 (2553-2557) จัดทำโดยธนาคารแห่งประเทศไทย
*(10) “The Proposed US-Malaysia Free Trade Agreement” by Michael Martin, CRS Report for Congress, 26 January, 2009
*(11) “แบงก์-โบรกเกอร์แนะภาครัฐควรตีกรอบสถาบันการเงินของสหรัฐฯ” กรุงเทพธุรกิจ (18 กุมภาพันธ์ 2006) “ณรงค์ชัยแนะปฏิรูปการเงินไทย ก่อนเปิดเจรจาเอฟทีเอกับสหรัฐฯ” ผู้จัดการ (18 กุมภาพันธ์ 2006) “เลื่อน FTA การเงินไทย-สหรัฐ เปิดโอกาสสถาบันการเงินไทยปรับตัว 5 ปี” แนวหน้า (1 ธันวาคม 2006) “Mock Text of the Trans-Pacific Partnership Agreement on Financial Services, Investment & Capital Movements” by Jane Kelsey, School of Law, University of Auckland, New Zealand
Anderson, Sarah, “Capital Controls and the
Trans-Pacific Partnership”, Institute for Policy Studies, 10 September 2011 Geithner, Timothy, Letter to Ricardo
Hausmann (Representative of the Group of 257 Economists), 12 April 2011
Group of 102 Economists, Letter to the Trade
Ministers of the TPP Member Countries, 28 February 2012
Group of 257 Economists, Letter to Secretary Hillary Rodham Clinton, Secretary Timothy Geithner, and Ambassador Ron Kirk, 31 January 2011
Group of Twenty (G20), “G20 Coherent Conclusions for the Management of Capital Flows Drawing on Country Experiences”, 3-4 November 2011
Kelsey, Jane, “Mock Text of the Trans-Pacific Partnership Agreement on Financial Services, Investment & Capital Movements”, School of Law, University of Auckland, New Zealand
Martin, Michael, “The Proposed US-Malaysia Free Trade Agreement”, CRS Report for Congress, 26 January, 2009
Meltzer, Joshua, “The Trans-Pacific Partnership — Its Economic and Strategic Implications”, www.brookings.edu, 30 September 2011
Ostry, Jonathan D., Atish R. Ghosh, Karl Habermeier, Marcos Chamon, Mahvash S. Qureshi, and Dennis B.S. Reinhardt, “Capital Inflows: The Role of Controls”, IMF Staff Position Note, SPN/10/04, International Monetary Fund, February 2010
Strauss-Kahn, Dominique, “2010 — A year of Transformation for the World and for Asia”, International Monetary Fund, an Address at the Asian Financial Forum, Hong Kong, 20 January 2010
“The IMF Changes Its Mind on Controls on Capital Inflows”, The Economist, 18 February 2010
ธนาคารแห่งประเทศไทย แผนพัฒนาระบบสถาบันการเงินระยะที่ 1 (2004-2008)
ธนาคารแห่งประเทศไทย แผนพัฒนาระบบสถาบันการเงินระยะที่ 2 (2010-2014)
บริษัท ไบรอัน เคฟ (ประเทศไทย) จำกัด เอกสารประกอบการสัมมนาเรื่อง “TPP: ไทยมีทางเลือกอย่างไร?” 15 มีนาคม 2555
หอการค้าอเมริกัน (แห่งประเทศไทย) คำกล่าวของผู้แทนฯ ในงานสัมมนาเรื่อง “TPP: ไทยมีทางเลือกอย่างไร?” จัดที่โรงแรมเจ้าพระยาปาร์ค กรุงเทพฯ 15 มีนาคม 2555
“ณรงค์ชัยแนะปฏิรูปการเงินไทย ก่อนเปิดเจรจาเอฟทีเอกับสหรัฐฯ” ผู้จัดการ (18 กุมภาพันธ์ 2549)
“แบงก์-โบรกเกอร์แนะภาครัฐควรตีกรอบสถาบันการเงินของสหรัฐฯ” กรุงเทพธุรกิจ (18 กุมภาพันธ์ 2549)
“เลื่อน FTA การเงินไทย-สหรัฐ เปิดโอกาสสถาบัน การเงินไทยปรับตัว 5 ปี” แนวหน้า (1 ธันวาคม 2549)
บทความนี้สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี เพราะความ ช่วยเหลือและคำแนะนำจากคุณจันทวรรณ สุจริตกุล คุณปฤษันต์ จันทน์หอม คุณสุพัฒน์พงษ์ นาวารัตน์ คุณพรวิภา ตั้งเจริญมั่นคง คุณสุวัชชัย ใจข้อ คุณเสาวณี จันทะพงษ์ คุณปริวรรต กนิษฐะเสน คุณณัฐิกานต์ วรสง่าศิลป์ คุณเก่งใจ วัจนะพุกกะ คุณวิสาข์ โตโพธิ์ไทย และคุณสุริยา สิริวุฒิจรุงจิตต์ ผู้เขียนขอขอบพระคุณเป็นอย่างสูงมา ณ ที่นี้
ข้อคิดเห็นที่ปรากฎในบทความนี้เป็นความเห็นของผู้เขียนซึ่งไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับความเห็นของธนาคารแห่งประเทศไทย
ที่มา: ธนาคารแห่งประเทศไทย